บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1838 ผู้ดูหมิ่นจะไม่มีการให้อภัย
บทที่ 1838 ผู้ดูหมิ่นจะไม่มีการให้อภัย
………………..
บทที่ 1838 ผู้ดูหมิ่นจะไม่มีการให้อภัย
ชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อคลุมสีแดง ผู้ซึ่งมีท่าทางเย็นชาและอาฆาต คือ เล่ยฝู ปุโรหิตชุดแดงของนิกายอำนาจเทวะ และเป็นจักรพรรดิเก้าดารา
ในเวลาเดียวกัน เล่ยฝูยังเป็นผู้นำกลุ่มของนิกายอำนาจเทวะที่เข้าร่วมการถกวิถีเต๋า ในขณะที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลจากนิกายอำนาจเทวะทั้งสี่สิบคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง คือผู้บ่มเพาะที่เข้าร่วมการถกวิถีเต๋าครั้งนี้
ในขณะนี้เล่ยฝูและคนอื่น ๆ รุดมาอย่างไม่ได้รับเชิญ และย่อมไม่ใช่เรื่องดี
บรรยากาศในห้องโถงเงียบกริบ
เฉินซีและคนอื่น ๆ มีท่าทางเย็นชา พวกเขาต่างนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าโต๊ะโดยไม่ขยับ ทั้งยังไม่คิดจะยืนขึ้นเพื่อต้อนรับ ‘แขก’ เหล่านี้เลย
จักรพรรดิหรงสวินรู้สึกประหลาดและสับสนเล็กน้อย เขามองไปที่อิ่งฉินที่ยืนอยู่หน้าทางเข้าห้องโถง และดูเหมือนจะงุนงงว่าทำไมอิ่งฉินถึงนำผู้บ่มเพาะของนิกายอำนาจเทวะมาที่นี่
อย่างไรก็ตาม เล่ยฝูและคนอื่น ๆ ไม่ได้สังเกตเห็นบรรยากาศอันละเอียดอ่อนในห้องโถงเลย และทั้งหมดเข้าไปในห้องโถงแล้ว
เห็นได้ชัดว่าเหวินถิงจำเล่ยฝูได้เช่นกัน ดังนั้นเมื่อนางได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย นางไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น แต่กลับกล่าวอย่างเฉยเมย “เป็นเวลากว่าหมื่นปีแล้ว น่าเสียดายที่ศิษย์พี่เว่ยจือได้สละชีพเพื่อปกป้องเจ้า มิฉะนั้นเจ้าอาจไม่สามารถยืนต่อหน้าข้าได้ในวันนี้”
เสียงของนางสงบราวกับสายน้ำ แต่ก็แฝงด้วยคำถากถาง ทั้งยังก้องกังวานไม่รู้จบไปทั่วห้องโถงอันกว้างขวางและเงียบงันนี้
ทันใดนั้นแววตาของเล่ยฝูก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา จากนั้นก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และกล่าวว่า “สหายเต๋าเหวินถิง ช่างมีความทรงจำที่ดีจริง ๆ เนื่องจากศิษย์พี่เว่ยจือของข้าได้เสียชีวิตภายใต้น้ำมือเจ้า ข้าจึงเฝ้ารอโอกาสที่จะล้างแค้นให้เขาอยู่เสมอ น่าเสียดายที่เจ้าเอาแต่หลบซ่อนตัวอยู่ในเขาเทพพยากรณ์ และไม่เคยปรากฏในโลกภายนอกเลย ทำให้ข้าต้องทนทุกข์กับมันอย่างขมขื่นมานานหลายปี ความรู้สึกเช่นนี้ช่างปวดร้าวจริง ๆ”
เสียงที่หม่นหมองและแหบแห้ง เผยให้เห็นถึงความขุ่นเคืองที่สุดพรรณนา และมันกวาดไปทั่วห้องโถงราวกับพายุอันเยียบเย็น ทำให้เฉินซีและคนอื่น ๆ ตกตะลึงในใจ
ศิษย์พี่ของปุโรหิตเสื้อแดงเล่ยฝู เสียชีวิตด้วยน้ำมือของเหวินถิงเมื่อกว่าหมื่นปีก่อนจริงหรือ?
