บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1844 ได้รับหม้อมาอย่างไม่คาดคิด
บทที่ 1844 ได้รับหม้อมาอย่างไม่คาดคิด
………………..
บทที่ 1844 ได้รับหม้อมาอย่างไม่คาดคิด
“เรื่องเร่งด่วนในยามนี้ คือการค้นหาหม้อจารึกเต๋าโบราณ แล้วไปพบกู่เยี่ยนกับคนอื่น ๆ” เฉินซีเหาะเหินอย่างปราดเปรียว พลางคิดคำนึงในใจอย่างรวดเร็ว
ในรอบแรกของการถกวิถีเต๋า มีหม้อจารึกเต๋าโบราณเพียงยี่สิบห้าใบ และนั่นหมายความว่ามีแค่ยี่สิบห้าคนเท่านั้นที่จะสามารถเข้าสู่รอบที่สองได้
ดังนั้นจึงเป็นที่ประจักษ์ชัด ว่าการแข่งขันระหว่างพวกเขาจะรุนแรงปานใด
ตามความคิดของเฉินซี หากศิษย์เขาเทพพยากรณ์ได้รับหม้อจารึกเต๋าโบราณมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น แต่เขาก็ทราบดีว่าเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ศิษย์เขาเทพพยากรณ์บางคนจะถูกกำจัดเมื่อรอบแรกสิ้นสุดลง
ท้ายที่สุด การถกวิถีเต๋าครั้งนี้ก็มีผู้เยี่ยมยุทธ์มากมาย ทั้งยังไม่มีบุคคลธรรมดาทั่วไปแม้แต่คนเดียว เมื่อรวมกับความจริงที่ว่า พิภพกุมภเต๋านั้นกว้างใหญ่ไพศาลมาก พวกเขาอาจไม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้ทันเวลา หากศิษย์คนอื่น ๆ ประสบเหตุร้าย
ในฐานะผู้อาวุโสระดับบรรพจารย์เพียงคนเดียวจากเขาเทพพยากรณ์ที่เข้าร่วม ดังนั้นเฉินซีจึงต้องพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อช่วยให้เหล่าศิษย์ของเขาเทพพยากรณ์ได้รับหม้อจารึกเต๋าโบราณให้มากยิ่งขึ้นได้มากขึ้น
“ตามกฎของการถกวิถีเต๋า ชัดเจนว่าไม่อนุญาตให้เรารวมกลุ่มกัน ในทางกลับกัน แม้ข้าจะไม่สังหารคนอื่นเพื่อแย่งชิงหม้อจารึกเต๋าโบราณ แต่คนอื่น ๆ จะต้องพยายามฆ่าข้าอย่างแน่นอน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ดูเหมือน…หนทางเดียวที่ข้าจะเลือกได้ คือเส้นทางแห่งการต่อสู้ไม่รู้จบ…”
เฉินซีหยุดคิดถึงเรื่องนี้ทันทีเมื่อเขาตัดสินใจแล้ว
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วธูป
หัวใจของเฉินซีก็สั่นไหว
โอม!
ในเวลาเดียวกันนั้น เกลียวคลื่นที่คลุมเครือก็อุบัติขึ้นจากระยะไกล
ทันใดนั้น ดวงตาของเฉินซีทอประกายแสงแปลก ๆ และสายตาของเขาจับจ้องไปยังภูเขาในระยะไกล
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์นั้นมีรูปร่างเหมือนวัวที่กว้างใหญ่และทรงพลัง เกลียวคลื่นที่คลุมเครือนั้นแผ่มาจากส่วนลึกของภูเขานั้น
หากเฉินซีไม่ได้ใช้อักขระผนึกเต๋า เขาก็คงเกือบจะพลาดไปแล้ว
“นั่นอาจเป็น….”
ฟึ่บ!
