บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1834 ยอดฝีมือนับไม่ถ้วน
บทที่ 1834 ยอดฝีมือนับไม่ถ้วน
สำนักศักดิ์สิทธิ์
ภายในโถงทางสวรรค์อันโอ่อ่า
ฉือซงจื่อเจ้าของผมสีดอกเลาและใบหน้าเรียบดูภูมิฐาน เขาสวมชุดคลุมสีดำ สองมือไพล่หลัง กำลังยืนอยู่ภายในห้องโถงขนาดใหญ่เพียงลำพัง
ยืนนิ่งเงียบเหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง
ในฐานะที่เป็นหัวหน้าอาจารย์อาวุโสแห่งสำนักศักดิ์สิทธิ์ ฉือซงจื่อนั้นมีพลังอยู่ที่จักรพรรดิเก้าดารา มีอำนาจสูงส่งจนน่ากลัว
ปกติแล้วแม้พบหน้าก็ยังยาก ทว่าตอนนี้เขากลับมาปรากฏตัวขึ้นในโถงทางสวรรค์ แล้วกำลังรอคนกลุ่มหนึ่งอยู่อีกต่างหาก
เคร้ง!
เสียงระฆังดังก้องกังวานกระจ่างฟ้าดิน
คนกลุ่มหนึ่งเดินมาพร้อมกับเสียงกังวานนั้นพากันเดินเข้ามายังโถงทางสวรรค์เหมือนคลื่นน้ำซัดสาด
กลุ่มที่นำหน้ามีทั้งหมดสิบแปดคนมีทั้งชายและหญิงปะปนกันไป บุรุษมีท่าทีองอาจสูงส่ง ส่วนสตรีมีท่าทางงดงามประณีต ล้วนเป็นมังกรแลหงส์ในหมู่คน เป็นยอดฝีมือยากจะหาใครเทียมทั้งสิ้น
พวกเขาก็คือ สิบแปดศิษย์ผนึกฤทธิ์สำนักศักดิ์สิทธิ์!
ตามหลังศิษย์ผนึกฤทธิ์มานั้นคือยอดฝีมือชุดดำสามสิบหกคนเจ้าของกลิ่นอายเยือกเย็นน่าผวา ทั่วร่างให้ความรู้สึกโหดเหี้ยม
พวกเขาก็คืออนธบริบาลแห่งสำนักศักดิ์สิทธิ์ ล้วนมีฝีมือการต่อสู้ไม่ธรรมดาและมีจิตใจโหดเหี้ยม สาเหตุที่มาปรากฏตัวในวันนี้ก็เพื่อคอยรับใช้ศิษย์ผนึกฤทธิ์และปกป้องพวกเขาด้วยชีวิต!
“ทำความเคารพหัวหน้าอาจารย์อาวุโส!” สิบแปดศิษย์ผนึกฤทธิ์และสามสิบหกอนธบริบาลแสดงสีหน้าเคร่งขรึมยามเดินเข้ามายังโถงทางสวรรค์ โค้งคำนับให้ฉือซงจื่อโดยพร้อมเพรียงกัน ไม่มีใครกล้าเสียมารยาท
นี่เป็นกฎของสำนักศักดิ์สิทธิ์ หากจะถามว่าที่ใดมีกฎเรื่องลำดับขั้นอาวุโสมากที่สุดในหมู่ห้าสุดยอดแห่งเอกภพจักรวรรดิ เช่นนั้นก็คงต้องเป็นสำนักศักดิ์สิทธิ์
ส่วนที่อื่นหากขัดคำสั่งผู้อาวุโสก็อาจเป็นเรื่องยอมรับได้ แต่ในสำนักศักดิ์สิทธิ์นั้นนับว่าเป็นโทษตายได้ทีเดียว!
