บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1853 เคียงบ่าเคียงไหล่
บทที่ 1853 เคียงบ่าเคียงไหล่
บรรยากาศภายในโถงบรรจบนั้นแปลกมาก
เมื่อเล่ยฝูแห่งนิกายอำนาจเทวะ และฉือซงจื่อแห่งสำนักศักดิ์สิทธิ์เห็นความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นภายในพิภพกุมภเต๋า พวกเขาต่างก็ประหลาดใจ ก่อนจะมองไปที่อวี่เจินพร้อมกันโดยไม่ลืมที่จะกวาดตามองไฮว่คงจื่อด้วยอีกคน รอยยิ้มแปลก ๆ ที่ระคนด้วยความทุกข์ปรากฏขึ้นบนมุมปากของพวกเขา
ในฐานะคนสำคัญจากนิกายอำนาจเทวะและสำนักศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาปรารถนาที่จะให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง แน่ล่ะ มีหรือที่พวกเขาจะรู้สึกไม่พอใจ เมื่อได้เห็นว่าตนสามารถพึ่งพากองกำลังของสำนักเต๋าในการกำจัดศิษย์คนสำคัญของตำหนักเต๋าหนี่หวา
หากไม่ต้องรักษาภาพลักษณ์เอาไว้ พวกเขาก็ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้เฉลิมฉลอง
สีหน้าของไฮว่คงจื่อมืดมน หากเป็นไปได้ เขาอยากให้บรรดาศิษย์เหล่านั้นละทิ้งหม้อจารึกเต๋าโบราณมากกว่าที่จะต่อสู้กับคงโหยวหราน
เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เท่ากับว่าพวกเขากลายเป็นดาบที่นิกายอำนาจเทวะและสำนักศักดิ์สิทธิ์ยืมมาฆ่าคนมิใช่หรือ?
หากเป็นเวลาปกติ ไฮว่คงจื่อก็คงจะวางเฉยต่อเหตุการณ์นี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็มากเสียจนเขาสัมผัสได้ว่าการถกวิถีเต๋าครั้งนี้มากไปด้วยแผนการอันแยบคาย ไม่เพียงเท่านั้น ความไม่พอใจที่อวี่เจินมีอยู่นั้นสะสมตัวมาเป็นเวลานานแล้ว และในที่สุดเหตุการณ์ที่เหมือนจะกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายก็เกิดขึ้น เห็นได้ชัดว่าอวี่เจินนั้นโกรธแค้นในใจมากเพียงใด
ยิ่งไฮว่คงจื่อคิดเรื่องนี้มากเท่าไร หัวของเขาก็ยิ่งปวดมากขึ้นเท่านั้น ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าการเป็นเจ้าภาพการถกวิถีเต๋าแม้ภายนอกจะดูดีมีหน้ามีตาเพียงไหน หากภายในนั้นกลับเต็มไปด้วยความกดดันและความอดกลั้นในอันที่ต้องเผชิญกับสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก มันหนักหนาเสียจนเขาแน่ใจว่าคนอื่นไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกที่เขาต้องเจออย่างลึกซึ้งแน่นอน
ก่อนหน้านี้ เนื่องจากศิษย์ของสำนักเต๋ามีข้อได้เปรียบในการถกวิถีเต๋าอย่างชัดเจนและได้ครอบครองชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ เหตุการณ์นั้นทำให้ทั้งนิกายอำนาจเทวะและสำนักศักดิ์สิทธิ์ไม่พอใจอย่างยิ่ง
แน่นอน แม้แต่ตำหนักเต๋าหนี่หวาก็ยังขุ่นเคืองไม่ต่างกัน
ในเวลานี้ ไฮว่คงจื่อปรารถนาเพียงว่าจะไม่มีเหตุการณ์เลวร้ายอื่นเกิดขึ้นหลังจากที่การถกวิถีเต๋าจบลง
“เอ…?” ตอนนี้เอง เหวินถิงพูดพลางเลิกคิ้วสูง “เหตุใดอาจารย์อาถึง…”
ทันทีที่วาจานั้นถูกพูดออกไป ทุกคนในห้องโถงก็ถึงกับตกตะลึง เมื่อพวกเขาตื่นจากอาการตกใจ พวกเขาสังเกตเห็นว่าร่างของเฉินซีได้เข้าใกล้ชายแดนของสมรภูมิแล้ว!