เฉินซีทะยานร่างพุ่งปราดออกไปอย่างไม่ลังเล
ชั่วครู่ต่อมา เฉินซีก็ปรากฏตัวที่ด้านหน้าหุบเขาที่เต็มไปด้วยลำห้วย น่าแปลกที่มีแสงเปล่งประกายเจิดจ้าออกมาจากพื้นหินของช่องเขา และแสงนี้บริสุทธิ์ราวกับแก้ว ทั้งยังปลดปล่อยกลิ่นอายโบราณและศักดิ์สิทธิ์ออกมา
เมื่อมองอย่างระมัดระวัง เฉินซีกลับต้องประหลาดใจ เพราะที่แห่งนั่นมีหม้อทองแดงสว่างไสวขนาดเท่ากำปั้น พื้นผิวเรียบลื่นอย่างสมบูรณ์ มีสามขาและสองมือจับตั้งอยู่!
เมื่อเห็นเช่นนี้ เฉินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “โชคของข้าไม่ดีเกินไปหน่อยเหรอ?”
หากเขาจำไม่ผิด หม้อทองแดงขนาดเล็กที่ประณีตใบนี้ เป็นหนึ่งในหม้อจารึกเต๋าโบราณทั้งยี่สิบห้าใบอย่างแน่นอน!
นี่เหมือนกับการส้มหล่นอย่างแท้จริง เขาเพิ่งมาถึงพิภพกุมภเต๋าได้เพียงหนึ่งชั่วธูป แต่กลับพบหม้อจารึกเต๋าโบราณอย่างไม่คาดคิด สิ่งนี้ทำให้เฉินซีอดที่จะประหลาดใจไม่ได้
ฟึ่บ!
เฉินซีไม่กล้าลังเล เขาโบกแขนเสื้อใส่แสงเต๋าที่ปกคลุมหม้อกลั่นให้ลอยขึ้น จากนั้นก็หยิบหม้อมา
เมื่อเขาถือมันไว้ในมือ เฉินซีสังเกตเห็นว่าในขณะที่หม้อใบนี้ดูเหมือนจะมีขนาดเพียงกำปั้น แต่จริง ๆ แล้วมันหนักเป็นพิเศษ อย่างน้อยที่สุดก็มีน้ำหนักสองหมื่นห้าพันจิน ซึ่งเทียบได้กับน้ำหนักของภูเขา
หม้อใบนี้ถูกแกะสลักด้วยลวดลายโบราณต่าง ๆ เช่น ดอกไม้ นก แมลง ปลา ภูเขา ทะเลสาบ แม่น้ำ เครื่องบวงสรวงแด่เทพเจ้า รูปแกะสลัก และสิ่งอื่น ๆ ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเต็มไปด้วยร่องรอยของกาลเวลาอีกด้วย
ดูเหมือนจะเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ แต่หลังจากที่เฉินซีพินิจมันอย่างระมัดระวังแล้ว เขาสังเกตเห็นว่า นอกเหนือจากกลิ่นอายลับของเต๋าที่มีอยู่มากมายแล้ว หม้อใบนี้ก็ไม่มีประโยชน์อื่นใดอีก
แน่นอนว่า อาจมีความลับบางประการซุกซ่อนอยู่ภายในนั้น แต่เฉินซีก็ไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้
ถึงกระนั้น เฉินซียังคงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่สามารถได้รับหม้อใบนี้อย่างรวดเร็ว
ทว่าเมื่อเขาตั้งใจที่จะเก็บสมบัตินี้และซ่อนมันไว้ ก็ต้องประหลาดใจอีกครั้ง เนื่องจากหม้อใบนี้ไม่สามารถเก็บในคลังสมบัติได้เลย และถึงขนาดที่จักรวาลภายในร่างกายของเขาไม่สามารถเก็บมันไว้ด้วย!
ดูเหมือนพลังที่มองไม่เห็นได้ปิดผนึกรอบ ๆ ของหม้อใบนี้ ทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะนำมันออกไป
สิ่งนี้ทำให้หัวใจของเฉินซีกระตุกวูบ และตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
แน่นอนว่า เมื่อเขาลองปกปิดกลิ่นอายเต๋าที่หม้อใบนี้แผ่ซ่านออกมา ก็พบว่าเขาไม่สามารถบรรลุได้เช่นกัน!
แน่นอนว่าเมื่อเขาต้องการปกปิดรัศมีของเต๋าที่หม้อกลั่นเล็ดลอดออกมา เขาก็สังเกตเห็นในทำนองเดียวกันว่าไม่สามารถทำได้!
นี่หมายความว่าอย่างไร?