ถ้าเป็นเช่นนั้น ที่เล่ยฝูมาครั้งนี้ก็เพื่อที่จะล้างแค้นหรือ?
แม้แต่จักรพรรดิหรงสวินและจักรพรรดิอิ่งฉินก็ดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องนี้ ดังนั้นสีหน้าของพวกเขาจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
บรรยากาศในห้องโถงยิ่งเงียบลงกว่าเดิม อากาศดูคล้ายเย็นลง และมันกดดันจนแทบหายใจไม่ออก
“งั้นเจ้าก็มาเพื่อล้างแค้นให้ศิษย์พี่ของเจ้ากระมัง?” ในที่สุดเหวินถิงก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาที่เต็มไปด้วยดวงดาวของนางก็มองตรงไปที่เล่ยฝูซึ่งยืนอยู่ในระยะไกล ขณะที่รอยยิ้มเย้ยหยันอย่างไม่ปกปิดก็ปรากฏที่มุมปากของนาง
“อย่างไรก็ตาม ด้วยความสามารถในปัจจุบันของเจ้า มันยังไม่คู่ควร”
เหวินถิงเป็นจักรพรรดิแปดดารา ทว่าในตอนนี้ นางกลับจ้องตาจักรพรรดิเก้าดารา และแสดงท่าทีดูแคลนอย่างไม่ปิดบัง สิ่งนี้ทำให้คนอื่นรู้สึกว่ามันไร้สาระและไม่คาดคิดเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม เหล่าศิษย์ของเขาเทพพยากรณ์ดูเหมือนจะสงบมาก
แม้แต่เฉินซีก็ไม่แปลกใจ เพราะเขามักจะพิชิตขอบเขตการบ่มเพาะเพื่อสังหารศัตรูของเขา ประกอบกับความจริงที่ว่า ตอนนี้เขาตระหนักอย่างชัดเจนว่าศิษย์ของเขาเทพพยากรณ์ทุกคนไม่ใช่ผู้เยี่ยมยุทธ์ธรรมดา ดังนั้นเขาจึงไม่คิดว่าจะมีอะไรผิดปกติกับเรื่องนี้
ตรงกันข้าม เหล่าศิษย์จากนิกายอำนาจเทวะล้วนมีสีหน้าอาฆาตเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้
สีหน้าของเล่ยฝูก็เช่นกัน แววตามาดร้ายจ้องเหวินถิงเขม็ง และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่น่าพรั่นพรึงว่า “เราจะรู้ได้อย่างหากไม่ได้ลอง?”
เหวินถิงเบือนสายตาออกไป และนางก็ไม่เหลือบแลเล่ยฝูอีกเลย นางยกถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นแล้วจิบเบา ๆ ก่อนกล่าวว่า “ข้าแนะนำว่าอย่าลองเลยจะดีที่สุด เมื่อหลายปีก่อน ศิษย์พี่ของเจ้ามีการบ่มเพาะสูงกว่าข้าถึงสองขั้น แต่สุดท้ายก็ยังต้องจบชีวิต แล้วเจ้าคิดว่าตนเองนั่นแข็งแกร่งกว่าศิษย์พี่ของเจ้าหรือไม่?”