ทันใดนั้น ไฮว่คงจื่อก็ชะงักค้างคล้ายคนวิญญาณหลุดลอย ความหวาดหวั่นแล่นผ่านไปทั่วร่างกาย ใจเขาบัดนี้ช่างขมขื่น หรือแม้แต่เขาเทพพยากรณ์เองก็ยังไม่พอใจต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนี้?
“ฮ่า ๆ! ฮ่า ๆ!” เล่ยฝูและฉือซงจื่อที่พยายามยับยั้งชั่งใจมานานในที่สุดก็สูญสิ้นความสามารถในการควบคุมตัวเอง พวกเขาระเบิดเสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วโถงอันแสนเงียบงัน
เหวินถิงขมวดคิ้ว ก่อนจะหันไปกล่าวกับอวี่เจิน “บางทีสถานการณ์ที่พลิกผันเช่นนี้อาจกลายเป็นเรื่องดีก็ได้ อย่าเพิ่งกังวลจนเกินไปเลย”
เสียงของนางเต็มไปด้วยความมั่นใจ
อวี่เจินชะงักก่อนจะตอบ “ข้ารู้ อาจารย์อาของเจ้าไม่ธรรมดา หากเป็นเขา บางทีอันตรายนี้อาจถูกลบล้างไป”
เหวินถิงแม้จะยิ้ม หากก็อดถอนใจไม่ได้ ความมั่นใจเมื่อครู่นางก็เพียงแสร้งทำ เพราะไม่ว่านางจะมั่นใจในความแข็งแกร่งของเฉินซีแค่ไหน ทว่าเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าว มันก็ยากจะเลี่ยงความวิตกกังวลไปได้
อย่างไรเสีย ฝ่ายตรงข้ามคือผู้เยี่ยมยุทธ์ของเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลมากกว่ายี่สิบคน!
เล่ยฝูและฉือซงจื่อนิ่งไปครู่ใหญ่เมื่อได้ยินการพูดคุยระหว่างเหวินถิงกับอวี่เจิน พวกเขาอดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะในใจ
แน่นอน เหวินถิงและอวี่เจินก็เพียงปลอบใจตัวเองเท่านั้น ไม่มีทางที่จะมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไป
เหวินถิงและอวี่เจินเลือกที่จะเมินเฉยต่อใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้น พวกนางทอดมองไปยังสมรภูมิพร้อมกัน
ไฮว่คงจื่อเองก็เช่นกัน กระนั้นในใจของเขาก็หาได้คิดเหมือนคนอื่น ๆ เขาเพียงแต่หวังว่าบรรดาศิษย์สำนักเต๋าจะรู้หนักรู้เบา รู้สิ่งใดควรไม่ควร
“ศิษย์พี่ ไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลถึงเพียงนั้น” จักรพรรดิอิ่งฉินพูดจากด้านข้างด้วยพยายามปลอบใจไฮว่คงจื่อ
ไฮว่คงจื่อส่งเสียงฮึดฮัดทั้งสีหน้าไร้อารมณ์ เขาไม่สนใจจักรพรรดิอิ่งฉินเท่าไรนัก
…
ณ สมรภูมิในพิภพกุมภเต๋า
อย่างที่ผู้เยี่ยมยุทธ์หลายคนคาดไว้ เมื่อเวลาผ่านพ้นไปเรื่อย ๆ คงโหยวหรานผู้น่าเกรงขามยิ่งกว่าใคร บัดนี้กลับแสดงสัญญาณถึงการไม่อาจต้านทาน และใกล้จะถูกบังคับให้จำนนเต็มที
อีกด้านหนึ่ง เหล่าศิษย์จากสำนักเต๋ากลับมีขวัญกำลังใจแรงกล้าขึ้นเรื่อย ๆ การต่อสู้ดำเนินพร้อมกับความมุ่งมั่นที่ปะทุขึ้นบนท้องฟ้าราวสายรุ้ง ภายใต้คำสั่งของหลี่หลูเฟิง พวกเขาปิดล้อมคงโหยวหรานไว้อย่างเต็มกำลัง ราวกับว่าพวกเขาจะมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะนางได้อย่างแน่นอน
วี๊ดดด!
ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องก็กึกก้องไปทั่วฟ้าดิน สะท้านทั้งบริเวณโดยรอบ
ในชั่วพริบตา บรรดาศิษย์สำนักเต๋าก็รู้สึกถึงบางสิ่งที่แวบขึ้นมาต่อหน้าต่อตา ก่อนที่แสงศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าดวงจะพุ่งออกมาจากร่างของคงโหยวหราน
มันมีทั้งสีเขียว เหลือง แดง ดำ และขาว!
พวกมันผ่องแผ้ว ไพศาล เอ่อล้นด้วยกลิ่นอายเต๋าอันไร้ขอบเขต เก่าแก่และบริสุทธิ์
ตึ้ง!
คงโหยวหรานกลายร่างเป็นนกยูงงดงาม ร่างกายของนางเต็มไปด้วยรัศมีศักดิ์สิทธิ์ห้าสี เพียงแค่นางสยายปีกโบยบินไปบนท้องฟ้า พลังศักดิ์สิทธิ์อันฉกาจก็เปล่งประกาย!
“แสงศักดิ์สิทธิ์เบญจรงค์!”
“นั่นสินะ คงโหยวหรานถูกบีบให้ใช้มรดกสายเลือดราชานกยูงจนได้!”
ทันใดนั้น ความโกลาหลครั้งใหญ่ก็สั่นสะเทือนไปถึงโลกภายนอก สร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่น ๆ อย่างมาก
ตู้ม!
แสงศักดิ์สิทธิ์เบญจรงค์เอ่อล้นราวสายธารดวงดาว ทันใดนั้น มันก็กวาดกลืนศิษย์คนหนึ่งของสำนักเต๋าที่อยู่ใกล้กับหญิงสาวมากที่สุด
ทันทีที่แสงศักดิ์สิทธิ์ไหลหลาก ศิษย์ผู้นั้นก็ถูกบดขยี้ด้วยพลังแห่งฟ้าดินโดยไม่มีโอกาสได้รับมือ!
ฉากนี้ทำให้สีหน้าของหลี่หลูเฟิงมืดมนในบัดดล ก่อนที่เขาจะพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “โจมตีอย่างเต็มกำลัง เอาชนะนางให้ได้!”
เหล่าศิษย์ของสำนักเต๋าใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีเพื่อปิดล้อมนางอย่างเต็มกำลังโดยไม่ต้องรอคำเตือนจากอีกฝ่าย พวกเขาในตอนนี้ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย
ตึง!
