บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1846 พายุโหมซัด
บทที่ 1846 พายุโหมซัด
พิภพกุมภเต๋า
ม่านราตรีดำดั่งสีหมึกโรยตัวลงมา ในขณะที่ดวงจันทร์กลมเกลี้ยงลอยอยู่สูงเด่นบนฟากฟ้า แผ่แสงสว่างกระจ่างใส
เสียงสายน้ำไหลรินผ่านช่องเขาอันเงียบสงบ เฉินซีนั่งอยู่ริมธารน้ำ แหงนหน้ามองจันทราบนฟากฟ้าแล้วถอนหายใจออกมา
ทั้งวันนี้เขาเดินทางอย่างระแวดระวังไม่หยุด ด้วยกลัวว่าจะมีใครสังเกตเห็นได้ ดังนั้นจึงไม่คิดเหินร่างบนฟากฟ้า
ถึงกระนั้นก็ยังมีหลายคนที่สังเกตเห็นเขา บ้างก็มาจากสำนักเต๋า บ้างก็มาจากนิกายอำนาจเทวะและสำนักศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่มีที่มาจากเขาเทพพยากรณ์เลย
เฉินซีไม่คิดจะต่อสู้กับพวกเขาโดยตรง ตอนนี้เขาได้หม้อจารึกเต๋าโบราณมาแล้ว สิ่งสำคัญก็ต้องปกป้องมันไว้ให้ได้ จากนั้นค่อยไปรวมตัวกับคนอื่น ๆ จากเขาเทพพยากรณ์ภายหลัง
ส่วนเรื่องการต่อสู้กำจัดศัตรูนั้น เขาไม่คิดไปสู้กับใครเว้นเสียแต่ไร้ทางเลือกแล้ว เพราะหากเลือกสู้ก็อาจเกิดเหตุร้ายขึ้นได้
โชคดีที่ที่เขาไม่เคยใช้เจตจำนงระหว่างเดินทางเลย ใช้เพียงอักขระผนึกเต๋า ดังนั้นจึงเห็นมานานแล้วว่าอีกฝ่ายสังเกตเห็นเขาได้ จึงหมุนร่างจากไปทันใด
ไม่นาน เฉินซีก็ถอนหายใจออกมาอีก พิภพกุมภเต๋านั้นแสนกว้างใหญ่ ยากนักที่จะหาตัวกู่เยี่ยนและคนอื่น ๆ พบ
ช่างเถอะ คงได้แต่ทำไปทีละขั้นทีละตอน เฉินซีส่ายหน้าแล้วก็เลิกคิดเรื่องนี้อีก
…
ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี ท่ามกลางพื้นที่อันแสนห่างไกล
ฟ่าว! ฟ่าว! ฟ่าว!
ภายในชั่วระยะเวลาหนึ่งก้านธูป เงาร่างจำนวนมากเหินผ่านฟ้ามารวมตัวกันจากทั่วทุกทิศทาง
ระหว่างทางนั้น พวกเขาเดินทางอย่างเงียบเชียบราวกับภูตผีปีศาจยามค่ำคืน แต่สุดท้ายทุกคนก็มารวมตัวกันอยู่ตรงหน้าหินก้อนหนึ่ง
ตอนนี้มีเงาร่างหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนหินก้อนนั้น เขามีเรือนผมยาวสีแดงเลือด ผิวเนียนดั่งหยกขาว นัยน์ตากระจ่างใส เหมือนเปลวไฟที่ลุกโหมขึ้นจากก้นเหวแห่งเอกภพจักรวรรดิ สามารถปลิดวิญญาณคนได้
เขานั่งนิ่งอยู่เช่นนั้น เป็นดั่งหอกแหลมที่องอาจสามารถทะลวงขึ้นถึงชั้นสวรรค์ ร่างกายเต็มไปด้วยกลิ่นอายดุดันสูงส่ง ราวกับเป็นมหาอำนาจผู้ครองคน
“ศิษย์พี่ใหญ่!” เงาร่างทั้งหลายเมื่อรวมตัวกันแล้วก็พากันโค้งคำนับให้โดยพร้อมกัน
“ไม่เลวเลย ทุกคนมาถึงแล้วสินะ” เหลิ่งซิงหุนกวาดสายตามอง ตอนนี้มีทั้งหมดสามสิบเก้าคนแล้ว ไม่ขาดไม่เกิน
“ข้าคงไม่จำเป็นต้องบอกว่าต้องทำอะไรต่อ ทำตามแผนเดิม แบ่งกลุ่มห้าคน ใช้ยามราตรีให้เป็นประโยชน์แล้วออกเดินทางเลย” เหลิ่งซิงหุนลุกขึ้นยืน อาภรณ์และผมสีโลหิตสะบัดพลิ้วไปตามแรงลม
“รับทราบ!” ท่ามกลางเสียงตอบรับพร้อมกันนั้น เงาร่างทั้งสามสิบเก้าเหมือนเข้าใจกันดี แบ่งออกเป็นกลุ่มละห้าคนทันที
ส่วนสี่คนสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ยืนอยู่ด้านหลังเหลิ่งซิงหุนอย่างเงียบเชียบ
พริบตานั้น เหล่าบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลนิกายอำนาจเทวะก็ถูกแบ่งออกเป็นแปดกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีคนทั้งหมดห้าคน
“จำไว้ว่าพอถึงยามราตรีต้องมารวมตัวกัน ห้ามทำอะไรตามอำเภอใจเด็ดขาด” เหลิ่งซิงหุนออกคำสั่ง ก่อนจะโบกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนลงมือได้
ฟ่าว! ฟ่าว! ฟ่าว!
