บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1864 ตัวคนเดียวไร้ใครช่วยเหลือ
………………..
บทที่ 1864 ตัวคนเดียวไร้ใครช่วยเหลือ
ไม่นาน เรื่องที่เฉินซีกังวลก็เกิดขึ้นจริง
ภายใต้การโจมตีเต็มกำลังของเหลิ่งซิงหุน ตงหวงอิ่นเซวียน และคนอื่น ๆ ทำให้ค่ายกลแปดปรมัตถ์รั้งอยู่ได้สองเค่อ ก่อนที่โครงสร้างอักขระยันต์ภายในจะเริ่มล่มสลาย
แม้จะเป็นเพียงแค่ส่วนเล็ก ๆ แต่เมื่อส่วนนั้นถูกทำลายไปแล้ว ก็จะเป็นเหมือนตัวเร่งทำให้ทั้งค่ายกลถูกทำลายได้!
ตอนนี้เหลิ่งซิงหุนและคนอื่น ๆ ที่โจมตีอยู่ภายนอกค่ายกลสังเกตเห็นเรื่องนี้แล้ว จึงยิ่งมีกำลังใจต่อสู้เพิ่มสูงขึ้น
“โจมตีต่อไป! อย่าวางมือ!”
“หากไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น เด็กนี่ก็คงต้านได้อีกไม่นาน อย่าได้ประมาทในจังหวะนี้เชียว!” เหลิ่งซิงหุนตะโกนเสียงทุ้มออกไปเสียงดัง ผมสีแดงเพลิงสะบัดพลิ้ว เผยกลิ่นอายองอาจดุดัน ดวงตาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
การโจมตีทั้งหมดยิ่งดุดันยิ่งขึ้น สมบัติศักดิ์สิทธิ์และวิชาทั้งหลายถูกซัดออกมาหนาแน่นราวกับลมพายุ กระจายมืดฟ้ามัวดิน
หากเป็นโลกภายนอก แค่การโจมตีเช่นนี้ก็คงทำลายดาวได้หลายดวง สร้างความโกลาหลจนจินตนาการคาดไม่ออกได้ไปแล้ว
ตอนนี้ผู้บ่มเพาะภายนอกทั้งหลายล้วนเห็นเหตุการณ์นี้แล้วรู้สึกขวัญผวา อ้าปากค้างไม่รู้จบ
“แกร่งเกินไปแล้ว หากไร้ค่ายกลศักดิ์สิทธิ์ป้องกันก็คงไม่อาจต้านได้ด้วยกำลังต่อสู้ของกลุ่มเฉินซีได้จนถึงตอนนี้แน่”
“หึ! พวกนั้นก็แค่ใช้จำนวนคนข่มกลุ่มเฉินซี มีอะไรน่าตกใจกัน? หากเป็นเหลิ่งซิงหุนหรือตงหวงอิ่นเซวียนตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน คงด้อยกว่าเฉินซีเป็นไหน ๆ!”
“ข้าว่าวิธีการของเฉินซีไม่ธรรมดาเลย กระทั่งสถานการณ์อันตรายเช่นนี้ แต่ก็ยังสามารถใช้เต๋าแห่งยันต์อักขระรั้งอยู่ได้จนถึงตอนนี้ นับว่าน่ามหัศจรรย์ใจยิ่ง”
“แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเฉินซีก็เสียเปรียบอยู่ดี ค่ายกลศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลายเมื่อไหร่ พวกเขาก็คงถูกดีดออกจากการถกวิถีเต๋าแน่”
ฝูงชนถกเถียงกันอย่างออกรส ส่วนมากต่างชื่นชมความสามารถเต๋าแห่งยันต์อักขระของเฉินซี ไม่รู้ว่าชายหนุ่มทำเช่นนี้ได้อย่างไร
…
ภายในโถงบรรจบ
เล่ยฝูกับฉือซงจื่อขมวดคิ้ว ไม่คิดเลยว่าในจังหวะเช่นนี้ เหลิ่งซิงหุนกับตงหวงอิ่นเซวียนจะยังกำจัดพวกเฉินซีไม่ได้
“ไม่คิดเลยว่าอาจารย์อาของเจ้าจะมีความรู้ด้านเต๋าแห่งยันต์อักขระสูงส่งขนาดนี้ ข้ายังอ่านความสามารถเขาไม่ออกเลย” อวี่เจินเอ่ยขึ้นผ่านกระแสปราณด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
“อย่างน้อย ๆ ตัวข้าเองก็ทำเช่นเขาไม่ได้” เหวินถิงเอ่ยขึ้นดูใจลอย นางกำลังเป็นห่วงเฉินซี
ในฐานะจักรพรรดิจากเขาเทพพยากรณ์ ความสามารถในเต๋าแห่งยันต์อักขระเหวินถิงของเต๋าแห่งยันต์อักขระย่อมขึ้นถึงจุดสูงส่งได้นานแล้ว แต่เมื่อเห็นความสามารถในการตั้งค่ายกลของเฉินซี นางก็เข้าใจทันทีว่าหากเป็นเรื่องเต๋าแห่งยันต์อักขระแล้ว นางเทียบเฉินซีไม่ติดเลยทีเดียว
แต่ถึงจะเทียบเฉินซีเรื่องเต๋าแห่งยันต์อักขระไม่ได้ นางก็ยังรู้ว่าตอนนี้เฉินซีกำลังตกอยู่ในอันตราย
ภายในผังค่ายกลป้องกันค่ายกลแปดปรมัตถ์นั้น โครงสร้างอักขระยันต์บางแห่งเริ่มจะสลายตัวบ้างแล้ว ซึ่งไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย!
