บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1858 คำสั่งของอาจารย์อา
บทที่ 1858 คำสั่งของอาจารย์อา
ในวันที่ยี่สิบสอง เดือนที่สาม
กู่เยี่ยนที่บาดเจ็บหนักดูจะโชคไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะโชคร้ายไปเสียทีเดียว
ว่ากันว่าเขาโชคไม่ค่อยดี เพราะระหว่างที่ยังบาดเจ็บไม่หายดี กลับไปถูกพวกตงหวงอิ่นเซวียนเห็นเข้าเสียได้ ดังนั้นจึงถูกตามไล่ล่าไป
แต่ที่บอกว่าไม่ใช่ว่าจะโชคร้ายไปเสียทีเดียว เป็นเพราะระหว่างที่ถูกไล่ล่าอยู่นั้น กลับได้เย่เฉินกับอวี้จิ่วหุยที่ผ่านมาช่วยเหลือไว้
แต่จะเรียกว่าโชคดีก็ไม่ได้ เพราะทั้งสองเป็นศิษย์สำนักเต๋า
เมื่อได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ คนภายนอกหลายคนจึงรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
เป็นที่รู้กันว่าสำนักเต๋าวางตัวเป็นกลางต่อห้าสุดยอดแห่งเอกภพจักรวรรดิมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเขาเทพพยากรณ์ ตำหนักเต๋าหนี่หวา นิกายอำนาจเทวะ หรือสำนักศักดิ์สิทธิ์ สำนักเต๋าก็ใช้กลยุทธ์เดียวกัน นั่นคือไม่ช่วยเหลือใครเลย
เมื่อเป็นเช่นนี้ เย่เฉินกับอวี้จิ่วหุยที่นับว่าเป็นศิษย์มีอิทธิพลในสำนักเต๋า แต่กลับมาช่วยเหลือศิษย์เขาเทพพยากรณ์อย่างกู่เยี่ยนที่บาดเจ็บจากเงื้อมมือพวกตงหวงอิ่นเซวียนไว้ ทุกคนจึงเห็นแล้วเกิดความสงสัยขึ้นมา
ในตอนนี้ กระทั่งเล่ยฝูกับฉือซงจื่อยังเคร่งขรึมลงเมื่อเห็นเหตุการณ์นั้น นัยน์ตาเกิดความเยือกเย็นขึ้นมา
“ฮ่า ๆ! ไม่คิดเลยว่าหลังจากเฉินซีร่วมมือกับคงโหยวหราน กำจัดคนสำนักเต๋าของเจ้าไปได้ตั้งมาก ศิษย์สำนักเต๋ากลับเป็นฝ่ายมีเมตตา ช่วยเหลือคนเขาเทพพยากรณ์ก่อน ไม่ธรรมดาเลย” ฉือซงจื่อหัวเราะเสียงเย็น เสียงนั้นดังก้องไปทั่วทั้งห้องโถง
แท้จริงแล้วไม่ใช่เพียงฉือซงจื่อและเล่ยฝูเท่านั้น กระทั่งเหวินถิงและอวี่เจินก็ยังไม่คิดไม่ฝันว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้ ดังนั้นจึงรู้สึกสับสนในหัวใจเป็นอย่างยิ่ง
ไฮว่คงจื่อกลับมาโถงบรรจบได้หลายวันแล้ว ในตอนนี้เขานั่งอยู่บนที่นั่งเจ้าภาพตรงกลาง มีเพียงจักรพรรดิอิ่งฉินเท่านั้นที่ไม่ได้อยู่ภายในห้องโถงแล้ว
หรือก็คือนับตั้งแต่จักรพรรดิอิ่งฉินจากไปพร้อมกับไฮว่คงจื่อในวันนั้น เขาก็ราวกับว่าหายไปแล้วไม่ปรากฏตัวขึ้นอีก
ทว่าก็ไม่ได้ทำให้คนในห้องโถงตื่นตกใจแต่อย่างใด
ในตอนนี้ เมื่อไฮว่คงจื่อได้ยินฉือซงจื่อเอ่ยคำเยาะเย้ยใคร่ถามเช่นนั้น เขากลับดูสงบนิ่งอย่างน่าประหลาด
เขาเพียงแต่เพิ่งคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้นว่า “นี่ก็เป็นเพียงการกระทำของคนสองคนเท่านั้น ไม่ได้แสดงถึงความคิดของคนทั้งสำนักเต๋า ไม่ได้ว่าอาจทนเห็นคู่ต่อสู้ที่น่าเคารพคนหนึ่งอย่างกู่เยี่ยนถูกตัดออกจากการถกวิถีเต๋ารอบสองก็เป็นได้”