การต่อสู้รุนแรงยิ่งขึ้น ภายใต้การลงมือที่บ้าคลั่งของศิษย์จากสำนักเต๋าเหล่านั้น ท่าทีที่คล้ายจะได้เปรียบของคงโหยวหรานก็สลายหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อต้องเผชิญกับความยากเข็ญ
มันรุนแรงเสียจนนางถูกกดให้จวนจะจำนนอีกครั้ง
ช่วยไม่ได้ ศิษย์ของสำนักเต๋ามีมากเกินไปจริง ๆ พวกเขาทั้งหมดล้วนมีความแข็งแกร่งที่ไม่มีใครเทียบได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เป็นเรื่องยากมากที่คงโหยวหรานจะสามารถทนต่อไปได้ ไม่แม้แต่จะจัดการหนึ่งในคนเหล่านั้นได้สักคนเดียว
นางเสร็จแน่! ความคิดเดียวกันนี้แวบขึ้นมาในใจของผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลายที่อยู่ด้านนอก
หลี่หลูเฟิงอดไม่ได้ที่จะถอนด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นสิ่งนี้ กระนั้นยังไม่ทันที่เขาจะรู้สึกมีความสุข ปราณกระบี่คมกริบก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า ก่อนจะกลายเป็นละอองปราณกระบี่ราวห่าฝนที่เปี่ยมไปด้วยเสียงกัมปนาทอย่างรวดเร็ว!
สิ่งนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป ทั้งยังเกินความคาดหมายของพวกเขาไปมาก ด้วยเหตุนี้ สีหน้าของสำนักเต๋าจึงแปรเปลี่ยนไปพวกเขาตัดสินใจหลบหลีกโดยสัญชาตญาณ
คงโหยวหรานอาศัยโอกาสนี้พาตัวเองฝ่าวงล้อมออกไป เมื่อนางกางปีก ร่างระหงก็ลอยอยู่กลางอากาศแสนไกล
ท่าทางของหลี่หลูเฟิงและคนอื่น ๆ ยิ่งย่ำแย่ลงกว่าเก่า มีเพียงความโกรธที่ครอบงำจิตใจของพวกเขา ทั้ง ๆ ที่การปิดล้อมนั้นใกล้จะประสบความสำเร็จอยู่แล้ว ทว่ากลับถูกใครบางคนทำลายสิ้นไปกับตา แล้วจะไม่ให้พวกเขาโกรธได้อย่างไร?
“เฉินซี เจ้าเต็มใจที่จะร่วมมือกับข้ากำจัดพวกไร้ยางอายเหล่านี้หรือไม่?”
เมื่อครู่นี้เป็นเฉินซีที่โจมตีงั้นหรือ? หัวใจของหลี่หลูเฟิงและคนอื่น ๆ สั่นสะท้าน บัดนี้พวกเขาสังเกตเห็นร่างสูงที่ยืนอยู่ไกลลิบตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ คนผู้นี้มีรูปโฉมเป็นเลิศ เสื้อผ้าปลิวพัดตามสายลม ผมสีดำหนาขยับไหวเคลียไหล่ เป็นใครไปไม่ได้นอกจากเฉินซี!
“เฉินซี!”
“เป็นเขาจริง ๆ!”
ที่ด้านนอก ผู้เยี่ยมยุทธ์บางคนที่ไม่ได้สังเกตเห็นเฉินซีก่อนหน้านี้ล้วนตกตะลึงอย่างมาก
สำหรับพวกเขา หากคงโหยวหรานเป็นตัวแทนของยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลของตำหนักเต๋าหนี่หวาแล้ว เฉินซีก็ถือเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลของเขาเทพพยากรณ์เช่นเดียวกัน!