ยิ่งเมื่อเห็นเหลิ่งซิงหุน ตงหวงอิ่นเซวียน และคนอื่น ๆ เร่งโจมตีเข้ามา ซัดค่ายกลไม่หยุดเช่นนี้ ใจนางก็บีบคั้นเป็นห่วงเขายิ่งนัก
กว่าการถกวิถีเต๋ารอบนี้จะสิ้นสุดลงก็เหลืออีกกว่าสิบชั่วยาม เฉินซีและคนอื่น ๆ จะสามารถรั้งการโจมตีไปจนถึงตอนนั้นได้หรือไม่? นับว่าเป็นสถานการณ์อันตรายยิ่ง! ถึงนางจะไม่อยาก แต่ก็ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ในตอนนี้ หากพวกเฉินซีไม่อาจซ่อมแซมจุดเปราะในค่ายกลได้ ไม่ต้องพูดถึงสิบชั่วยามหรอก แค่ชั่วยามเดียวจะรอดหรือเปล่ายังไม่รู้!
“เจ้ายังด้อยกว่าเลยหรือ?” อวี่เจินชะงักไป ดูจะตกใจกับเรื่องนี้พอสมควร แต่ไม่ทันไรก็ตั้งสติได้ สายตากลับไปจับจ้องภาพเหตุการณ์ภายในพิภพกุมภเต๋าอีกครั้ง
ยิ่งเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นแล้ว สีหน้ายิ่งเคร่งขรึมลง
ตอนนี้อีกพื้นที่หนึ่งของพิภพกุมภเต๋า ศิษย์ตำหนักเต๋าหนี่หวาภายใต้การนำของคงโหยวหรานและสืออวี๋ ได้เผชิญหน้ากับศิษย์สำนักเต๋าที่เย่เฉินและอวี้จิ่วหุยนำมาแล้ว ทั้งยังเกิดการต่อสู้ขึ้นด้วย
ทันทีที่การต่อสู้ปะทุขึ้น ก็ดึงความสนใจไปได้ทันที
ถึงขั้นที่คนจำนวนมากที่กำลังชมการต่อสู้พวกเฉินซีกับพวกเหลิ่งซิงหุนกับตงหวงอิ่นเซวียนอยู่ถึงกับละสายตาไปมองอีกด้าน
เหตุผลก็ไม่ใช่อะไรซับซ้อน
ศิษย์สำนักเต๋าและตำหนักเต๋าหนี่หวากำลังสู้กันดุเดือด ใช้ทั้งวิชาทั้งพละกำลังที่มีทั้งหมด เป็นการต่อสู้ที่น่าสนใจไม่ใช่เล่น
แต่การต่อสู้ระหว่างเขาเทพพยากรณ์และอีกฝั่งที่เป็นนิกายอำนาจเทวะกับสำนักศักดิ์สิทธิ์ร่วมมือกันนับว่ามีจำนวนไม่ยุติธรรม อีกทั้งความต่างพลังยังสูงมาก นิกายอำนาจเทวะและสำนักศักดิ์สิทธิ์แทบจะซัดค่ายกลศักดิ์สิทธิ์หมายจะทำลายเข้าไปได้โดยตรง ดังนั้นในแง่ของความตื่นตาตื่นใจ จึงสู้ศึกระหว่างตำหนักเต๋าหนี่หวากับสำนักเต๋าไม่ได้เลย
คนจากโลกภายนอกจึงได้แต่หันไปสนใจการต่อสู้อีกทางแทน
อีกทั้งพวกที่ดูเฉินซีมานานแล้ว การต่อสู้ระหว่างตำหนักเต๋าหนี่หวากับสำนักเต๋าก็เหมือนเป็นสัญญาณบางอย่าง
สัญญาณที่บอกว่าด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันนี้ พวกเฉินซีกลายเป็นหัวเดียวกระเทียมลีบ ไร้ฝ่ายใดช่วยเหลือ เพราะไม่อาจได้รับความช่วยเหลือจากตำหนักเต๋าหนี่หวาอีก
หรือก็คือ กลุ่มสามคนของเฉินซีต้องพึ่งฝีมือตัวเองเอาชนะอันตรายตรงหน้าให้ได้!
