บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1861 นาวาสูญญวิสุทธิ์
บทที่ 1861 นาวาสูญญวิสุทธิ์
ความไม่ยินยอมหนักหนาในใจทำให้ดวงตาของถูเมิ่งแทบเหลือกถลน แดงก่ำด้วยโลหิตหลั่ง
ไม่ดิ้นรนไม่ยอมแพ้
เปรี้ยง!
ขวานยักษ์สีทองในมือเรืองรัศมีโชติช่วงดุจสมุทรคลั่ง กวัดแกว่งด้วยอำนาจมหาศาล
หากการโจมตีนี้ถูกใช้ในโลกภายนอก มันก็เพียงพอให้หัวใจบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลส่วนใหญ่สั่นสะท้านไร้กำลังได้
แต่การโจมตีดังกล่าวนี้ไม่อาจทะลวงผ่านตรวนหนาสีเลือดซึ่งกำลังฟาดลงมานี้ได้!
ตู้ม!
ทั้งสองปะทะกัน เกิดเป็นเสียงเลื่อนลั่นในโลกา รัศมีศักดิ์สิทธิ์พลุ่งพล่านทั่วทิศ สุญญะถูกป่นเป็นผง โลหิตหนึ่งคำกระเซ็นสายจากปากถูเมิ่ง ขณะที่ร่างกำยำถูกฟาดกระเด็นไปกองกับพื้นพันจั้งห่างออกไป
เปรี้ยง!
แม้จะรับการโจมตีนี้ไว้ได้ แต่ทั้งจมูกปากล้วนหลั่งโลหิต อยู่ในสภาพสะบักสะบอมยิ่ง
สิ่งนี้แสดงชัดว่าพันธนาการเทพโลหิตของเหลิ่งซิงหุนมีฤทธิ์น่าสะพรึงกลัวเพียงไร
“หือ? รับไว้ได้หรือ?” เหลิ่งซิงหุนประหลาดใจเล็กน้อย เขาคิดว่าการโจมตีนี้น่าจะกำจัดถูเมิ่งได้แล้ว แต่มิคาดเลยว่าถูเมิ่งจะยังทนได้
หลังจากนั้น มุมปากเหลิ่งซิงหุนก็ยกยิ้มดูแคลน รำพึงว่า “เหตุใดต้องทำร้ายตนเอง? หากเจ้าดื้อดึงต่อไป ก็มีแต่จะเจ็บตัวกว่าเดิม เปลี่ยนสถานการณ์ก็ไม่ได้ ข้าแนะว่าเจ้ายอมแพ้เถอะ ข้าไม่อยากเสียเวลากับเจ้ามากกว่านี้แล้ว”
เสียงของเขาเต็มไปด้วยน้ำเสียงเช่นผู้อยู่เหนือกว่า
ตู้ม!
ว่าพลาง ตรวนสีเลือดเส้นใหญ่หนาก็พุ่งออกมาอีกครั้ง ก่อเป็นก้อนหนาทึบปรกฟ้าดินฟาดลงใส่ถูเมิ่ง
“ถุ้ย!” ดวงตาของถูเมิ่งแดงก่ำ ถ่มถุยเสียงดัง แม้จะเผชิญอันตรายตรงหน้าเช่นนี้ เขาก็ยังดูสุดดื้อรั้น เต็มไปด้วยความดูแคลนต่อเหลิ่งซิงหุน
แต่ในใจเขาตระหนักดี ว่าตนไม่อาจขัดขืนการโจมตีนี้ได้…
วูบ!
ยามคับขันนั้นเอง ปราณกระบี่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าถูเมิ่งจากอากาศธาตุ แล้วตวัดฟาดลงมา
ปราณกระบี่สายนี้รวดเร็วเฉียบพลันเสียจนดูเหมือนมันซ่อนอยู่ในสุญญะใกล้เคียงมานับแต่เริ่ม สั่งสมกำลังรอเวลาปลดปล่อย ทำให้เหลิ่งซิงหุน ตงหวงอิ่นเซวียนและคนอื่น ๆ ไม่ทันตั้งตัว
จากนั้น เสียงระเบิดสนั่นเสียดชวนหูดับก็ดังกระหึ่มทั่วทิศ
อึดใจต่อมา ถูเมิ่งก็เบิกตากว้าง ในสายตาของเขา ตรวนหนาสีเลือดซึ่งกำลังโถมเข้าใส่ตนถูกออกแรงสะบั้นเป็นเสี่ยง กระจายเป็นละอองแสงหายไป
อะไรนี่? ถูเมิ่งจังงังกับเหตุเกินคาดฝัน
“ไป!” อึดใจต่อมา ร่างของเขาก็ถูกอำนาจแรงกล้าสายหนึ่งหอบขึ้น ขณะหนึ่งเสียงอันสุดคุ้นหูดังขึ้นข้างหู
พริบตานั้น ถูเมิ่งเข้าใจทุกอย่าง และตื่นเต้นลิงโลดถึงขีดสุด
อาจารย์อา!