การที่เขาสอดมือเข้ามาด้วยคล้ายตั้งใจที่จะต่อสู้เคียงข้างคงโหยวหรานเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายของผู้เยี่ยมยุทธ์หลายคนยิ่งนัก
“เฉินซี เจ้าเด็กนี่มาผิดจังหวะจริง ๆ แม้ว่าเขาจะเข้าร่วมการต่อสู้ ก็คงไม่อาจทำอะไรศิษย์ของสำนักเต๋าได้”
“ทางเลือกที่ฉลาดที่สุดมีแต่ต้องอาศัยเวลานี้หนีไปเท่านั้น”
ผู้ยิ่งใหญ่หลายคนขมวดคิ้ว พวกเขาไม่ได้แสดงท่าทางตื่นเต้นเท่าคนอื่น ๆ หากกำลังวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใจเย็นแทน
…
เฉินซีอดประหลาดใจไม่ได้เมื่อได้ยินคำเชิญจากคงโหยวหราน
เดิมทีเขาแค่ตั้งใจจะช่วยให้คงโหยวหรานหลุดพ้นจากวงล้อมเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจที่จะต่อสู้กับคนเหล่านี้ให้ตายกันไปข้างแต่อย่างใด
อย่างไรก็ดี ครั้นสิ้นวาจาของคงโหยวหราน เฉินซีก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะหนี เห็นได้ชัดว่านางเคียดแค้นคนเหล่านั้นเกินกว่าจะวางมือได้
“เฉินซี เจ้าคิดจะเป็นปรปักษ์กับสำนักเต๋าของข้าตอนนี้ ผลที่ตามมานั้นรุนแรงกว่าที่เจ้าจะรับไหวนัก” หลี่หลูเฟิงสูดหายใจลึกก่อนจะพูดด้วยเสียงทุ้ม “ถ้าเจ้ายอมจากไปแต่โดยดี พวกข้าจะถือเสียว่าเรื่องราวก่อนหน้าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อะไรที่แล้วก็ปล่อยให้มันแล้วไป อย่างไรก็ตาม หากเจ้าปฏิเสธที่จะเรียนรู้ถึงความผิดพลาดของตัวเอง ก็อย่าหาว่าพวกข้าไร้ความเมตตา!”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความคุกคาม
เฉินซีวางมือไพล่หลังก่อนจะถามอย่างไม่แยแส “เจ้าขู่ข้าอยู่หรือ?”
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม? หากเจ้ายังทำตามอำเภอใจเช่นนี้ ก็อย่าคิดว่าจะมีชีวิตอยู่พ้นวันนี้เลย!”
“ใช่แล้ว! ถ้าฉลาดสักหน่อยก็รีบ ๆ ไปซะ!”
คนอื่น ๆ เริ่มคำรามก่อนที่หลี่หลูเฟิงจะเปิดปาก น้ำเสียงเหล่านั้นก้าวร้าวและเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
ใจของหลี่หลูเฟิงมืดหม่นลงในทันทีด้วยเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดีแล้ว
ทันใดนั้น เฉินซีพลันฉีกยิ้มกว้าง “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าข้าไม่ทำอะไรสักอย่างก็คงจะกลายเป็นคนที่ใช้ไม่ได้”
“เจ้าควรจะทำเช่นนั้นตั้งแต่แรก” คงโหยวหรานพูดเบา ๆ
ฉับพลัน บรรยากาศแห่งการเผชิญหน้าก็เต็มไปด้วยความตึงเครียดและกดดันยิ่งกว่าเดิม แม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ในโลกภายนอกก็อดไม่ได้ที่จะกังวล
“บุก!” หลี่หลูเฟิงรู้ดี วาจาลั่นแล้วยากไถ่ถอนกลับคืน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจลงมือด้วยความรวดเร็ว
บุก!
สิ้นคำสั่ง บรรดาศิษย์ของสำนักเต๋าที่ดูสิ้นความอดทนมานานแล้วเข้าโจมตีอย่างดุเดือด
“อย่าใจร้อนไปเสียล่ะ” คงโหยวหรานยังคงดูสงบเมื่อเห็นสิ่งนี้ สงบเสียจนมีกะจิตกะใจสั่งสอนเฉินซี
“รักษาตัวเองให้ได้ก็พอ” เฉินซียิ้มขณะที่เขาพูดด้วยเสียงเรียบเฉยซึ่งแฝงกลิ่นอายทระนงอันทรงพลัง
โดยเฉพาะดวงตาสีดำลึกล้ำราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวนั้น แสงแห่งจิตสังหารเยือกเย็นฉายวาบจากพวกมันทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว!
………………..