บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1852 การต่อสู้
บทที่ 1852 การต่อสู้
ภายใต้ท้องฟ้าอย่างค่ำคืนผืนเดียวกันนั้น
หลี่หลูเฟิงรู้สึกอิ่มเอมใจและภาคภูมิใจกับความสำเร็จของเขาเป็นอย่างยิ่ง
เขามองศิษย์สำนักเต๋าทั้งหลาย ไอแห้ง ๆ สองครั้ง จากนั้นกล่าวว่า “พี่น้องชายหญิงทั้งหลาย เรื่องนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ากลยุทธ์ที่เราใช้นั้นถูกต้องแล้ว ตอนนี้หากเทียบกับอีกสี่กองกำลังใหญ่ สำนักเต๋าของเราล้วนเป็นผู้ได้เปรียบที่สุด!”
น้ำเสียงเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิ
ศิษย์สำนักเต๋าทั้งหลายล้วนตื่นเต้นยินดี พากันชมเขาไม่หยุด
“ศิษย์พี่หลี่เก่งทั้งบุ๋นและบู๊ ทั้งยังคิดรอบด้าน พวกเราละอายเสียจริงที่ฝีมือด้อยกว่าศิษย์พี่หลี่เช่นนี้”
“ใช่แล้ว เป็นเพราะได้กลยุทธ์ป้องกันของศิษย์พี่หลี่ เราถึงมาถึงจุดนี้ได้”
ท่ามกลางเสียงชื่นชมจากทุกคน กลับมีคนถอนใจออกมา “แต่น่าเสียดายที่ศิษย์พี่เย่เฉินกับอวี้จิ่วหุยไม่อยู่ด้วย ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
“ทุกคนไม่ต้องห่วงหรอก ศิษย์น้องเย่เฉินกับอวี้จิ่วหุยเคยไปบ่มเพาะพลังในแดนวสันต์โบราณมาแล้ว ย่อมเอาอดีตมาเทียบไม่ได้ ถึงจะไปตัวคนเดียว แต่หากไม่เจอปัญหาก็ไม่เกิดเรื่องอะไรแน่นอน” หลี่หลูเฟิงคิดเล็กน้อย “แน่นอนว่าตัวข้าเองยังไม่อาจเข้าใจการกระทำของพวกเขาได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็มาจากสำนักเดียวกันอยู่ดี หากพวกเขารู้ถึงความผิดพลาด ถอยจากทางที่เดินผิดกลับมาหาเรา เช่นนั้นคงดีที่สุด”
เป็นคำพูดที่บอกไปตามตรงว่าเขาไม่พอใจที่เย่เฉินกับอวี้จิ่วหุยจากไปเช่นนั้น แต่ก็ยังแสดงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ดูมีเหตุมีผลเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนจริง ๆ แล้วในใจเขาคิดอย่างไรนั้น ดูเหมือนไม่มีใครรู้เช่นกัน
“ไอหยา ศิษย์พี่หลี่ช่วยคิดเผื่อพวกเรามากมาย ได้แต่หวังว่าคงจะไม่เกิดเรื่องกับศิษย์พี่เย่เฉินและอวี้จิ่วหุย ยอดฝีมือสำนักเต๋าเราวาดหวังกับพวกเขาไว้มากทีเดียว” คนหนึ่งถอนหายใจ
“ใช่แล้ว ดูจากฝีมือศิษย์พี่เย่เฉินและอวี้จิ่วหุย คงจะผ่านเข้ารอบสองการถกวิถีเต๋า ได้แน่ หากเกิดเรื่องอะไรคงเสียดายแย่”
หลายคนก็เอ่ยขึ้นเช่นกัน
แต่ทั้งหมดไม่มีใครสังเกตเลยว่าหลังจากได้ยินพวกเขาเอ่ยเช่นนั้นแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าหลี่หลูเฟิงก็พลันหดหายไป
“เอาละ ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ตอนนี้เราเพิ่งได้หม้อจารึกเต๋าโบราณมาเพียงสามชิ้น หวังว่าพวกเจ้าจะตั้งใจกว่าเดิมและอย่าขี้เกียจเป็นอันขาด” หลี่หลูเฟิงขัดบทสนทนาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
ในช่วงเดือนนี้ ถึงแม้ว่าจะรวบรวมทุกคนให้มาร่วมมือกันได้ แม้จะทำให้สำนักเต๋าคล้ายจะได้เปรียบมากที่สุดชั่วคราว แต่ก็มีข้อเสียที่มองข้ามไม่ได้เช่นกัน
นั่นก็คือเมื่อเทียบกับคนอื่นที่แยกกันทำงาน จำนวนหม้อจารึกเต๋าโบราณที่พวกเขาหาได้จึงน้อยกว่ามาก
ในตอนนี้ หลี่หลูเฟิงได้แต่หวังว่าสองเดือนหลังจากนี้พวกเขาจะได้หม้อจารึกเต๋าโบราณเพิ่ม
หากเป็นเช่นนั้น สำนักเต๋าก็จะถือว่าเป็นผู้ชนะที่แท้จริงของการถกวิถีเต๋ารอบแรก!