ด้วยเหตุนี้ ศิษย์สำนักศักดิ์สิทธิ์จึงให้ความรู้สึกเยือกเย็น โหดเหี้ยม และเด็ดเดี่ยวกว่าใคร
“ผู้อาวุโส ในความคิดของศิษย์ ผู้เข้าร่วมที่แกร่งที่สุดในการถกวิถีเต๋าคือผู้อาวุโสนิกายอำนาจเทวะ เหลิ่งซิงหุน! เขาบรรลุขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นสมบูรณ์เมื่อหนึ่งหมื่นสามพันปีก่อน เลื่องลือกันว่าเป็น ‘ที่สุดแห่งเอกภพจักรวรรดิ’ หาใครเทียมได้ ผ่านไปหลายปีแล้วเขาก็ยังยับยั้งพลังบ่มเพาะตนเอง ยังไม่ขึ้นขอบเขตมหาราชเทวาเสียที ดังนั้นคงมีฝีมือสูงส่งจนคาดไม่ถึงแล้ว” ศิษย์ผนึกฤทธิ์คนหนึ่งเอ่ยเสียงเรียบขึ้น เหมือนกำลังพูดประโยคบอกเล่าออกมาโดยไม่เจืออารมณ์ใด
ฉือซงจื่อได้ยินแล้วก็พยักหน้า “เหลิ่งซิงหุนเป็นคนที่แกร่งที่สุดในยอดฝีมือขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลนิกายอำนาจเทวะที่เข้าร่วมการถกวิถีเต๋าจริง”
เขาหยุดไปเล็กน้อยแล้วว่าต่อ “ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงนิกายอำนาจเทวะหรอก ศัตรูของพวกเจ้าควรจะต้องเป็นเขาเทพพยากรณ์ ตำหนักเต๋าหนี่หวา และสำนักเต๋าต่างหาก”
เอ่ยจบ คนอื่น ๆ ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะในแดนเทพโบราณก็รู้ดีอยู่แล้วว่าในหมู่ห้าสุดยอดแห่งเอกภพจักรวรรดิ เขาเทพพยากรณ์และตำหนักเต๋าหนี่หวามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ส่วนนิกายอำนาจเทวะและสำนักศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นมิตรกันอยู่ แต่สองกลุ่มนี้กลับเหมือนเผชิญหน้ากันอยู่ตลอด เป็นศัตรูมาหลายชั่วอายุคน ทำอย่างไรก็ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้
ส่วนสำนักเต๋านั้นวางตัวเป็นกลางมาตลอด
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่แปลกที่ฉือซงจื่อวางเป้าหมายเป็นเขาเทพพยากรณ์ ตำหนักเต๋าหนี่หวา และสำนักเต๋า
“ข้าคิดว่าคงโหยวหรานจากตำหนักเต๋าหนี่หวาเองก็ดูถูกไม่ได้เช่นกัน นางเป็นทายาทสายตรงของราชานกยูงบรรพกาล มีความฉลาดเฉลียวอยู่ภายใน แม้จะอยู่เพียงขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล แต่ก็เข้าใจวิชาห้าวัฏจักร เบญจธาตุ สีทั้งห้า เบญจขันธ์ และห้าจิตวิญญาณแล้ว พรสวรรค์เองก็ไม่ใช่ย่อย พลังบ่มเพาะลึกล้ำ ว่ากันว่าเป็นยอดฝีมือขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลอันดับหนึ่งแห่งตำหนักเต๋าหนี่หวา” ศิษย์ผนึกฤทธิ์สตรีเอ่ยขึ้น
“คงโหยวหราน…. สตรีผู้นั้นไม่ธรรมดาเลย” ฉือซงจื่อพยักหน้ากล่าว “แต่พวกเจ้าทุกคนต้องอย่ามองข้ามศิษย์ที่มีนามว่าสืออวี๋แห่งตำหนักเต๋าหนี่หวา จากข้อมูลที่ข้าได้มา ตัวตนชาติก่อนของเขาไม่ธรรมดา เคยติดตามหนี่หวาท่องใต้หล้าเมื่อครั้งบรรพกาล มีชื่อเสียงดังไกลไม่ใช่น้อย ตอนนี้เขาจดจำอดีตชาติได้แล้ว ถึงแม้จะอยู่เพียงขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล แต่จะประเมินเขาต่ำไปไม่ได้”
สืออวี๋!
