บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1855 ฤทธาค่ายกลศักดิ์สิทธิ์
บทที่ 1855 ฤทธาค่ายกลศักดิ์สิทธิ์
หลังกำจัดไปสอง กำลังเสริมก็มาช่วยเหลือพวกหลี่หลูเฟิงเพิ่มอีกสี่ ทำให้ความได้เปรียบที่เฉินซีได้หายไปทันที
ศึกนี้เข้มข้นขึ้นมาอีกครั้ง
มันดูไร้สิ่งใดต่างจากกาลก่อน แต่หลังประจักษ์อำนาจต่อสู้ท้าทายสวรรค์ของเฉินซี หลี่หลูเฟิงและคณะก็ไม่กล้ากระทำการเลินเล่อแม้แต่น้อย
เทียบกับก่อนหน้านี้ พวกเขาเผยทุกความสามารถที่มี สู้ยิบตากับเฉินซีสุดกำลัง
ชั่วขณะนั้น เฉินซีไม่อาจหาช่องโหว่ใดมาเป็นข้อได้เปรียบ
แต่ขณะเดียวกัน หลี่หลูเฟิงและคณะก็ไม่อาจทำร้ายเฉินซีได้เลย สถานการณ์จึงดุเดือดทว่าไร้ผู้ใดกินกันลง
“เฉินซีผู้นี้คือตัวแปรใหญ่หลวงที่สุดในการถกวิถีเต๋านี้! ใครเล่าจะคิดว่าเขาทำเช่นนี้ได้?”
หลังประจักษ์ศึกสะท้านโลกานี้ ผู้บ่มเพาะมากมายในโลกภายนอกต่างทอดถอนใจ รู้สึกตกตะลึงอย่างยิ่ง
“จริงแท้ เรามัวแต่มุ่งความสนใจไปที่เหลิ่งซิงหุน ตงหวงอิ่นเซวียน คงโหยวหราน กู่เยี่ยน และตัวตนอื่นเช่นนี้ เลยเผลอคิดไปว่าเฉินซีซึ่งเพิ่งบรรลุขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลไม่กี่สิบปีไม่อาจเทียบชั้นได้ แต่ยามนี้ดูเหมือนมุมมองนี้จะผิดถนัดเลย!”
“มิใช่เท่านั้น ในความเห็นข้า อำนาจต่อสู้ของเฉินซีกระทั่งดูจะเหนือกว่าพวกเหลิ่งซิงหุนอยู่เล็กน้อย ยามนี้ หากผู้ใดยังกล้าพูดว่าเฉินซีด้อยกว่าเหลิ่งซิงหุน ข้านี่แหละขอค้านคนแรก”
“ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าเฉินซีบ่มเพาะอย่างไร อำนาจต่อสู้เช่นนี้ไม่ท้าทายสวรรค์ไปหน่อยหรือ? เกินคาดเดาจริง ๆ”
“ง่าย ๆ เลย เขาเป็นศิษย์สายตรงของเขาเทพพยากรณ์ และศิษย์น้องของนายใหญ่อู๋เซวี่ยฉาน มิใช่เรื่องธรรมดาหรือหากเขาจะมีอำนาจต่อสู้เช่นนี้?”
“ข้าแค่สงสัยว่าเหตุใดเหรียญทองแดงโปรยสมบัติจึงมาอยู่ในมือเขา นั่นมัน… สมบัติล้ำค่าของเจ้านิกายอำนาจเทวะเลยนะ!”
โลกภายนอกหารือกันอย่างคึกคัก พวกเขาทั้งหลายต่างตกใจในอำนาจต่อสู้ของเฉินซี อึ้งทึ่งกันยิ่งนัก
“หืม? คงโหยวหรานกำลังจะแผลงฤทธิ์!”
แต่พริบตาต่อมา ความสนในของพวกเขาก็เบนไปทางคงโหยวหราน
…
เปรี้ยง!
รัศมีศักดิ์สิทธิ์ห้าสีเรืองรอง คงโหยวหรานซึ่งกลายร่างเป็นนกยูงกระพือปีกโผบินสู่ท้องนภา ส่งเสียงกึกก้องสนั่นโสต นอกจากนั้น สระอัสนีห้าสีก็ก่อลักษณ์ขึ้นรอบกายเฉียบพลัน!