มันเป็นน้ำเสียงข่มขู่
แต่เหมือนไฮว่คงจื่อจับน้ำเสียงนั้นไม่ได้ เขายังคงยิ้มกล่าว “สหายเต๋าโปรดวางใจเถอะ”
ฉือซงจื่อได้แต่คำรามเสียงเย็นแล้วไม่พูดอะไรอีก
ทว่าเล่ยฝูกลับมุ่นคิ้วมองไฮว่คงจื่อ จากนั้นเหมือนเขาจะตกอยู่ในภวังค์ความคิด เขารู้สึกว่านับตั้งแต่ที่ไฮว่คงจื่อกลับโถงบรรจบมาเมื่อหลายวันก่อน ทัศนคติของอีกฝ่ายก็ดูเปลี่ยนไป
ไม่ใช่เพียงเล่ยฝูเท่านั้น กระทั่งเหวินถิงและอวี่เจินก็สังเกตเห็นเช่นกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่กันแน่
แต่ไม่ว่าอย่างไร เหวินถิงก็ยังถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นกู่เยี่ยนได้รับความช่วยเหลือจากอวี้จิ่วหุยกับเย่เฉินเช่นนั้น
ตอนนี้ฝั่งเขาเทพพยากรณ์เหลือเพียงเฉินซี กู่เยี่ยน และถูเมิ่งเท่านั้น ดังนั้นหากเกิดเรื่องกับกู่เยี่ยน เขาเทพพยากรณ์ก็นับว่าแพ้อย่างหนักหน่วงไปในรอบแรกแล้ว
…
ในคืนเดียวกันนั้นเอง แสงจันทร์สาดส่องสว่าง ดวงดาราที่ลอยล้อมรอบให้ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง
เฉินซีนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้างริมผา รอบตัวโอบล้อมไปด้วยทะเลเมฆ เป็นภาพอันเงียบสงบและดูองอาจภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนนัก
นับตั้งแต่ที่แยกทางกับคงโหยวหราน เขาก็ยังไม่พบร่องรอยศิษย์เขาเทพพยากรณ์คนอื่น ๆ เลย
ถึงขั้นที่แม้แต่ศัตรูสักคนก็ยังไม่เจอ
หากเป็นเขาคนเดียวที่เข้าร่วมการถกวิถีเต๋าในครั้งนี้ เจอแบบนี้ก็คงดีใจยิ่ง อย่างน้อยเขาก็ได้หม้อจารึกเต๋าโบราณมาแล้วหนึ่ง ไม่ต้องเจอศัตรูให้มาแย่งชิงกันอีก หากเป็นเช่นนี้ได้ก็คงดียิ่ง
แต่เฉินซีไม่ได้มาคนเดียว เขาเป็นตัวแทนจากเขาเทพพยากรณ์ มีสหายมีศิษย์อีกหลายคนที่เข้าร่วมการถกวิถีเต๋าด้วย
ดังนั้นจะมองแค่ตัวเขาคนเดียวไม่ได้
เข็มทิศพลิกลักษณ์…. นิกายอำนาจเทวะ…. พวกเจ้าจะต้องชดใช้! เฉินซีคิดในใจ สีหน้ายังคงความว่างเปล่า หากแต่นัยน์ตากลับเผยแววเยือกเย็นเสียดลึกถึงกระดูก
เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนยืนขึ้น จากนั้นจึงเดินหน้าต่อ แต่ทันใดนั้นก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมา
“เอ๊ะ!” พร้อมกันนั้นเอง น้ำเสียงประหลาดใจก็ดังขึ้นมาจากที่ไกล ๆ
จากนั้นเงาร่างของคนสองคนก็แวบเข้าปรากฏภายใต้ม่านราตรี น่าแปลกใจนักที่เป็นเย่เฉินกับอวี้จิ่วหุยนั่นเอง
เป็นเพราะบุคคลที่อวี้จิ่วหุยแบกอยู่บนหลังนั่นเอง อาภรณ์เขาย้อมไปด้วยโลหิต ใบหน้าซีดขาวดูหมดเรี่ยวแรงไม่เหลือสักนิด
แต่เฉินซีก็จำเขาได้ในทันที
เขาคือกู่เยี่ยน!