พริบตาต่อมา ยอดฝีมือขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลนิกายอำนาจเทวะก็แยกย้ายกันออกไปอีกครั้ง พุ่งตัวออกไปรอบทิศอย่างรวดเร็ว แล้วหายไปท่ามกลางความมืดยามราตรี
…
พิภพกุมภเต๋า ณ ป่าดิบเขียวขจีแห่งหนึ่ง
คลื่นบรรเลงเพลงจากขลุ่ยอันไพเราะสง่างามดังผสานไปกับเสียงธรรมชาติลอยอยู่ท่ามกลางยามราตรีมืด เหมือนเสียงสายลมขับกล่อม ทำให้ใจคนรู้สึกสงบลงได้
ชายผู้หนึ่งที่มัดผมทรงหางม้า ท่าทางดูอบอุ่น กลิ่นอายให้ความสดชื่นทว่าองอาจผู้หนึ่งกำลังนั่งอย่างเกียจคร้านอยู่บนกิ่งไม้ ม่านแสงอันอ่อนโยนจากจันทราสาดส่องลงมา เผยให้เห็นกลิ่นอายบริสุทธิ์ที่แผ่ออกจากร่างชายหนุ่ม
เขาคือศิษย์พี่ใหญ่ผนึกฤทธิ์สำนักศักดิ์สิทธิ์ ตงหวงอิ่นเซวียน!
ตอนนี้เขากำลังนั่งพิงร่างอยู่กับต้นไม้ เป่าขลุ่ยไม้ไผ่ด้วยท่าทางแสนเอื่อย ดูสบายอารมณ์แต่ก็สุขุม เหมือนไม่ได้กำลังอยู่ในการถกวิถีเต๋าแม้สักนิด
เงาร่างจำนวนมากมารวมตัวกันอยู่ใต้ต้นไม้ต้นนี้นานแล้ว เป็นจูเชี่ยนอวี้ กงซุนมู่ และศิษย์ผนึกฤทธิ์อีกสิบห้าคน ทั้งยังมีอนธบริบาลทั้งสามสิบหกคนรวมอยู่ด้วย
พวกเขายืนอยู่เช่นนั้น ไม่มีใครกล้าแสดงความไม่พอใจออกมาให้ตงหวงอิ่นเซวียนที่ไม่ยอมทำหน้าที่ตนเองแม้สักนิด
ผ่านไปนานแล้ว เสียงขลุ่ยจึงค่อย ๆ เบาบางลง ก่อนจะหายไปในที่สุด ในที่สุดตงหวงอิ่นเซวียนก็ยืดเหยียดร่างตนด้วยความพึงพอใจ จากนั้นมองลงมาด้านล่างพร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่น “พวกเจ้าคงรอจนแทบไม่ไหวแล้วใช่หรือไม่?”