สระอัสนีนี้ประสานร่วมมือกัน ขณะเคลื่อนวนรอบตัวคงโหยวหราน ก่อนจะโถมกระแทกลงอย่างแรง
สุญตารอบทิศแหลกร้าวเช่นแก้ว ไม่อาจทนการโจมตีเดียวนี้ได้ อัสนีห้าสีอันน่าสะพรึงกลัวพร่างพรม ผ่านหนใด สรรพสิ่งในวิถีล้วนแหลกเป็นผุยผง!
“สระอัสนีห้าสี!” พริบตานั้น สีหน้าของศิษย์สำนักเต๋ามากมายแปรเปลี่ยนไป ตระหนักว่าวิชานี้เป็นสุดยอดวิชาอันถ่ายทอดกันมาในตำหนักเต๋าหนี่หวา
พวกเขาหลบเลี่ยงสุดกำลังอย่างพร้อมเพรียงโดยสัญชาตญาณ มิกล้าเผชิญหน้าอำนาจทำลายล้างเช่นนี้ตรง ๆ
เปรี้ยง!
แต่ท้ายที่สุด ศิษย์สำนักเต๋าผู้หนึ่งก็หลบไม่ทัน สมบัติศักดิ์สิทธิ์ในมือถูกอัสนีห้าสีสายหนึ่งฟาดกระเด็น ร่างจมในอัสนีทันใด
หากเป็นยามปกติ เขาคงตกตายแน่แท้ ไร้โอกาสรอดชีวิตใด ๆ
ทว่าที่นี่คือพิภพกุมภเต๋า ดังนั้นยามอันตรายถึงชีวิตนี้ปรากฏ อำนาจฟ้าดินสายหนึ่งจึงบังคับพาเขาออกจากพิภพกุมภเต๋าก่อนชีวิตถึงฆาต
“เวรเอ๊ย!” อำนาจการโจมตีนี้ยิ่งใหญ่ชวนสะพรึงเกินไป มันกระทั่งกำจัดศิษย์สำนักเต๋าผู้หนึ่งได้ในพริบตา ทำให้หลี่หลูเฟิงและคณะซึ่งกำลังร่วมมือโจมตีเฉินซีก็ตระหนักเห็น สีหน้าจึงแปรเปลี่ยน หัวใจตกตะลึง
ขณะนั้นเอง เฉินซีฉวยโอกาสสะบัดแขนเสื้อ ธงสีเหลืองส้มผืนหนึ่งทะยานสู่เวหา เรืองรัศมีศักดิ์สิทธิ์เรืองรอง ก่อค่ายกลคลื่นแสงพิทักษ์ปฐพีปกคลุมพื้นที่ด้วยเสียงเลื่อนลั่นทันใด
ธงพิทักษ์ปฐพีที่ห้า!
สมบัติวิญญาณธรรมชาติอันตกทอดในตระกูลจิน!
ตู้ม!
ค่ายกลคลื่นแสงพิทักษ์ปฐพีโคจรเต็มกำลัง สาดส่องรัศมีศักดิ์สิทธิ์กลบฟ้าจมแดน หลี่หลูเฟิงและคณะตกอยู่ในค่ายกลโดยไม่ทันตั้งตัว
“แย่แล้ว!”
“รีบทะลวงออกจากค่ายกล!”
หลี่หลูเฟิงและคณะทั้งตกใจและเดือดดาล ไม่ต้องให้ผู้ใดเตือน พวกเขาก็จู่โจมเต็มกำลัง งัดไม้ตายสูงสุดมาทลายค่ายกลอย่างไร้ลังเล
หากธงพิทักษ์ปฐพีที่ห้าอยู่ในมือผู้อื่น มันคงไม่อาจฝืนได้นานเลย ก่อนที่ค่ายกลจะถูกพวกหลี่หลูเฟิงทำลายลง
แต่ในมือเฉินซี ฤทธาที่มันแสดงแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
มันคือเต๋าแห่งยันต์อักขระ!
มันคือค่ายกล!
เมื่อนานมาแล้ว เฉินซีได้รับมรดกยันต์เทวะอนันต์ บรรลุรู้แจ้ง สำเร็จเต๋าแห่งยันต์อักขระเหนือผู้ใด ยามนี้ เมื่อเขาใช้ธงพิทักษ์ปฐพีที่ห้าสร้างค่ายกล ฤทธิ์อำนาจของค่ายกลธรรมดาจึงเทียบกับมันไม่ได้เลย
หลี่หลูเฟิงและคณะก็ตระหนักชัดเจนถึงเรื่องนี้เช่นกัน และทราบดีว่าศิษย์เขาเทพพยากรณ์มีความสำเร็จในเต๋าแห่งยันต์อักขระสูงจนน่าสะพรึงกลัวเพียงไร ดังนั้นทันทีที่ตกสู่ค่ายกล พวกเขาจึงจู่โจมสุดกำลังด้วยไม้ตายสูงสุดทันที
น่าเสียดาย เฉินซีหรือจะมองพวกเขาทำลายค่ายกลอยู่เฉย ๆ?