เหวินถิงเองก็สังเกตเห็นเรื่องนี้เช่นกัน สีหน้าจึงเคร่งเครียดยิ่ง
ทว่าเล่ยฝูกับฉือซงจื่อกลับหัวเราะด้วยความยินดี
พวกเขาไม่ได้หัวเราะเยาะเย้ยเหวินถิง แต่กำลังเยาะเย้ยสำนักเต๋าต่างหาก เพราะนั่นเท่ากับว่าพวกเขากลับเป็นฝ่ายช่วยนิกายอำนาจเทวะและสำนักศักดิ์สิทธิ์จัดการปัญหาในอนาคตไป นั่นก็คือตำหนักเต๋าหนี่หวา
ไฮว่คงจื่อและคนอื่น ๆ เห็นแบบนี้ก็ไม่พูดอะไร ทำให้คนอื่นไม่อาจรู้ได้เลยว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่
…
ครืน!
ภายใต้การโจมตีเต็มกำลังของเหลิ่งซิงหุนกับตงหวงอิ่นเซวียน ค่ายกลแปดปรมัตถ์รั้งอยู่มายังไม่ถึงเค่อ จุดเปราะก็เริ่มปรากฏให้เห็นแล้ว
โครงสร้างอักขระยันต์ภายในผังอักขระยันต์ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งเริ่มถูกทำลาย ทำให้อำนาจของมันลดลงเป็นอย่างมาก
“ดีมาก! โจมตีต่อไป!” เหลิ่งซิงหุนเผยแววตาสว่างวาบ รู้สึกภาคภูมิใจกับความสำเร็จยิ่ง
แต่ภายในค่ายกลศักดิ์สิทธิ์นั้น เฉินซีกำลังมุ่นคิ้วไม่อยากเชื่อเมื่อเห็นว่าเกิดจุดเปราะขึ้น เขารีบกล่าวขึ้นว่า “ถูเมิ่ง เจ้าช่วยข้าจัดการเรื่องนี้ พร้อมหรือไม่?”
“อาจารย์อาสั่งข้ามาได้เลย!” ถูเมิ่งลุกขึ้นพูด ก่อนหน้านี้เขาได้แต่ดูเงียบ ๆ อย่างช่วยอะไรไม่ได้เลย ทำให้รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
“ทำตามที่ข้าสั่งเสีย มุ่งหน้าไปยังยันต์เทวะพฤกษาคราม โครงสร้างที่ 1327 ในยันต์ได้รับความเสียหาย เจ้าไปซ่อมมันเสีย” เฉินซีแนะแนวทางรวดเร็ว
“ให้ข้าจัดการเอง” ถูเมิ่งไม่เสียเวลา รับคำสั่งแล้วจากไปทันที
ในฐานะศิษย์เขาเทพพยากรณ์ เขาย่อมได้รับมรดกยันต์เทวะห้าธาตุมาแล้ว รู้จักโครงสร้างอักขระยันต์ของมันเป็นอย่างดี
ตู้ม!
แต่ถูเมิ่งยังไม่ทันได้ไปซ่อมแซม ก็ได้ยินเสียงลั่นครืนดังขึ้น เฉินซีสังเกตเห็นทันทีว่าโครงสร้างอักขระยันต์อีกส่วนหนึ่งของค่ายกลได้รับความเสียหายเพิ่มแล้ว
ทำให้เฉินซีหน้าเคร่งขึ้น หากอีกฝ่ายยังคงความเร็วการโจมตีเช่นนี้ต่อไป แม้ถูเมิ่งจะซ่อมแซมเต็มกำลัง แต่ค่ายกลก็คงไม่พ้นถูกทำลายเป็นแน่
เอาอย่างไรดี?