พริบตานั้น เฉินซีก็ส่งสายตาเย็นเยียบ เสียงชิ้งดังขึ้นเมื่อเขาเรียกกระบี่ออกมา จิตสังหารจากปลายกระบี่พวยพุ่งออกมาดั่งคลื่นสมุทร มันลั่นขึ้นฟ้าลงดินยามชี้ปลายแหลมไปทางเย่เฉินกับอวี้จิ่วหุยจากระยะไกล
“วางเขาลง!” ทุกคำที่เอ่ยออกคมปลาบราวคมกระบี่ เต็มไปด้วยจิตสังหารหนั่นแน่น ฟ้าดินแทบจะสะเทือน
“หากไม่เล่า?” เย่เฉินอึ้งไป แต่ก็ยังยิ้มออกมา
“อาจารย์อา?” จังหวะนั้นเองที่กู่เยี่ยนบนหลังอวี้จิ่วหุยเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาหม่นแสงพลันมีประกายขึ้นมาอีกครั้งยามเห็นเฉินซี จากนั้นก็เห็นว่าเฉินซีเข้าใจผิด จึงรีบเอ่ย “อาจารย์อาเข้าใจผิดแล้ว พวกเขาช่วยข้าไว้ต่างหาก”
“จะพูดทำไมเนี่ย? ข้าอยากสู้กับเขาสักตั้ง น่าเบื่อจริงเจ้าน่ะ” เย่เฉินเบ้ปาก จากนั้นมองอวี้จิ่วหุย
อวี้จิ่วหุยเข้าใจทันที จึงวางร่างกู่เยี่ยนลง
เฉินซีชะงักไป เขามองเย่เฉินกับอวี้จิ่วหุยด้วยแววระแวดระวังอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็มองกู่เยี่ยนที่กำลังเดินเข้ามา สุดท้ายเขาก็เก็บกระบี่เปลื้องมลทินไปแล้วรีบรุดเข้าไปพยุงกู่เยี่ยน
เฉินซีช่วยพยุงกู่เยี่ยนนั่งลงบนแผ่นหินด้านข้าง จากนั้นก็นำยาเม็ดและสมุนไพรออกมาป้อนให้ เขาพลันมุ่นคิ้วถามขึ้น “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
น้ำเสียงเขาเจือแววกังวล จากที่เขาสังเกตเห็นมา บาดแผลของกู่เยี่ยนนั้นสาหัสมาก แทบจะทำร้ายไปถึงรากฐาน ทั้งพลังชีพทั่วร่างกู่เยี่ยนยังปั่นป่วนไปหมด ในตอนนี้ กระทั่งยาเม็ดและสมุนไพรก็ยังไม่สามารถช่วยบรรเทาอาการได้ในทันทีด้วยซ้ำ
“ตอนพบเขา เขากำลังถูกตงหวงอิ่นเซวียนสำนักศักดิ์สิทธิ์ตามล่าอยู่” เย่เฉินกับอวี้จิ่วหุยเดินเข้ามาเช่นกัน
“สำนักศักดิ์สิทธิ์?” สายตาเฉินซียิ่งเยือกเย็นลง
“ไม่ใช่สำนักศักดิ์สิทธิ์หรอก ข้าบาดเจ็บหนักจากการต่อสู้กับเหลิ่งซิงหุนและคนอื่น ๆ จากนิกายอำนาจเทวะ แต่ข้ากำจัดพวกมันไปได้สอง ก็นับว่าคุ้มแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าจะโชคไม่ดี มาเจอพวกตงหวงอิ่นเซวียนวันนี้อีก เกรงว่าหากไม่ได้เย่เฉินกับอวี้จิ่วหุยช่วยไว้….” กู่เยี่ยนหอบหายใจระหว่างพูด เหมือนหายใจไม่ทัน พูดยังไม่ทันจบก็หลั่งเหงื่อเย็นออกจากหน้าผาก
ยอดฝีมือขั้นสูงขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลกลับตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ แค่พูดยังเหนื่อยนักหนา เห็นได้ชัดว่าบาดเจ็บหนักขนาดไหน
“ไม่ต้องพูดแล้ว ตอนนี้พักก่อน ที่เหลือให้ข้าจัดการเอง” เฉินซีเห็นแล้วก็ให้รู้สึกทั้งความเกลียดชังและความปวดใจ หลังห้ามกู่เยี่ยนไม่ให้พูดได้แล้วก็หันไปหาเย่เฉินกับอวี้จิ่วหุย
“ขอบใจนะ….” เฉินซีถอนหายใจยาวก่อนเอ่ยขึ้น
เย่เฉินยิ้มกล่าว “ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมพวกเราที่เป็นคนจากสำนักเต๋าถึงช่วยเขาไว้อย่างนั้นหรือ?”
“เรื่องนั้นไม่สำคัญ” เย่เฉินส่ายหน้า ก่อนเผยใบหน้าเคร่งขรึม “เพราะนี่คือการถกวิถีเต๋า ต้องมีแพ้มีชนะ ข้าไม่นับเจ้าเป็นศัตรูแค่เพราะเรื่องแค่นี้หรอก”
เฉินซีเลิกคิ้วสูง มองเย่เฉินด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดต้องช่วยกู่เยี่ยนด้วย?”