ว่าแล้วเขาก็กระโดดลงมา “คงได้เวลาเราลงมือแล้ว ศิษย์น้องเชี่ยนอวี้ เจ้าว่าเลย”
จูเชี่ยนอวี้พยักหน้า ก่อนเอ่ยขึ้นเสียงทุ้ม “จุดมุ่งหมายในครั้งนี้ของเราเหมือนกับนิกายอำนาจเทวะ นั่นคือเล็งเป้าไปที่เขาเทพพยากรณ์ จากนั้นค่อยเป็นตำหนักเต๋าหนี่หวา”
เขาเงียบไปเล็กน้อยก่อนว่าต่อ “นอกจากนั้นแล้ว อย่าลืมเอาหม้อจารึกเต๋าโบราณมาให้ได้ระหว่างทำภารกิจด้วย”
“ภายหลัง พวกเราทั้งห้าสิบสี่คนจะแบ่งออกเป็นเก้ากลุ่ม แต่ละกลุ่มจะมีคนหกคน โดยจะมีสองศิษย์ผนึกฤทธิ์สี่อนธบริบาล”
“พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?”
“รับทราบ!”
ทุกคนตอบรับพร้อมกัน
จูเชี่ยนอวี้จึงพยักหน้า จากนั้นมองไปที่สามสิบหกอนธบริบาล “แล้วอนธบริบาลทั้งสามสิบหกคนเข้าใจเหตุผลที่สำนักศักดิ์สิทธิ์ส่งพวกเจ้ามาที่นี่หรือไม่?”
“พวกเราเข้าใจดี!” ทุกคนตอบพร้อมเพรียงกัน
“จำไว้ว่าหากศิษย์ผนึกฤทธิ์ตกอยู่ในอันตราย พวกเจ้าต้องช่วยพวกเขาให้พ้นภัย ไม่ใช่สู้กับศัตรูแบบถวายชีวิต!”
“เช่นนั้นก็เริ่มเลย” ตงหวงอิ่นเซวียนยิ้มสบายอารมณ์ พูดจบแล้วสองมือก็วาดไพล่หลัง จากนั้นเดินก้าวเท้ายาว ๆ เข้าไปภายในป่าลึก
เห็นดังนี้ สี่อนธบริบาลและศิษย์ผนึกฤทธิ์อีกคนก็เดินตามเขาไปทันใด
จูเชี่ยนอวี้และคนอื่น ๆ แบ่งออกเป็นกลุ่ม ก่อนจะแวบร่างจากไปทั่วทิศ ไม่นานก็ไม่เหลือใครอยู่ในป่าโบราณอีก
…
พิภพกุมภเต๋า ณ ที่ราบไร้ขอบเขต
“โง่เขลาเสียจริง พวกเจ้าทำตามใจชอบเช่นนี้ ข้าไม่คิดอยากไปด้วยหรอก หากไปแล้วจะสนุกอะไรเล่า?” เย่เฉินส่ายหน้าแล้วหันหลังเดินจากไป
ทุกคนมองดูเขาจากไปเช่นนั้น ศิษย์สำนักเต๋าดูจะประหลาดใจอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าเย่เฉินคิดอะไรอยู่กันแน่
มีแต่ชายที่นำหน้าซึ่งอยู่ในชุดนักพรตเต๋าด้วยท่าทางมั่นคงเท่านั้นที่มีใบหน้าเคร่งขรึม
เขามีนามว่าหลี่หลูเฟิง เป็นศิษย์พี่ของศิษย์ทั้งหลายจากสำนักเต๋า อีกทั้งเขายังเป็นหัวหน้ากลุ่มสำนักเต๋าในระหว่างการถกวิถีเต๋าด้วย เขาได้รับคำสั่งจากจักรพรรดิอิ่งฉินให้คอยแลศิษย์สำนักเต๋าระหว่างอยู่ในพิภพกุมภเต๋า
ทุกคนจึงมองตามไป เห็นได้ทันทีว่าอวี้จิ่วหุยเองก็กำลังเดินออกไปเช่นกัน
“ข้ามีจุดประสงค์แตกต่างจากพวกเจ้า ฉะนั้นข้าจะไม่ขอเข้าร่วมด้วย” อวี้จิ่วหุยเอ่ยเสียงเรียบโดยไม่หันกลับมาเลย
ท่ามกลางแสงจันทร์ส่องลงมาราวกับธารน้ำ เห็นเป็นเงาร่างสูงของเขา คิ้วโก่งแฉลบขึ้นสีดำสนิท และใบหน้าเย็นชาพร้อมกับกลิ่นอายเยือกเย็นแทงลึกถึงกระดูก
“ศิษย์น้องจิ่วหุย เจ้าคิดจะไปกับเย่เฉินหรือ?” หลี่หลูเฟิงขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นดังนี้
อวี้จิ่วหุยไม่พูดอะไรอีก เงาร่างค่อย ๆ หายไปในท้องฟ้ายามราตรี
จึงทำให้หลี่หลูเฟิงยิ่งใบหน้าเคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม ในใจรู้สึกคับข้องเป็นอย่างยิ่ง สองคนนี้ไม่นึกถึงผลประโยชน์ของคนอื่นเสียบ้างเลย!