อาจารย์อามาแล้ว!
…
เหตุทั้งหมดนี้รวดเร็วเกินไป นับแต่ปราณกระบี่สายนั้นปรากฏ สะบั้นตรวนสีเลือดและถูเมิ่งถูกพาตัวไป ทุกสิ่งแทบจะกล่าวได้ว่าจบลงในพริบตา
ปฏิกิริยาของเหลิ่งซิงหุนและตงหวงอิ่นเซวียนรวดเร็วแน่แท้ ทว่ายามคิดลงมือ พวกเขาก็เห็นว่าถูเมิ่งถูกหนึ่งลำแสงพาตัวไปแสนไกลแล้ว
“ฮึ!” ดวงตาของเหลิ่งซิงหุนเรืองประกายเย็นเยียบ
“ดูเหมือนจะเป็นฝีมือเฉินซี เราโชคไม่เลวเลย ใช้ถูเมิ่งบีบให้เจ้านั่นปรากฏตัวได้ นับว่าไม่เสียเปล่า” ตงหวงอิ่นเซวียนยิ้มมุมปาก ดวงตาเรืองโรจน์อย่างตื่นเต้นเล็กน้อย
“ตามไป!”
“เป้าหมายปรากฏตัวแล้ว ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับฝีมือเราแล้ว!”
“ใจเย็นก่อน” ขณะเดียวกัน ตงหวงอิ่นเซวียนสะบัดแขนเสื้อ รัศมีศักดิ์สิทธิ์สีเขียวสายหนึ่งทะยานสู่ฟ้า ก่อนจะเปลี่ยนเป็นนาวารูปร่างคล้ายกระสวย พร่างพรมด้วยปราณโกลาหล
นาวาสูญญวิสุทธิ์!
คนอื่น ๆ ตระหนักถึงสมบัตินี้ทันที สีหน้าชื่นบานขึ้นมา เพราะด้วยสมบัตินี้ เหตุใดต้องกังวลว่าจะตามเฉินซีไม่ทัน?
ไร้ความลังเลใด พวกเขาทั้งหลายต่างตามตงหวงอิ่นเซวียนขึ้นสู่นาวาสูญญวิสุทธิ์ ทะยานนภาไปอย่างรวดเร็ว
พวกเขาหายลับไปในพริบตา
…
นี่คือวันสุดท้ายของการถกวิถีเต๋า สรรพสิ่งที่เกิดในวันนี้ย่อมสะท้านหัวใจและความคิดเหล่าผู้บ่มเพาะในโลกภายนอก
ดังนั้น ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่จึงจับตามองที่แห่งนี้นับแต่ยามถูเมิ่งถูกล้อม
จากนั้น พวกเขาก็เห็นถูเมิ่งปราชัย เฉินซียื่นมือช่วยเหลือ จากนั้นก็ไล่ล่ากัน กล่าวได้ว่าสายตาของทุกผู้ในโลกภายนอกต่างหันจับจ้อง
“มิคาดเลยว่าศึกเช่นนี้จะเกิดแต่แรกรุ่งสาง!”
“หนนี้ พวกเฉินซีจะอยู่ได้จนหมดเวลาขณะถูกยอดฝีมือจากนิกายอำนาจเทวะและสำนักศักดิ์สิทธิ์ไล่ล่าหรือไม่?”
“สำหรับข้า นี่ดูอันตรายนัก ขณะนี้ เฉินซีไม่เพียงต้องพยุงกู่เยี่ยนผู้บาดเจ็บสาหัสที่ยังไม่ฟื้นตัว ยังต้องดูแลถูเมิ่งที่เขาเพิ่งช่วยมา ต่อให้เก่งกล้าสามารถโดดเด่นแค่ไหน แต่เขาจะสู้กับพวกนั้นอย่างไร?”