เย่เฉินกับอวี้จิ่วหุยเหลือบมองกัน สุดท้ายก็เอ่ยออกมาตามตรง “ข้าเพียงแต่หวังว่าเขาเทพพยากรณ์จะไม่นับสำนักเต๋าของข้าเป็นศัตรู”
เฉินซีหรี่ตาลง “หมายความว่าอย่างไร?”
“บางคนทำผิดพลาด ก็ต้องมีคนที่คอยตามแก้ไขให้ ข้าเพียงแต่อยากบอกว่าสำนักเต๋าของข้ายึดมั่นในคุณธรรมและความเป็นกลางในการถกวิถีเต๋า แต่ข้าเชื่อว่าหลายคนคงไม่คิดว่าเรื่องจะมาถึงขั้นนี้ได้” เย่เฉินพูดแล้วก็ถอนหายใจ “ข้าเกลียดเรื่องเล่นเล่ห์ที่สุด ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม วิธีไม่ตรงไปตรงมาเช่นนั้นก็ไม่ควรนำมาใช้ในการถกวิถีเต๋าเลยสักนิด”
เฉินซีสัมผัสได้ว่าเย่เฉินพูดความจริง ถึงขั้นที่รู้ได้ว่าเย่เฉินคงพบความจริงบางอย่างได้นานแล้ว ดังนั้นเขาจึงใช้วิธีนี้เพื่อพยายามบรรเทาความเป็นศัตรูที่เฉินซีมีต่อสำนักเต๋าลง
“เมื่อทำผิดพลาดแล้ว แก้แล้วก็ยังไม่พอหรอก อย่างไรก็ต้องมีราคาที่ต้องจ่าย หากทำเช่นนั้นไม่ได้ ก็อภัยให้ข้าด้วยที่ข้าคงอภัยให้พวกเจ้าไม่ได้” เฉินซีเงียบไปนานก่อนเอ่ยขึ้น
เย่เฉินไม่คิดว่าเฉินซีจะมีความคิดหนักแน่นเช่นนี้ เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะพยักหน้าแล้วเอ่ยเสียงเครียด “ข้าเชื่อว่าสำนักเต๋าต้องมีคำอธิบายให้เขาเทพพยากรณ์กับตำหนักเต๋าหนี่หวาได้แน่”
เฉินซีกล่าว “ได้ ข้าจะรอดู”
“เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ตกลงกันแล้ว เราขอตัวก่อน เฉินซี ไม่ว่าอย่างไร การถกวิถีเต๋าครั้งนี้ก็ต้องดำเนินต่อ ข้ารอวันที่จะได้สู้กับเจ้าอยู่นะ ไม่แน่ว่าพบหน้ากันครั้งหน้าอาจได้เป็นคู่ต่อสู้กันก็ได้” เย่เฉินยิ้มบาง จากนั้นก็สองมือไพล่หลัง เดินจากไปพร้อมกับอวี้จิ่วหุย
“สองคนนั้นไม่เลวเลย” เฉินซีมองทั้งสองเดินจากไป ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่สุดท้ายจะส่ายหน้าไปมา จากนั้นจึงเลิกคิดแล้วหันมองกู่เยี่ยนแทน
“อาจารย์อา ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ท่านทิ้งข้าไว้ที่นี่แหละ ถึงจะถูกตัดสิทธิ์ไป ข้าก็ไม่เสียใจอะไรแล้ว แต่ท่านต้องอยู่ให้ถึงที่สุดให้ได้” กู่เยี่ยนเห็นเฉินซีมองมา จึงลืมตาขึ้น พยายามเค้นรอยยิ้มออกมาจากใบหน้าซีดขาวของตน
เขาเกรงว่าตนเองจะเป็นภาระให้เฉินซี
เฉินซีตบไหล่กู่เยี่ยน จากนั้นไม่สนคำของอีกฝ่ายอีก แบกร่างกู่เยี่ยนขึ้นหลังอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็กล่าวขึ้น “เจ้าวางใจแล้วพักฟื้นไปเถอะ มีข้าอยู่ ใครก็ทำให้เจ้าถูกตัดสิทธิ์ไปไม่ได้แน่”
น้ำเสียงเขาเรียบเฉยสงบนิ่ง แต่กลับให้ความรู้สึกมั่นคงไร้ความลังเล
กู่เยี่ยนจึงสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นภายในใจขึ้นมา เหมือนอยากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ดูลังเล สุดท้ายจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา
เมื่อครู่เป็นคำมั่นจากอาจารย์อา ชั่วชีวิตนี้เขาจะไม่มีวันลืมมันเลย
………………..