หมายความว่าตราบเท่าที่เขานำหม้อใบนี้ติดตัวไปด้วย มันจะแผ่กลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์ของมันออกมาอย่างแน่นอน ซึ่งนี่ก็ไม่ต่างอะไรกับการประดับไข่มุกราตรีที่ส่องแสงเรืองรองไว้บนร่างกาย ซึ่งทำให้เขาโดดเด่นสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง!
หากเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ต้องครุ่นคิดอะไรมากนัก เนื่องเพราะฝ่ายตรงข้ามจะสังเกตเห็นเขาทันทีที่เป็นไปได้!
แม้ว่าเขาจะหลบซ่อนตัว แต่มันก็ไร้ประโยชน์ เว้นแต่อีกฝ่ายจะไม่ค้นพบตัวเขา แต่นั่นก็เป็นไปไม่ได้เลย
เหตุผลก็เรียบง่ายเช่นเดียวกัน เป็นเพราะกลิ่นอายของหม้อใบนี้ไม่สามารถปกปิดได้ และเทียบได้กับการแผ่จิตสัมผัสออกไปอย่างไม่หยุดยั้งตลอดเวลา ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีใครสังเกตเห็น!
ในขณะนี้ ความยินดีในใจของเฉินซีลดลงไปมากกว่าครึ่งทันที พร้อมกับขมวดคิ้วไม่รู้จบ และในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมไฮว่คงจื่อถึงกล่าวว่า มาตรแม้นจะมีวาสนาที่จะได้รับหม้อจารึกเต๋าโบราณนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะชนะในการถกวิถีเต๋านี้ เพราะจะต้องเผชิญอันตรายจากถูกการแย่งชิงหม้อใบนี้ตลอดเวลา!
“สิ่งนี้เหมือนกับเผือกร้อนจริง ๆ ถ้าข้านำติดตัวไปด้วย นั่นไม่ได้หมายความว่าข้าต้องยืนหยัดกว่าสามเดือน จนกว่าการถกวิถีเต๋ารอบแรกจะสิ้นสุดลงหรอกหรือ?”
เฉินซีทอดถอนใจ เขาตระหนักดีว่าหากทำเช่นนี้ ตัวเขาก็จะเหมือนประภาคารที่ส่องสว่างกลางทะเลมืดตลอดเวลา และจะดึงดูดความสนใจของคู่ต่อสู้นับไม่ถ้วน
“อย่างที่คาดไว้ ข้ารู้ว่ามันจะไม่ง่ายดายปานนี้” เฉินซีหัวเราะอย่างขมขื่น
ในขณะนี้ คลื่นเสียงก็ดังก้องมาจากระยะไกล
“คลื่นพลังผันผวนที่คลุมเครือนั้นมาจากที่นี่!”
“เร็วเข้า! บางทีมันอาจเป็นหม้อจารึกเต๋าโบราณ”
“หืม?”
“มีคนมาถึงก่อนเราจริง ๆ!”
“ทุกคน ระวังตัวด้วย!”