ฟิ่ว!
พริบตาต่อมา เฉินซีก็พุ่งเข้าไปในค่ายกล
เปรี้ยง!
เพียงไม่กี่อึดใจ อำนาจฟ้าดินสายหนึ่งก็พลุ่งพล่านปรากฏลักษณ์ในค่ายกล หมายความว่าศิษย์สำนักเต๋าผู้หนึ่งถูกตัดสิทธิ์!
“เฉินซีผู้นั้นสามารถจริง ๆ!”
“หนนี้ เหมือนศิษย์สำนักเต๋าจะลำบากแล้ว!”
ยามผู้บ่มเพาะจากโลกภายนอกเห็นเหตุการณ์นี้ พวกเขาก็อดรู้สึกตกตะลึงกันไม่ได้ พวกเขาคิดเสมอว่าการบ่มเพาะเต๋าแห่งกระบี่ของเฉินซีน่ากลัวพอแล้ว แต่ยามนี้ ในที่สุดพวกเขาก็ประจักษ์ว่า ในฐานะศิษย์สายตรงของเขาเทพพยากรณ์ การบรรลุเต๋าแห่งยันต์อักขระของเฉินซีก็ร้ายกาจสุดขั้วเช่นกัน!
เพียงครู่ต่อมา
วิ้ง!
อำนาจฟ้าดินสายหนึ่งวูบไหวขึ้นอีกครั้งในค่ายกล เห็นได้ชัดว่าศิษย์สำนักเต๋าอีกคนถูกกำจัดแล้ว!
ขณะนี้ กระทั่งเหล่าหัวหน้าอาจารย์อาวุโสทั้งหลายของสำนักเต๋าในโถงบรรจบก็นั่งไม่ติด สีหน้าเปลี่ยนแปลง ปรากฏความคล้ำหมองขึ้นมา
“แย่แล้ว! ศิษย์พี่หลี่กับคนอื่น ๆ อยู่ในอันตราย!”
“รีบไปช่วยเร็ว!”
เหล่าศิษย์สำนักเต๋าซึ่งกำลังร่วมมือโจมตีคงโหยวหรานก็สังเกตเหตุเกินคาด ก่อนจะแผดเสียงสนั่นก้อง
ตู้ม!
ค่ายกลสั่นสะท้านรุนแรง ดูราวไม่อาจทนการโจมตีนี้ได้ ท่าทางเจียนสลายตัว
ทว่าก่อนที่ศิษย์เหล่านั้นจะทันดีใจ สองเสียงแผดร้องดังสนั่นก็ดังก้อง
ปรากฏว่าคงโหยวหรานฉวยโอกาสนี้โจมตีอย่างดุดัน ใช้สระอัสนีห้าสีกระหน่ำกำจัดศิษย์สำนักเต๋าไปสองคน!
เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป เดิมทีมีผู้ล้อมโจมตีคงโหยวหรานทั้งสิ้นสิบเอ็ดคน นางใช้สระอัสนีกำจัดไปแล้วหนึ่ง จึงเหลือเพียงสิบที่ประมือกับนาง
ขณะนี้ เพราะอิทธิพลของค่ายกลคลื่นแสงพิทักษ์ปฐพี ศิษย์สามในสิบพุ่งออกไปช่วยเหลือคณะของหลี่หลูเฟิง ทว่าการกระทำนี้เองที่มอบโอกาสอันงามแก่คงโหยวหราน
บางทีการรับมือศิษย์สิบคนจากสำนักเต๋าในคราวเดียวอาจลำบากสำหรับนาง แต่ยามนี้เมื่อเหลือเพียงเจ็ด ด้วยความสามารถของคงโหยวหราน นางหรือจะปล่อยโอกาสกำจัดศัตรูหลุดลอย?
ดังนั้นเพียงพริบตา นางก็จัดการศิษย์สำนักเต๋าไปสองคน!
“บัดซบ!”
“เวรแท้!”