หากทำเช่นนั้นได้ หลี่หลูเฟิงก็จะได้หน้าได้รับเกียรติยศมากมายทีเดียว!
…
หลังจากการถกวิถีเต๋าเข้าเดือนที่สองแล้ว ผู้บ่มเพาะภายนอกก็สังเกตเห็นว่าสถานการณ์ภายในพิภพกุมภเต๋าเปลี่ยนผันไปแล้ว!
เหมือนทุกคนเข้าใจกลยุทธ์ระหว่างกันดี ไม่ว่าจะเป็นนิกายอำนาจเทวะ สำนักศักดิ์สิทธิ์ เขาเทพพยากรณ์ ตำหนักเต๋าหนี่หวา หรือสำนักเต๋า ศิษย์ที่เหลืออยู่ทั้งหมดของพวกเขาล้วนไม่มีใครเริ่มโจมตีใครก่อน
คล้ายกับว่าทุกคนใช้แผนการเดียวกันอย่างไรก็อย่างนั้น นั่นคือนิ่งเฉยเป็นฝ่ายตั้งรับ จึงไม่มีใครหาเรื่องใครอีก
เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ดุเดือดเมื่อเดือนก่อนทำให้พวกเขารู้สถานการณ์ในปัจจุบัน ดังนั้นจึงต้องเปลี่ยนกลยุทธ์
ในความคิดของคนภายนอก การเปลี่ยนผันเช่นนี้ทำให้พวกเขารู้สึกเศร้าใจอยู่บ้าง
แต่หลายคนก็สังเกตเห็นว่า ความสงบเช่นนี้เป็นสัญญาณว่าพายุใหญ่กำลังจะมา!
…
เฉินซีเดินหน้าต่อไปไม่หยุด
ข้ามภูเขาหลายลูก ผ่านแม่น้ำหลายสาย ไม่ว่าฝนตกแดดออก วันหรือคืนก็ไม่ท้อถอย น่าเสียดายที่นอกจากจะไม่เจอศิษย์เขาเทพพยากรณ์แล้ว ศัตรูยังแทบไม่พบเจอเลย
สถานการณ์เช่นนี้ตัดสินได้ไม่ยาก เฉินซีแทบไม่ต้องคิดก็รู้ว่าความเป็นไปในพิภพกุมภเต๋าได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
แต่เขาไม่สนใจหรอก
เขาสนใจแต่กู่เยี่ยน ฮวาเยี่ยน ถูเมิ่ง และคนอื่น ๆ เท่านั้น หลายวันผ่านไปเช่นนี้ยังเหลือใครอยู่บ้าง?
เมื่อเวลาไหลผ่านไป ไม่นานก็ถึงกลางเดือนที่สองของการถกวิถีเต๋าแล้ว
หืม? ในช่วงพลบค่ำของวันนี้ เฉินซีพลันสัมผัสได้ถึงบางอย่าง เขาหันกลับไปมองฟ้าไกลด้านหลังอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เห็นกระแสผันผวนของการต่อสู้จาง ๆ แผ่ออกมา
เฉินซีจึงมุ่งหน้าไปทางนั้นทันใด
เมื่อเข้าใกล้ แรงผันผวนยิ่งชัดเจนขึ้น สุดท้ายก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม
ตอนนี้กำลังเกิดการต่อสู้ดุเดือดขึ้น! เฉินซีใจสะท้าน ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก โคจรพลังภายในร่างเตรียมพร้อมต่อสู้
หลังจากที่เปลี่ยนร่างให้กลายเป็นเงาดำมืดแล้ว เขาก็ค่อย ๆ มุ่งหน้าเข้าสู่สมรภูมิต่อ
ครืน!