“เฮ้อ! เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้หนอ? ข้าคิดว่าเฉินซีจะรอดถึงรอบสองของการถกวิถีเต๋า สู้ชิงชัยกับยอดฝีมือผู้อื่นได้ แต่ยามนี้ดูเหมือน… โอกาสจะริบหรี่เต็มที”
ผู้บ่มเพาะในโลกภายนอกพูดคุยกันอย่างออกรส ขณะที่โถงบรรจบเงียบสนิท
ไร้ผู้ใดเอ่ยคำใด
ไม่ว่าจะเป็นเล่ยฝู ฉือซงจื่อ เหวินถิง อวี่เจิน ไฮว่คงจื่อหรือผู้อื่นคนใด พวกเขาล้วนจ้องศึกที่เพิ่งบังเกิดนี้นิ่งเขม็ง ไม่คิดสนใจเรื่องอื่น
ศึกนี้มีความหมายยิ่งใหญ่
หากเฉินซีพ่าย มันจะหมายความว่าศิษย์เขาเทพพยากรณ์ทั้งหมดจะถูกกำจัดจากการถกวิถีเต๋า!
ยิ่งกว่านั้น จากสถานการณ์ปัจจุบัน มันเห็นได้ชัดว่าความเป็นไปได้ของมันสูงยิ่งนัก
เพราะถึงอย่างไร เฉินซีก็อยู่ลำพัง กระทั่งยังต้องดูแลกู่เยี่ยนและถูเมิ่งผู้บาดเจ็บสาหัส ดังนั้น สถานการณ์ของเขาจึงกล่าวได้ว่าอันตรายถึงขีดสุด
ขณะเดียวกัน กำลังฝ่ายนิกายอำนาจเทวะและสำนักศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่ทรงพลัง มิเพียงมีผู้นำร้ายกาจอย่างตงหวงอิ่นเซวียนและเหลิ่งซิงหุน ศิษย์คนอื่น ๆ จากสองขุมกำลังนี้ยังอยู่ด้วยเช่นกัน
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?”
“นิกายอำนาจเทวะกับสำนักศักดิ์สิทธิ์นี่ไร้ยางอายจริง ๆ!”
“เฉินซี เจ้าต้องทนไว้นะ!”
ในพื้นที่ชมศึกบนจัตุรัสแห่งการประชัน หัวใจของเชินถูเยียนหราน เล่ออู๋เหิน อวี๋ชิวจิง จวนอวี๋สุ่ยและคนอื่น ๆ ต่างบีบรัด เป็นห่วงเฉินซีกันยิ่งนัก
มิเพียงพวกเขา ผู้ยิ่งใหญ่มากมายที่มีสัมพันธ์กับเฉินซีอย่างจักรพรรดิเจิ้นอู่และจักรพรรดิจื่อเว่ยต่างก็ขมวดคิ้วเป็นปมเช่นกัน
แต่ไม่ว่าอย่างไร เหล่าผู้บ่มเพาะในโลกภายนอกก็เห็นตรงกัน ว่ากลุ่มของเฉินซีอยู่ในอันตรายร้ายแรง!
…
เปรี้ยง!
เนื่องจากความเร็วนั้นสูงเกินไป เสียงเสียดโสตจึงดังกระหึ่มรุนแรงในสุญตา หากมองลงมาจากบนฟ้า จะเห็นได้ว่ามีบริเวณหนึ่งที่ถูกทำลายร้าวเป็นเส้นตรง
ขณะเดียวกัน ถูเมิ่งฟื้นความเยือกเย็นจากความตื่นเต้นก่อนหน้านี้แล้ว และเมื่อเห็นกู่เยี่ยนผู้ยังบาดเจ็บหนักพิงหลังเฉินซีอยู่ เขาก็ตระหนักทันทีว่าสถานการณ์ย่ำแย่เพียงใด
เขาสูดหายใจลึก ๆ และกัดฟันกล่าวราวตัดสินใจบางอย่างแล้ว “อาจารย์อา วางข้าลงแล้วพาศิษย์พี่กู่เยี่ยนไปเถิด ข้าถูเมิ่งจะกระเสือกกระสนเปิดโอกาสให้พวกท่านทั้งสอง ต่อให้ต้องเดิมพันด้วยชีวิต!”