เพียงคำพูดเหล่านี้ ก็ทำให้สีหน้าของเล่ยฝูเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว บรรยากาศก็ยิ่งมืดมนและเต็มไปด้วยกลิ่นอายฆ่าฟันมากขึ้น
เมื่อสังเกตเห็นบรรยากาศของการเผชิญหน้า ซึ่งแสดงสัญญาว่าใกล้จะปะทุเมื่อใดก็ได้ จักรพรรดิหรงสวินก็ไม่สามารถนั่งนิ่งได้อีกต่อไป เขารีบลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า “สหายเต๋าทุกท่านมาเพื่อการถกวิถีเต๋าครั้งนี้ และเจ้าไม่อาจทำลายการถกวิถีเต๋าด้วยเรื่องส่วนตัวเป็นอันขาด ข้าคิดว่าเจ้าทั้งสองคงไม่ปรารถนาที่จะเห็นผลที่ตามมาอย่างแน่นอน”
เหวินถิงเพียงยิ้ม ทั้งไม่ยอมรับ และไม่เห็นด้วย
เล่ยฝูหายใจเข้าลึก ๆ เมื่อได้ยินสิ่งนี้ จากนั้นจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สหายเต๋าหรงสวิน เจ้าเข้าใจผิดแล้ว การที่ข้ามาที่นี่ครั้งนี้ จุดประสงค์ก็เพื่อให้เหล่าศิษย์ของข้าได้ทำความรู้จักกับศิษย์ของเขาเทพพยากรณ์ที่เข้าร่วมในการถกวิถีเต๋าครั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้อื่นเข้าใจพวกเขาผิดในระหว่างการถกวิถีเต๋า”
ขณะที่กล่าว เขาก็เบือนสายตาจากเหวินถิง แล้วเลื่อนมายังเฉินซีและคนอื่น ๆ หลังจากนั้น คิ้วของเขาเลิกขึ้น และเผยท่าทางแปลก ๆ เล็กน้อย “สิบคนเองเหรอ? ฮ่า ฮ่า เขาเทพพยากรณ์ของเจ้ามีความมั่นใจเช่นเคยจริง ๆ”
เสียงของเขาเผยให้เห็นการถากถางเล็กน้อย
“ท่านอาจารย์เล่ยฝู ศิษย์ไม่คิดว่ามันเป็นความมั่นใจ แต่เป็นความจองหอง” ทันใดนั้น ศิษย์ของนิกายอำนาจเทวะก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขาสวมเสื้อคลุมสีดำ มีใบหน้าผอมแห้ง จมูกเหยี่ยว ท่าทางเย็นชาและดุร้าย
โครม!
“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครถึงบอกว่าว่าจองหอง? ทำไมเราไม่ประลองกันที่นี่เลย? ผู้แพ้จะต้องคุกเข่าและขออภัยต่อหน้าทุกคน ตกลงหรือไม่?” ถูเมิ่งตบโต๊ะและยืนขึ้น พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดังกังวาน ดวงตากลมโตจ้องเขม็งที่ชายจมูกเหยี่ยวอย่างดุร้าย
ใบหน้าของชายจมูกเหยี่ยวมืดครึ้ม และเค้นหัวเราะเสียงเย็น “ไยเจ้าต้องเอะอะโวยวายด้วย? หากเจ้าต้องการต่อสู้ โดยปกติแล้ว ข้าย่อมให้เจ้าได้ลิ้มลองความสามารถของข้าเมื่อการถกวิถีเต๋าเริ่มขึ้น แต่ครั้งนี้เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อต่อสู้”
ขณะที่กล่าว เขาก็กวาดสายตาไปยังบรรดาศิษย์เขาเทพพยากรณ์ จากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ผู้ใดคือเฉินซี? เสนอหน้าออกมาให้ข้าเห็นหน่อย!”
วาจาเหล่านี้เปี่ยมด้วยน้ำเสียงออกคำสั่ง และเป็นการดูถูกอย่างยิ่ง
“ไอ้สารเลว! ชื่อของอาจารย์อาของข้า เป็นสิ่งที่เจ้าคู่ควรแก่การเอ่ยถึงหรือ?” ถูเมิ่งชี้นิ้วไปที่ชายคนนั้น ขณะที่ตวาดเสียงดัง
อาจารย์อา?
โดยไม่คาดคิด วิธีเรียกหาของถูเมิ่ง ทำให้ชายจมูกเหยี่ยวตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้น จู่ ๆ เขาก็หัวเราะเย้ย แล้วหันไปกล่าวกับคนที่อยู่ข้าง ๆ “พวกเจ้าได้ยินหรือไม่? เจ้าเด็กขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลนั่นกลายเป็นอาจารย์อาของพวกเขา ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”
คนอื่น ๆ ก็เผยสีหน้าพิกลเช่นกัน และหลายคนก็หัวเราะเยาะเย้ย
เพียะ!