พร้อมกับเสียงเหล่านี้ เงาร่างจำนวนมากได้ทะลุท้องฟ้ามายังที่นี่ มันมีทั้งหมดห้าคน เป็นบุรุษสามคนและสตรีสองคน คนที่เป็นผู้นำคือชายชุดคลุมสีเงินที่ปล่อยผมสีขาวลงมาที่หน้าผาก คิ้วที่หนาทึบและเป็นทรง พร้อมกับท่าทางที่ภาคภูมิใจและเย็นชา
ชายคนนี้ถือง้าวเงินสองอันที่ยาวเกือบแปดฉื่อ และทุก ๆ ของกระทำของเขาจะแผ่กลิ่นอายที่น่าเกรงขาม อหังการ และเด็ดเดี่ยวออกมา
“พวกคนจากสำนักเต๋ารึ?” ในขณะนี้ เฉินซีไม่มีเวลาที่จะหลีกเลี่ยงพวกเขา เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง ก็จำที่มาที่ไปของพวกเขาได้ทันที และพวกเขาคือบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลจากสำนักเต๋า
ถึงขนาดที่เฉินซีจำได้ว่า ชายที่เป็นผู้นำมีนามว่าเฟิงอู๋หลิง ซึ่งเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นสมบูรณ์แบบ และเป็นหนึ่งในบุคคลที่ไร้ผู้ทัดเทียมอันดับต้น ๆ ของสำนักเต๋า
ตามข่าวลือ เขามีมรดกทางสายเลือดของ ‘เผ่าวายุพินาศศักดิ์สิทธิ์’ และถือเป็นผู้ที่มีคะแนนสูงสุด ซึ่งด้อยกว่าเย่เฉินและอวี้จิ่วหุยเพียงเท่านั้น
สำหรับอีกสี่คนที่อยู่ข้างหลังเฟิงอู๋หลิง ทั้งหมดล้วนเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากเช่นกัน
สรุปแล้ว มันก็เหมือนกับที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ไม่มีผู้เยี่ยมยุทธ์ธรรมดาทั่วไปสักคนเดียวในหมู่ผู้เข้าร่วมการถกวิถีเต๋านี้
“เฉินซีจากเขาเทพพยากรณ์?” เพียงแวบเดียว เฟิงอู๋หลิงก็จำเฉินซีได้ในทำนองเดียวกัน และเขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ราวกับเขาไม่เคยคาดคิดว่าจะได้พบกับชายที่ตกเป็นที่สนใจเมื่อไม่นานมานี้
ไม่นานให้หลัง เฉินซีก็หมดความสนใจในตัวพวกเขา ดังนั้นจึงหันหลังกลับ และตั้งใจที่จะจากไป
สำนักเต๋า เป็นกองกำลังที่เป็นกลางในหมู่มหาอำนาจทั้งห้า ดังนั้นเว้นแต่เขาจะไม่มีทางเลือกอื่น เฉินซีก็ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับพวกนั้น แต่หากเขาได้พบกับศิษย์ของนิกายอำนาจเทวะหรือสำนักศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนี้ ชายหนุ่มก็จะลงมือสังหารอีกฝ่ายโดยไม่กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว
“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ!” อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เฉินซีตั้งใจจากไป เฟิงอู๋หลิงและคนอื่น ๆ กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้น ในทันทีที่เฉินซีขยับ ร่างของพวกเขาก็วูบไหว และแยกย้ายกันปิดเส้นทางล่าถอยของเฉินซีอย่างสมบูรณ์
หากเขาตั้งใจหนีไป เฉินซีก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายคงไม่สามารถหยุดตัวเขาได้ อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยคาดคิดคนเหล่านี้จะลงมือต่อตนเองจริง ๆ
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีขมวดคิ้วทันที ก่อนเหลือบมองเฟิงอู๋หลิงและคนอื่น ๆ แล้วกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “อันใด? เจ้าคิดลงมือกับข้าเหรอ?”
ศิษย์สำนักเต๋าระเบิดเสียงหัวเราะทันใด ทั้งยังรู้สึกว่าคำพูดของเฉินซีดูไร้เดียงสาและน่าหัวร่อมาก
“สหายเต๋าเฉินซี เจ้าควรทราบอย่างชัดเจน ว่านี่คือการถกวิถีเต๋า และทุกคนมาที่นี่เพื่อยึดครองหม้อจารึกเต๋าโบราณ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เจ้ายังคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างนิกายอีกเหรอ หากคิดเช่นนั้นก็ผิดแล้ว” เฟิงอู๋หลิงกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง
เฉินซีดูเหมือนจะครุ่นคิด จากนั้นพลันกล่าวว่า “ดังนั้นพวกเจ้าจึงหมายแย่งชิงหม้อจารึกเต๋าโบราณที่ข้าครอบครองอยู่กระมัง?”