เหตุไม่คาดคิดนี้เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งตัว รวดเร็วเกินคาดฝัน ดังนั้นกว่าศิษย์สำนักเต๋าทั้งหลายจะหายตกใจ ก็สายเกินช่วยเหลือสหายของพวกเขาแล้ว
สีหน้าของพวกเขาแปรเปลี่ยนเฉียบพลัน แผดเสียงกึกก้องด้วยสีหน้าบูดเบี้ยว มิกล้าไขว้เขวไปโจมตีค่ายกลอีกต่อไป แล้วตั้งสมาธิทำศึกกับคงโหยวหราน
ขณะเดียวกัน ยามเห็นเหตุทั้งหมดนี้ เหล่าผู้บ่มเพาะในโลกภายนอกก็อดตกตะลึงกันเล็กน้อยมิได้
ไร้ผู้ใดคาดคิดว่าเฉินซีและคงโหยวหรานซึ่งไร้ผู้ใดประเมินสถานการณ์ไว้ดีจะจู่โจมตอบโต้สถานการณ์สุดเสียเปรียบนี้ และกำจัดคู่ต่อสู้ของพวกตนตาม ๆ กัน!
เมื่อนับดี ๆ เฉินซีก็กำจัดศิษย์สำนักเต๋าไปสี่คนแล้วนับแต่เริ่มศึก ขณะที่คงโหยวหรานกำจัดไปสาม
กล่าวคือ ที่นี่เหลือศิษย์สำนักเต๋าเพียงสิบเก้าคน!
ดูเหมือนสำนักเต๋าเสียศิษย์ไปเพียงเจ็ด แต่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงกาลละเลียดชาไม่ทันหมดถ้วย ความสูญเสียนี้จึงกล่าวได้ว่ามหาศาลหนักหนา
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ความสูญเสียของสำนักเต๋าจะมีแต่จะยิ่งร้ายแรง
วิ้ง!
แต่ขณะเดียวกันนั้นเอง ค่ายกลทั้งค่ายพังทลายสลายสู่สุญตา ทำให้ร่างของเฉินซี หลี่หลูเฟิง และคนอื่น ๆ ปรากฏชัด
ทว่ายามนี้ คณะของหลี่หลูเฟิงเหลือสมาชิกเพียงสิบ นอกจากนั้น ทุกคนยังล้วนมีสีหน้าบึ้งตึง ดวงตาเจียนลุกเป็นไฟรอมร่อ
เพียงครู่สั้น ๆ พวกเขาก็เสียสหายไปสามคนในค่ายกลคลื่นแสงพิทักษ์ปฐพี ความสูญเสียมหาศาลเช่นนี้ทำให้พวกเขาเจียนบ้า
“รวมกลุ่ม! เราจะรวมตัวรับมือพวกเขา!” ขณะนี้หลี่หลูเฟิงดูสุขุมยิ่ง เขาตระหนักแล้วว่าหากแยกกันรับมือเฉินซีกับคงโหยวหราน รังแต่จะมอบโอกาสให้อีกฝ่ายฉกฉวย
เพียงพริบตา ศิษย์สำนักเต๋าทั้งหลายต่างละการโจมตี ไปรวมตัวอยู่กับหลี่หลูเฟิง รวมทั้งสิ้นสิบแปดคน แต่ละคนสีหน้าไม่สู้ดี สายตามองมายังเฉินซีและคงโหยวหรานราวจะกินเลือดกินเนื้อ
เฉินซีและคงโหยวหรานมิได้ไล่ตาม ศึกจึงบังเกิดความนิ่งงันขึ้นชั่วขณะหนึ่ง
“ร้ายกาจ เจ้ากำจัดไปมากกว่าข้าสองคนแน่ะ” คงโหยวหรานชำเลืองเฉินซีพลางรำพึงชม
“ชมเกินไปแล้ว ข้าทำเช่นนี้ได้เพราะอาศัยค่ายกลเท่านั้นเอง” เฉินซียิ้มบาง
ทั้งสองย่อมพูดถึงเรื่องที่เฉินซีกำจัดศิษย์สำนักเต๋าไปห้าคน ขณะที่คงโหยวหรานกำจัดได้สาม
มันไม่ใช่เรื่องใหญ่หากว่ากันยามปกติ แต่พอดีว่ามันมาบังเกิดในขณะเผชิญหน้าทำศึก แล้วทั้งสองเมินศิษย์สำนักเต๋ามาคุยเล่นกัน การวางตัวเช่นนี้จึงทำให้สีหน้าของหลี่หลูเฟิงและคณะยิ่งย่ำแย่ เพลิงโทสะในใจยิ่งลุกโหม
เจ้าสองคนนั่นถือเราศิษย์สำนักเต๋าเป็นอะไร? เป้าเคลื่อนไหวไว้เทียบกำลังหรือ?
จะเกินไปแล้ว!