ทันใดนั้น เหวินถิงก็เหวี่ยงมือตบชายจมูกเหนี่ยวด้วยพลังที่มองไม่เห็นจนหน้าหัน ส่งผลให้ใบหน้าของเขาปูดบวมขึ้น ทั้งยังมีเลือดไหลออกมาจากทั้งปากและจมูก พร้อมกับฟันบางส่วนกระเด็นหลุดออกจากปาก
หลังจากนั้น เขาก็ส่งเสียงร้องโหยหวน ร่างกระเด็นกลับไปกว่าสิบสองจั้ง กลิ้งไปกับพื้นเหมือนน้ำเต้า และกระตุกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเร็วมาก และไม่มีคาดคิดว่าด้วยฐานะของเหวินถิง นางจะกล้าลงมือกับบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลจากนิกายอำนาจเทวะจริง ๆ
แม้แต่ปุโรหิตชุดแดงเล่ยฝูก็คาดไม่ถึง ทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือได้ทันเวลา
“เหวินถิง! นี่มันหมายความว่าอย่างไร!?” ใบหน้าของเล่ยฝูขุ่นเคืองขณะแค่นเสียงเย็น “เจ้ายิ่งใหญ่มาจากไหน ถึงกล้ามารังแกศิษย์ข้า!”
“ศิษย์ตัวน้อยอย่างเขากลับกล้าดูหมิ่นอาจาย์อาของข้า ข้าไม่ฆ่าเขาก็ถือว่าปรานีมากพอแล้ว” เหวินถิงกล่าวอย่างเฉยเมย “หากสิ่งนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง เจ้าก็รอฝังเจ้าคนปากไม่มีหูรูดได้เลย”
ทุกคนต่างตกตะลึงในใจ และตระหนักดีว่า ตามอุปนิสัยของเหวินถิง นางจะทำตามที่กล่าวแน่นอน
ในทางกลับกัน เมื่อพวกเขาเห็นจักรพรรดิแปดดาราเช่นเหวินถิงลงมือ เนื่องจากชื่อเสียงของ ‘อาจารย์อา’ ในขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลถูกดูหมิ่น นอกจากจะทำให้ท่าทางของเหล่าศิษย์จากนิกายอำนาจเทวะเปลี่ยนไป พวกเขาก็สงบปากสงบคำ
ในทางกลับกัน เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาวแรง วิธีการจัดการกับสิ่งต่าง ๆ ของเขาเทพพยากรณ์เป็นเช่นนี้ แม้จะไม่ก่อปัญหา แต่ก็ไม่กลัวปัญหาเช่นกัน หากผู้ใดกล้ายั่วยุ พวกเขาก็กล้าทุบตีคนผู้นั้น!
มันเรียบง่ายและทระนงตัวยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ของนิกายอำนาจเทวะหรือใครก็ตาม พวกเขาจะทุบตีผู้นั้นโดยไม่ยั้งมือแน่นอน
“ทุกท่าน โปรดเห็นแก่สำนักเต๋าของข้า และอย่าได้มีโทสะเลย อย่าให้เราต้องลำบากใจเลย” จักรพรรดิหรงสวินรีบกล่าว เหตุใดอิ่งฉินจึงนำคนนิกายอำนาจเทวะมาที่นี่? ไม่รู้หรือว่านิกายอำนาจเทวะและเขาเทพพยากรณ์นั้นเป็นศัตรูกันมาตลอด?