“หากสหายเต๋าไม่เต็มใจที่จะต่อสู้ เจ้าก็สามารถทิ้งมันไว้ได้ และเราจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอย่างแน่นอน” เฟิงอู๋หลิงกล่าวอย่างไม่แยแส
“แน่นอน ครั้นที่เราเข้าสู่พิภพกุมภเต๋า ก็ไม่มีพรรคมีพวกอีกต่อไป สำนักเต๋าของเราไม่เพียงแค่แข่งขันกับเขาเทพพยากรณ์ของเจ้า แม้แต่ศิษย์พี่น้องร่วมสำนักของเราก็ยังแข่งขันกันเอง ท้ายที่สุดก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะสามารถพิชิตชัยอีกฝ่ายได้”
“อย่ามัวเสียเวลากับเขาอีกเลย มิฉะนั้นเหตุไม่คาดฝันอาจเกิดขึ้น”
“สหายเต๋าเฉินซี โปรดตัดสินใจด้วย มิฉะนั้นอย่าหาว่าเราไร้น้ำใจ”
คนอื่น ๆ กล่าวขึ้นติดต่อกัน ราวกับว่าพวกเขามั่นใจที่จะแย่งชิงหม้อจากเฉินซีได้
ด้วยเหตุนี้ เฉินซีอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ “ข้ายอมรับว่าสิ่งที่ข้าที่ทำเมื่อครู่นี้ยังไร้เดียงสาจริง ๆ แต่พวกเจ้าก็เอาแต่พล่ามวาจาผายลม โดยไม่ลงมือแม้แต่น้อยนิด…”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ แสงเย็นเฉียบสว่างวาบในดวงตาเฉินซี ทันใดนั้น ร่างของเขาก็เปล่งประกายราวกับกระบี่คมกริบไร้ผู้เทียบเทียมที่หลุดออกจากฝักในเงามืด!
ฟึ่บ!
ปราณกระบี่วูบวาบราวกับลำแสง มันพุ่งทะลุท้องฟ้าด้วยท่าทางที่แม่นยำและดุร้ายอย่างยิ่ง พร้อมกับฟันเข้าใส่เฟิงอู๋หลิง!
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไปและกะทันหันเกินไป โดยปกติแล้ว ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลส่วนใหญ่จะไม่อาจต้านทานการจู่โจมนี้ได้
อย่างไรก็ตาม ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลส่วนใหญ่ไม่สามารถเทียบได้กับเฟิงอู๋หลิง เขามีพลังการฝึกปรือที่ไม่ธรรมดา และพร้อมทำศึกทันทีที่ตัดสินใจแย่งชิงหม้อใบนี้
ดังนั้นทันทีที่เฉินซีโจมตี แม้จะประหลาดใจเล็กน้อย แต่การกระทำของเฟิงอู๋หลิงก็ไม่ได้เชื่องช้าแต่อย่างใด เขาเหวี่ยงง้าวเงินทั้งสองโดยสัญชาตญาณ ประหนึ่งสายฟ้าสองลูกที่ถาโถมเข้าสกัดกระบวนท่าของเฉินซี
ตู้ม!
ง้าวทั้งสองเป็นสมบัติวิญญาณธรรมชาติที่มีพลังไม่ธรรมดาอย่างชัดเจน ทันทีที่พวกมันถูกใช้ ประกายแสงสีเงินก็พลุ่งพล่าน ในขณะที่เสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง ราวกับพวกมันจะอหังการอย่างไม่มีใครเทียบได้ ซึ่งบดขยี้ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเฟิงอู๋หลิงจนกลายเป็นผุยผง
อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาต่อมา ม่านตาของเฟิงอู๋หลิงก็หดตัวลงอย่างกะทันหัน
เพราะการโจมตีของเฉินซีได้เปลี่ยนวิถีกลางอากาศอย่างกะทันหัน และมันเคลื่อนตัวเป็นเส้นโค้งที่ละเอียดอ่อน ซึ่งฟาดฟันไปทางด้านข้างอย่างดุเดือด!
“มารดามัน!” หัวใจกระตุกของเฟิงอู๋หลิงกระตุกวูบ และเขาตั้งใจจะยื่นมือช่วยเหลือ แต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว
โครม!
ทันใดนั้น ประกายกระบี่ปรากฏขึ้นราวกับแสงเรืองโรจน์ และมันกะพริบวูบวาบเบา ๆ ก่อนที่เสียงปะทะโครมครามจะดังก้องกังวาน
ศิษย์ของสำนักเต๋าซึ่งอยู่ห่างจากเฟิงอู๋หลิงสิบสองจั้ง ถูกโจมตีโดยตรงอย่างรุนแรง จนกระเด็นเหมือนกระสอบทราย