ใจทุกคนสั่นสะท้านจดจำชื่อนี้ไว้ไม่ลืมเลือน
“มีใครอีก?” ฉือซงจื่อถาม
“ผู้อาวุโส ถ้าคิดว่าเย่เฉินและอวี้จิ่วหุยแห่งสำนักเต๋าเองก็ไม่ธรรมดา ไม่ได้ไปกว่าเหลิ่งซิงหุนและคงโหยวหรานเลย” ชายหนุ่มคิ้วสีขาว นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้ม ใบหน้าหล่อเหลาเป็นอย่างยิ่งเอ่ยขึ้น น้ำเสียงทุ้มต่ำ เผยแววดึงดูดเฉพาะตัวออกมา
เขาว่าจบ ก็ดึงสายตาศิษย์ของทุกคนภายในห้องโถงมาได้ เป็นสายตาที่ประหลาดใจอยู่เล็กน้อย
กระทั่งฉือซงจื่อยังชะงักไปบ้าง คนผู้นี้มีใบหน้าหล่อเหลาเป็นยิ่งนัก มีนามว่าจูเชี่ยนอวี้ เป็นศิษย์ผนึกฤทธิ์อันดับสองแห่งสำนักศักดิ์สิทธิ์ พลังบ่มเพาะสูงส่งทีเดียว
จูเชี่ยนอวี้เป็นทายาทสายตรงของจ้าวแห่งเทพอสูรยุคบรรพกาล มังกรอสรพิษ สายเลือดมีความเข้มข้นไม่เหมือนใคร
หากไม่ใช่เพราะโชคชะตาในแดนรวนเรลืมเลือน คนอย่างเขาก็คงขึ้นขอบเขตมหาราชเทวาไปหลายปีแล้ว และขึ้นเป็นหัวหน้าอาจารย์อาวุโสแห่งสำนักศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว
ทว่าตอนนี้จูเชี่ยนอวี้กลับเอ่ยว่าจะประมาทเย่เฉินและอวี้จิ่วหุยแห่งสำนักเต๋าไปไม่ได้ จึงรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่ใช่น้อย
เป็นที่รู้กันว่าเย่เฉินกับอวี้จิ่วหุยขึ้นขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลมาเพียงไม่กี่สิบปีก่อนเท่านั้น แล้วจะเทียบชายแก่ที่อยู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลมานานหลายปีอย่างเหลิ่งซิงหุนที่มีชื่อเสียงดังไกลได้อย่างไร?
แม้แต่คงโหยวหรานจะทะลวงขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลมาได้หลายพันปีแล้วเช่นกัน
ด้วยความที่จูเชี่ยนอวี้เอาเย่เฉินกับอวี้จิ่วหุยมาเทียบกับเหลิ่งซิงหุนและคงโหยวหราน จึงทำให้ผู้คนประหลาดใจอยู่เล็กน้อย
แต่ทุกคนก็รู้เช่นกันว่าแม้คนคู่นั้นจะอยู่ขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณ แต่เย่เฉินกับอวี้จิ่วหุยก็ได้รับอันดับที่หนึ่งและอันดับที่สองบนเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณมาโดยตลอด
จนเมื่อหลายปีก่อนตอนทั้งคู่ขึ้นสู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลพร้อม ๆ กัน ตอนนั้นบังเกิดปรากฏการณ์ฟ้าดินตกตะลึงไปทั่วทั้งเอกภพจักรวรรดิ ทำให้ทุกคนต้องร้องด้วยความชื่นชม
แต่สุดท้าย… พวกเขาก็แค่ขึ้นขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลมาได้ไม่กี่สิบปีเท่านั้น พลังบ่มเพาะจะล้ำลึกเพียงไหนกัน?