“ฮ่า ฮ่า! สหายเต๋าหรงสวิน ไม่จำเป็นต้องกังวล พวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อพบข้าหรอกหรือ? ข้าเฉินซีอยู่นี้แล้ว เมื่อเห็นแล้วก็กรุณาออกไปด้วย เราไม่ต้อนรับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ!” ในขณะเดียวกัน ทันใดนั้น เฉินซีก็ลุกขึ้นและกล่าวอย่างไม่แยแส ดึงดูดความสนใจของทุกคนในห้องโถงทันที
เล่ยฝูตกตะลึง จากนั้นดวงตาของเขาก็หรี่ลง
ศิษย์ของนิกายอำนาจเทวะที่ยืนอยู่ด้านหลังเล่ยฝู เผยท่าทางที่หลากหลายเช่นกัน พวกเขาจ้องเฉินซีราวกับตั้งใจพินิจหาบางสิ่ง
แต่พวกเขากลับต้องผิดหวัง กลิ่นอายของเฉินซีนั้นราบเรียบ และไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดผิดแปลกได้เลย
อย่างไรก็ตาม พวกเขาจำรูปลักษณ์ของเฉินซีไว้ในใจ เหมือนกำลังทำเครื่องหมายไว้บนเหยื่อของพวกเขา
ในขณะนี้ แม้แต่จักรพรรดิอิ่งฉินของสำนักเต๋าก็ยังพินิจเฉินซีด้วยสีหน้าสงบ ไม่ทราบว่าในใจของเขากำลังคิดอะไรอยู่
“ข้าได้ยินมาว่า ครั้งเมื่ออยู่ในสามภพ เจ้าฆ่าศิษย์ของนิกายอำนาจเทวะของข้าไปหลายคน และยังยึดเหรียญทองแดงโปรยสมบัติของนิกายอำนาจเทวะของข้าไปด้วย?” ทันใดนั้น ศิษย์คนหนึ่งของนิกายอำนาจเทวะก็กล่าวขึ้น
บุคคลนี้ดูไม่ธรรมดาอย่างสุดขั้ว ผู้ครอบครองผมยาวสีแดงเลือดเป็นประกาย ผิวที่ประณีตดุจหยก รูปร่างสูงและหล่อเหลา ดวงตาคู่หนึ่งที่เปล่งประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งดูคล้ายกับเปลวเพลิงที่มาจากนรก และมันน่าพรั่นพรึงยิ่ง
ในขณะที่ยืนอย่างผ่อนคลาย เขาก็เหมือนกับหอกที่สามารถแทงทะลุท้องฟ้าได้ ยิ่งไปกว่านั้น ร่างกายยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายเย่อหยิ่งอย่างไม่มีผู้ใดเทียบได้ ประดุจเป็นเจ้าเหนือหัว หรือผู้ที่ได้รับการยกย่องในหมู่บรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล!
“ท่านอาจารย์อา เจ้าเด็กนั้นคือเหลิ่งซิงหุน เขาบรรลุขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลเมื่อกว่าหมื่นปีก่อน และได้รับการกล่าวขานว่าเป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเอกภพจักรวรรดิ ชื่อเสียงเลื่องลือไร้ผู้เปรียบ ตอนนี้เขายังไม่บรรลุสู่ขอบเขตมหาราชเทวา ดังนั้นเขาคงใช้เคล็ดวิชาลับบางอย่างเพื่อระงับการบ่มเพาะอย่างแน่นอน และอาจทำเพื่อประโยชน์ในการเข้าสู่แดนรวนเรลืมเลือน” เสียงของเหวินถิงดังก้องอยู่ในหูเฉินซี ทำให้เฉินซีสามารถทราบตัวตนของชายชุดดำได้ทันที
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง ขณะที่หัวใจสั่นไหว เพื่อประโยชน์ในการเข้าสู่แดนรวนเรลืมเลือน เขาไม่ลังเลที่จะระงับการบ่มเพาะของตนเป็นเวลากว่าหมื่นปี คนผู้นี้ช่างอดทนจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม เฉินซีกลับอย่างเฉยเมยแทน “ข้าฆ่าพวกมัน เพราะพวกมันสมควรตาย สำหรับเหรียญทองแดงโปรยสมบัติมันเป็นเพียงสินสงครามเท่านั้น”
คำพูดเหล่านี้ตรงไปตรงมาอย่างสิ้นเชิง และทำให้ใบหน้าของเล่ยฝูแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ในขณะที่แววตาก็มืดมนอย่างมาก
เหลิ่งซิงหุนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มและพยักหน้า “เป็นเรื่องดีที่เจ้ายอมรับมัน ข้าจะยึดมันคืนจากเจ้า”
น้ำเสียงของเขาราบเรียบ แต่แฝงความหมายลึกซึ้ง และเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจที่จะต่อสู้เพื่ออำนาจสูงสุด!
………………..