ฟ้าดินสั่นสะเทือน ทุกอย่างอย่างเคลื่อนไหว ผืนปฐพีแยกออก แสงศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายส่องกระจายไปทั่วฟ้า พวกมันหวีดเสียงร้องออกมายามซัดไปมา ทำลายพื้นที่ไปเป็นจำนวนมาก ทุกสิ่งอย่างตกอยู่ในความโกลาหล
เป็นการต่อสู้ที่กินพื้นที่กว้างใหญ่และกดดันเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อสังเกตดูดี ๆ แล้ว ความต่างของทั้งสองฝ่ายมีมากเกินไป
ฝั่งหนึ่งมีคนกว่ายี่สิบคน ในขณะที่อีกฝ่ายมีเพียงคนเดียวเท่านั้น!
เมื่อเฉินซีค่อย ๆ เข้าใกล้ มองปราดเดียวก็รู้เลยว่าเป็นศึกระหว่างศิษย์สำนักเต๋ากับคงโหยวหราน
หรือก็คือ คงโหยวหรานกำลังสู้อยู่กับบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลสำนักเต๋าด้วยตัวคนเดียวนั่นเอง!
นับเป็นครั้งแรกที่เฉินซีพบคงโหยวหรานหลังจากเข้าพิภพกุมภเต๋า และเป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสพลังต่อสู้ของนางด้วย
ไม่จำเป็นต้องเอ่ยเลยว่า ในหมู่ยอดฝีมือบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลในตำหนักเต๋าหนี่หวาและในฐานะทายาทสายตรงของราชานกยูงบรรพกาล พลังต่อสู้ของคงโหยวหรานนั้นนับว่าแกร่งกล้ามาก
ถึงจะเผชิญหน้ากับบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลทั้งหมดจากสำนักเต๋า แต่หากเป็นระยะสั้น ๆ ก็ไม่อาจทำอะไรนางได้เลย!
หากจะกล่าวว่าทั่วทั้งแดนเทพโบราณนี้ ผู้ที่สามารถทำได้อย่างคงโหยวหรานแทบจะนับได้ไม่ถึงสิบคนก็ไม่ใช่เรื่องเกินเลยแต่อย่างไร
ทว่าเฉินซีก็ประเมินแล้วว่า แม้ระยะสั้นจะทำอะไรคงโหยวหรานไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่านางจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ
ถึงขั้นที่หากลากให้เวลายาวออกไป นางก็จะยิ่งเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากขึ้นเรื่อย ๆ!
อย่างไร ศิษย์ยี่สิบหกคนแห่งสำนักเต๋าเองก็ไม่ใช่ธรรมดา แต่ละคนเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล ทั้งยังมีพลังต่อสู้ไม่เป็นสองรองใคร เหนือกว่าบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลธรรมดามาก
เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าคงโหยวหรานจะมีพรสวรรค์มากแค่ไหน หรือจะมีพลังต่อสู้สะท้านฟ้าเพียงไร แต่ก็คงไม่อาจพลิกสถานการณ์ได้ง่าย
ศิษย์สำนักเต๋าเหล่านี้หน้าไม่อายเลย เฉินซีส่งสายตาเต็มไปด้วยความเยือกเย็นไร้อารมณ์พลางเข้าใกล้การต่อสู้เข้าไปเรื่อย ๆ
ยอดฝีมือจากโลกภายนอกไม่อยากเชื่อเลยว่า เมื่อเกิดการต่อสู้ขึ้นแล้ว ก็จะกลายเป็นเหตุชวนตื่นตะลึงมากเช่นนี้ได้
สตรีนางเดียวต่อสู้กับยอดฝีมือยี่สิบหกคนซึ่งเป็นบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล
ส่วนตัวนางคือบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลอันดับหนึ่งในตำหนักเต๋าหนี่หวา คงโหยวหราน
มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าสองฝ่ายที่กำลังต่อสู้กันพลังต่างกันมากแค่ไหน
ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นเรื่องน่าตกใจยิ่ง ทำให้กวาดความสนใจจากผู้บ่มเพาะภายนอกไปได้ในทันที
ซึ่งไม่เหมือนกับเฉินซี ผู้บ่มเพาะภายนอกรู้ว่าเหตุเกิดเพราะอะไร สาเหตุเป็นเพราะหม้อจารึกเต๋าโบราณนั่นเอง
ก่อนหน้านี้ คงโหยวหรานและศิษย์ยี่สิบหกคนแห่งสำนักเต๋าสังเกตเห็นหม้อจารึกเต๋าโบราณหนึ่งแทบจะพร้อมกัน ดังนั้นจึงลงมือคิดจะเข้ามาพร้อมกัน
แต่ศิษย์ทั้งยี่สิบหกคนจากสำนักเต๋าก็ต้องตกใจ เพราะคงโหยวหรานไม่ยอมถอยแม้จะเจองานยาก กลับเป็นฝ่ายรุดหน้าเข้ามาก่อนเสียด้วย ทำให้พวกเขาต้องเข้าต่อสู้พร้อมกัน
จริง ๆ แล้วพวกเขาไม่ได้คิดอยากต่อสู้อะไรขนาดนั้น เว้นเสียแต่ว่าจะเลี่ยงไม่ได้เช่นในตอนนี้
ถึงขั้นที่ยังไม่เคยพ่ายแพ้ใครมาก่อนเลยด้วยซ้ำ
ดังนั้นเมื่อเจอยอดฝีมืออย่างคงโหยวหรานซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดัง เคยสร้างชื่อไว้เมื่อนานมาแล้ว พวกเขาจึงไม่กลัวแต่อย่างไร
เพราะฝ่ายพวกเขามีจำนวนมากกว่า!
เป็นเหตุผลเรียบง่ายเช่นนี้เอง
ถึงขั้นที่พอคิดว่าจะสามารถเอาชนะยอดฝีมือสะท้านฟ้าอย่างคงโหยวหรานได้ในการถกวิถีเต๋า ศิษย์สำนักเต๋าทั้งหลายก็ให้รู้สึกตื่นเต้นจนแทบอธิบายไม่ได้
เหมือนได้เอาชนะคนมีอำนาจเหนือกว่าซึ่งปกติแล้วตนไม่อาจทัดเทียมได้ จึงไม่แปลกที่จะทำให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้นดีใจไม่ใช่น้อย
แค่คิดดูว่าคงโหยวหรานต้องพ่ายแพ้ไปในรอบแรกของการถกวิถีเต๋าด้วยฝีมือพวกเขาแล้ว เป็นเช่นนั้นได้จริงจะตื่นเต้นแค่ไหนกัน?
ดังนั้นเมื่อการต่อสู้ปะทุขึ้นมาแล้ว มันเลยกลายเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดทันใด!
“หากคงโหยวหรานพ่ายแพ้ไปในศึกครั้งนี้แล้วถูกตัดสิทธิ์ นับว่าตำหนักเต๋าหนี่หวาเสียเปรียบมาก!”
“ดูจากสถานการณ์แล้ว คงโหยวหรานคงจะไม่รอดพ้นไปได้…. น่าเสียดายจริง ๆ หากไร้นาง รอบสองคงไม่น่าตื่นตาตื่นใจเท่าไหร่แล้ว”
คนภายนอกส่วนมากคิดเห็นกันเช่นนี้
อย่างไร คู่ต่อสู้ของคงโหยวหรานก็คือบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลทั้งหมดจากสำนักเต๋า เมื่อสองฝ่ายมีกำลังคนต่างกันมากมายเช่นนี้ คงโหยวหรานจะมีโอกาสชนะได้หรือ?
ถึงขั้นที่แม้แต่ทางหนีรอดของนางก็ถูกปิดกั้นไปหมดแล้วด้วยซ้ำ!
ภายในโถงบรรจบ
การต่อสู้ที่ปะทุขึ้นอย่างฉับพลันดึงความสนใจจากยอดฝีมือระดับสูงได้เช่นกัน ในตอนนี้ กระทั่งอวี่เจินและเหวินถิงที่เงียบงันมาโดยตลอดยังมองการต่อสู้ไม่วางตา
พริบตาเดียวเท่านั้น ใบหน้าอวี่เจินก็เยือกเย็นดั่งน้ำแข็ง