ว่าพลาง ถูเมิ่งก็เริ่มดิ้นรนจะแยกทางกับเฉินซี
“หุบปาก!” เฉินซีหน้าบึ้ง “หากเจ้ากล้าทำเช่นนั้น ข้าจะขับเจ้าออกจากเขาเทพพยากรณ์จริง ๆ ด้วย!”
ถูเมิ่งผงะไป สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเกินคาดเดา ขณะจะอ้าปาก กู่เยี่ยนก็ขัดขึ้นก่อน “อย่ารบกวนอาจารย์อา หากอาจารย์อาปล่อยให้เจ้าทำเช่นนั้นได้ เขาคงไม่เสี่ยงเข้าช่วยเหลือเจ้าเมื่อครู่หรอก หรือเจ้ายังไม่เข้าใจเจตนาอาจารย์อาอีก?”
“ข้า…” ถูเมิ่งอ้าปากพะงาบ ในใจทั้งตื้นตันและละอาย รู้สึกว่าตนนั้นไร้ค่า ถ่วงแข้งถ่วงขาทั้งเฉินซีและกู่เยี่ยน
“พอแล้ว สิ่งที่เจ้าต้องทำตอนนี้คือเชื่อฟังคำสั่งของอาจารย์อา” กู่เยี่ยนเหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของถูเมิ่ง “ไม่ต้องรู้สึกเสียใจหรอก ต่อให้หนนี้เราพ่าย ภายหน้าก็ยังมีโอกาสให้ล้างแค้นมากมาย”
“อื้อ!” ถูเมิ่งพยักหน้าอย่างแรง
เฉินซีเห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจโล่งอกอย่างช่วยไม่ได้ เขากังวลจริง ๆ ว่าถูเมิ่งจะดื้อดึง เพราะนั่นจะเป็นสถานการณ์รับมือยากสำหรับตน
วิ้ง!
ทันใดนั้น คลื่นมิติประหลาดสายหนึ่งก็ดังเสียดมาจากแสนไกล
อักขระผนึกเต๋าตรวจพบนาวาสีเขียวคล้ายกระสวยอันเต็มไปด้วยปราณโกลาหลได้ในพริบตา เห็นได้ชัดว่าเป็นสมบัติวิญญาณธรรมชาติอันเด่นล้ำด้านความเร็ว
ปรากฏว่าเหลิ่งซิงหุน ตงหวงอิ่นเซวียนและศิษย์นิกายอำนาจเทวะกับสำนักศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวลอยู่บนนาวานั้น!
แย่แล้ว! การค้นพบนี้ทำให้สีหน้าของเฉินซีดำคล้ำ เพราะไม่คาดคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะตามมาเร็วเพียงนี้
“แย่ละ! พวกเขาตามมาแล้ว!” พร้อมกันนั้น กู่เยี่ยนและถูเมิ่งก็สังเกตเห็นพวกเขาเช่นกัน ต่างคนล้วนเปลี่ยนสีหน้า
“ไม่ต้องกังวล ข้าจัดการเอง” เฉินซีสูดหายใจลึก ๆ ดวงตาลึกล้ำเช่นหุบเหวเรืองประกายเย็นเยียบเฉียบขาด ราวกับตัดสินใจบางอย่างแล้ว
“เฉินซี มิคาดเลยว่าในการถกวิถีเต๋านี้ เราจะได้พบกันเพียงวันสุดท้าย โชคชะตาเล่นตลกเกินคาดหยั่งจริงแท้” เสียงเรียบเรื่อยของตงหวงอิ่นเซวียนก้องทั่วฟ้าดิน “แต่ข้าว่าก็เพียงพอแล้ว เพราะหนนี้เจ้าหนีไม่ได้หรอก”
เสียงของเขาเจือความมาดมั่นแรงกล้า
เปรี้ยง!
ไม่ทันสิ้นคำ ตงหวงอิ่นเซวียนก็เปิดฉากโจมตีอย่างดุดัน ยืนตรงบนนาวาสูญญวิสุทธิ์พลางสะบัดแขนเสื้อ ส่งดวงตะวันสีม่วงทะยานสูงสู่เวหา เรืองรัศมีเจิดจรัสไร้ประมาณ
หลังจากนั้น มันก็ทุ่มทะลวงลงใส่เฉินซีจากไกล ๆ!
………………..