ในตอนนี้จูเชี่ยนอวี้เหมือนยังไม่เห็นสายตาผิดปกติที่ทุกคนส่งมา น้ำเสียงยังคงเอ่ยอย่างเชื่องช้า“เย่เฉินเป็นทายาทตระกูลเย่แห่งนิรันดร์กาล ทุกคนคงรู้ดีว่าบรรพบุรุษของเขาเป็นเจ้าแห่งราตรีนิรันดร์กาลในอดีต เป็นตัวตนน่าเกรงขามที่ยังคงทำให้มหาเทพเต๋าหลายคนรู้สึกหวาดกลัว แต่พวกเจ้าคงยังไม่รู้ว่าเย่เฉินนั้นได้รับรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้าที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ด้วย!”
รากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้า! ทุกคนเริ่มมีสีหน้าจริงจังทันใด
“ส่วนอวี้จิ่วหุยอาจจะถูกรัศมีเย่เฉินกลบไป ทำให้ทุกคนมัวแต่ไปสนใจเย่เฉิน มองข้ามตัวตนของเขาไป” ดวงตาสีน้ำเงินของจูเชี่ยนอวี้เต็มไปด้วยกระแสแสงน่าหวาดกลัว “ทุกคนในใต้หล้าไม่รู้เลยว่า ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์ รากฐานพลัง หรือจะเป็นเรื่องฐาน เขาเองไม่ได้ด้อยไปกว่าเย่เฉินเลยสักด้าน! สาเหตุที่อันดับต่ำกว่าเย่เฉินก็เป็นเพราะเขายังขาดโชคชะตาอยู่เล็กน้อยนั่นเอง”
ยามได้ยินหลายคนก็เหมือนตกอยู่ในภวังค์ความคิด พากันเงียบสนิทไม่เอ่ยคำ
ใบหน้านิ่งเฉยเยือกเย็นของฉือซงจื่อเผยแววชื่นชมขึ้นมา “พูดได้ดี ระหว่างเย่เฉินกับอวี้จิ่วหุยนั้นต่างกันเพียงเส้นชะตาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรสำนักเต๋าก็ไม่สามารถชุบเลี้ยงทั้งสองมาได้อย่างเท่าเทียมกันทุกด้านอยู่แล้ว แม้จะไม่เท่าเทียมกันเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้เกิดความต่างพลังกันได้เช่นนี้”
“ผู้อาวุโสระดับสูง ข้าเห็นต่าง” ศิษย์ผนึกฤทธิ์คนหนึ่งกล่าว
“ว่ามาได้เลย” ฉือซงจื่อเอ่ยเสียงเรียบ
“แม้ว่าเย่เฉินกับอวี้จิ่วหุยจะมีพรสวรรค์และรากฐานร่างกายไม่ธรรมดา แต่ก็ขึ้นขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลมาได้ไม่เท่าไหร่อยู่ดี พลังต่อสู้ของพวกเขาในตอนนี้….”
ศิษย์ผนึกฤทธิ์ผู้นั้นยังพูดไม่ทันจบ จูเชี่ยนอวี้ก็ขัดขึ้นมาก่อน “เรื่องนั้นไม่นับเป็นอะไรสำหรับสำนักเต๋า ตราบเท่าที่มีทรัพยากรและมีโชคดีเคียงข้าง เวลาที่ใช้ในการบ่มเพาะก็ไม่ได้มีผลต่อการฝึกฝนจนฝีมือก้าวกระโดดได้เลย!”
เขาหยุดไปเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “อีกทั้งเท่าที่ข้ารู้มา เพื่อให้สองคนนี้เข้าการถกวิถีเต๋าได้ สำนักเต๋าถึงกับเปิดใช้แดนวสันต์โบราณไว้ แล้วส่งพวกเขาเข้าไปบ่มเพาะพลังที่นั่น หากไม่เกิดเหตุร้ายอะไร พวกเขาก็คงขึ้นขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นสมบูรณ์ไปนานแล้ว”
แดนวสันต์โบราณ!
มันเป็นดินแดนเร้นลับโบราณที่สามารถเปลี่ยนผันกาลเวลาได้ ตามตำนานเล่าไว้ว่า หากฝึกฝนอยู่ภายในนั้นพันปี เท่ากับผ่านโลกภายนอกไปเพียงหนึ่งวัน เป็นเรื่องเหลือเชื่อยิ่งนัก
ซึ่งต่างจากมหาเต๋าแห่งกาลเวลาในการบ่มเพาะพลัง เต๋ารู้แจ้งแห่งกาลเวลาจะสามารถนำมาใช้ในการต่อสู้และสามารถใช้กับสิ่งที่ไม่มีชีวิตได้เท่านั้น
เหตุผลนั้นไม่ซับซ้อน ทวยเทพแต่ละคนย่อมทำความเข้าใจพลังกาลเวลาได้แล้ว ดังนั้นมันจึงไม่อาจส่งผลต่อพวกเขาได้อีก
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีความสามารถในการหมุนเวลาย้อนกลับหรือเปลี่ยนผันมันได้อยู่ดี
ไม่เช่นนั้นทั้งแดนเทพโบราณคงได้กลับตาลปัตรวุ่นวายไปนานแล้ว
ห้วงมิติเวลาประกอบไปด้วยมิติและเวลา ยามมันตกอยู่ในความโกลาหล เช่นนั้นก็ถึงวันโลกล่มสลาย
แม้ผู้บ่มเพาะจะสามารถทำลายห้วงมิติและห้วงเวลาได้ในฝ่ามือเดียวยามต่อสู้ แต่เมื่อจบการต่อสู้เมื่อไหร่ มันก็จะฟื้นตัวได้เมื่อเวลาผ่านไปสักหน่อย
กล่าวโดยง่ายคือ พลังแห่งกาลเวลานั้นทวยเทพล้วนเข้าใจ แต่จะใช้เปลี่ยนผันย้อนกาลได้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
การหน่วงเวลา ชั้นห้วงเวลา คลื่นห้วงเวลา…. ทั้งหมดล้วนเป็นความสามารถที่ใช้ในการต่อสู้ได้ทั้งสิ้น เป็นอำนาจจากพลังกาลเวลา แต่ไม่อาจดำรงอยู่ได้ชั่วนิรันดร์
ดังนั้นเมื่อทุกคนรู้ว่าสำนักเต๋าเปิดใช้แดนวสันต์โบราณ และส่งเย่เฉินกับอวี้จิ่วหุยเข้าไปบ่มเพาะพลังที่นั่น ทุกคนภายในห้องโถงจึงเงียบเสียง และยอมรับความคิดเห็นของจูเชี่ยนอวี้ไปโดยปริยาย
อย่างไรก็ใช่ว่าจะเปิดใช้แดนวสันต์โบราณตามใจชอบได้ เพราะต้องใช้อย่างน้อยสามมหาเทพเต๋า ทั้งยังต้องใช้สมบัติล้ำค่าอีกเป็นจำนวนมากในการเปิดเพียงครั้งเดียว
แสดงให้เห็นว่าสำนักเต๋ายอมลงทุนครั้งใหญ่เพื่อให้เย่เฉินกับอวี้จิ่วหุยเข้าการถกวิถีเต๋าแห่งแดนรวนเรลืมเลือนเลยทีเดียว
เมื่อเป็นเช่นนี้ หากยังคิดประมาทพลังของเย่เฉินกับอวี้จิ่วหุยแล้ว ก็คงเป็นพวกสายตาคับแคบดักดานไร้ความคิดในการพัฒนาตนแล้ว