“ศิษย์พี่หลี่ แล้วเราจะเอาอย่างไรดี?” หนึ่งในนั้นถามขึ้นมา
“เราย่อมทำตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้” หลี่หลูเฟิงพูดขึ้นอย่างไม่คิดอะไรอีก จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมาในลำคอ “การถกวิถีเต๋าครั้งนี้ไม่ธรรมดาเลย รวมกันอยู่น่าจะดีที่สุด”
ทุกคนจึงชะงักไปด้วยความสงสัย
…
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในยามค่ำคืน ทุกคนภายในโถงบรรจบล้วนสังเกตเห็นกันทุกคน แม้ว่าจะไม่ได้ยินเสียงว่าคุยอะไรกัน แต่ก็พอจะคาดเดาได้ไม่ยาก
ไฮว่คงจื่อขมวดคิ้วแน่นอยู่ชั่วขณะ
เล่ยฝูนิกายอำนาจเทวะและฉือซงจื่อสำนักศักดิ์สิทธิ์กำลังคุยกันพร้อมกับรอยยิ้ม เหมือนไม่ได้สังเกตเรื่องทั้งหมดเลย
ส่วนเหวินถิงเงียบอย่างน่าประหลาด แต่ก็นึกถึงคำว่า ‘ตัวแปร’ ที่อู๋เซวี่ยฉานเอ่ยก่อนจากเขาเทพพยากรณ์ไปได้
อวี่เจินกำลังดื่มเหล้าอยู่ด้านข้าง เขาซดเหล้าจอกแล้วจอกเล่า นัยน์ตายิ่งเยือกเย็นลงทุกชั่วขณะ ยิ่งไร้อารมณ์มากขึ้นเรื่อย ๆ
“สถานการณ์ดูผิดปกติ!”
“เรื่องสนุกกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว”
“นิกายอำนาจเทวะ สำนักศักดิ์สิทธิ์ และสำนักเต๋าเริ่มลงมือแล้ว มีเพียงเขาเทพพยากรณ์กับตำหนักเต๋าหนี่หวาที่เหมือนไม่สังเกตเห็นอะไรเลย ศิษย์พวกเขาเหมือนจะเสียเปรียบอยู่แท้ ๆ”
ไม่ใช่แค่ภายในโถงบรรจบเท่านั้น แต่ตอนนี้กระทั่งยอดฝีมือที่รับชมอยู่รอบจัตุรัสแห่งการประชันเองก็สามารถสังเกตเห็นได้ว่าสถานการณ์ภายในพิภพกุมภเต๋ากำลังเปลี่ยนผันไปอย่างเงียบเชียบ คลื่นใต้น้ำกำลังสั่งสม คลื่นลมพายุกำลังโหมกระหน่ำลงมาแล้ว!
“ดูทรงแล้วเขาเทพพยากรณ์กับตำหนักเต๋าหนี่หวาคงจะโดนหนักเลยคราวนี้”
“จะเป็นไปได้อย่างไร? ข้าว่ามันแปลก ๆ นะ”
“มันเลี่ยงเรื่องแบบนี้ไม่ได้หรอก ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าศิษย์เขาเทพพยากรณ์กับตำหนักเต๋าหนี่หวาจะรับมือกับคลื่นลมที่กำลังจะซัดเข้ามาได้หรือไม่แล้ว”
“การต่อสู้ใหญ่กำลังใกล้เข้ามาแล้ว!”
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เห็นได้ชัดเจนเกินไป หากใครตาไม่บอดย่อมต้องสังเกตเห็น
ยอดฝีมือทั้งหลายภายในเมืองทศทิศต่างเอาแต่จับจ้องม่านฉายศักดิ์สิทธิ์แห่งสุขาวดีบนฟากฟ้า ล้วนรู้ดีว่าสถานการณ์ภายในพิภพกุมภเต๋าในคืนนี้กำลังเกิดการเปลี่ยนผันครั้งใหญ่!