ตอนนี้เฉินซีเองก็รู้สึกกดดันมากเช่นกัน
ตอนนี้เขาต้องใช้พลังทั้งหมดคุมการโคจรของค่ายกลศักดิ์สิทธิ์และต้านการโจมตีจากภายนอกไว้ ดังนั้นจึงไม่มีเวลาให้ไปทำอย่างอื่นเลย
“อาจารย์อา ให้ข้าทำเองเถอะ” ทันใดนั้น กู่เยี่ยนที่ทำสมาธิมาตลอดก็เอ่ยขึ้น
“เจ้าน่ะหรือ?” เฉินซีขมวดคิ้ว มองปราดเดียวก็เห็นแล้วว่าบาดแผลของกู่เยี่ยนยังสาหัสอยู่ หากกู่เยี่ยนไปช่วยซ่อมแซมผังค่ายกลในสภาพเช่นนี้ อาจทำร้ายไปถึงรากฐานเต๋าได้ทีเดียว
“อาจารย์อาโปรดเชื่อใจข้า ให้ข้าทำเถอะ” กู่เยี่ยนเอ่ยเสียงมั่นใจ “หากเราผ่านไปได้ บาดเจ็บเล็กน้อยไม่เป็นไรหรอก!”
เฉินซีเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นจึงตัดความลังเลแล้วกล่าวว่า “โครงสร้างอักขระยันต์ที่ 37 ของยันต์เทวะผสานธาตุ….”
“ขอบคุณอาจารย์อา!” เฉินซียังพูดไม่ทันจบ กู่เยี่ยนก็ลุกขึ้นยืนแล้วสูดหายใจเข้าลึก เดินหันหลังจากไปแล้ว เหมือนไม่อยากทำให้เฉินซีต้องเป็นห่วง แผ่นหลังเขาตั้งตรง เผยแววองอาจและความมั่นใจออกมา
“ดื้อจริง” เฉินซีเผยรอยยิ้มมุมปาก
แต่หลังจากนั้นเขาก็ไม่มีเวลาให้คิดอะไรอีก ต้องลงสมาธิทั้งหมดไปกับการควบคุมค่ายกล
เฉินซีรู้ดีว่าการจะรั้งอยู่จนถึงตอนจบการถกวิถีเต๋าคงยากมาก หากพึ่งแต่การป้องกันจากค่ายกลเช่นนี้
แต่ด้วยสถานการณ์ตรงหน้าจึงทำได้เพียงเท่านี้
เพราะพวกเขาไร้หนทางให้ถอยอีก!
“ทนจนถึงค่ำก็คงพอแล้ว ถึงตอนนั้นหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าจะระเบิดสมบัติวิญญาณธรรมชาติให้หมดเลย!” เฉินซีเผยแววตาดุดันออกมา
นับแต่การถกวิถีเต๋าเริ่มต้นขึ้น เขาก็ถูกล้อมถูกโจมตีมาโดยตลอด ถูกนิกายอำนาจเทวะและสำนักศักดิ์สิทธิ์เพ่งเล่งมาตั้งแต่ต้น ไม่เพียงแต่หาคนอื่น ๆ จากเขาเทพพยากรณ์ไม่พบ แต่นิกายอำนาจเทวะและสำนักศักดิ์สิทธิ์ยังกำจัดศิษย์เขาเทพพยากรณ์ไปได้หลายคน
ทำให้ในใจเฉินซีมีไฟสุมอกสั่งสมอยู่นานแล้ว เพราะตนไม่เคยอยู่ในสภาพถูกบีบคั้นเช่นนี้มาก่อน
ถึงแม้จะเป็นตอนที่ถูกไล่ในกลุ่มดาววิญญาณจร แต่ก็ยังไม่โกรธไม่เกลียดเท่าตอนนี้!
“อาจารย์อา ข้าซ่อมเสร็จแล้ว” ถูเมิ่งตะโกนเสียงมาแต่ไกล ทำให้เฉินซีมีกำลังใจยิ่งขึ้น
…
“แปลก ๆ นะ ทำไมจุดเปราะนั้นหายไปแล้วเล่า?” ภายนอกค่ายกล เหลิ่งซิงหุนเห็นว่าแม้พวกตนจะโจมตีเต็มกำลัง แต่อำนาจของค่ายกลศักดิ์สิทธิ์กลับไม่ได้ลดน้อยถอยลง ทั้งยังจะฟื้นฟูกลับสู่สภาพเดิมเสียด้วย
“เราโจมตี พวกมันซ่อมแซม ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ข้าแปลกใจนักที่เฉินซียังสามารถคงการโคจรของค่ายกลศักดิ์สิทธิ์มาได้ถึงขนาดนี้ด้วยตัวคนเดียว รั้งอยู่มาได้นานทีเดียว นับว่าเกินคาดเสียจริง” ตงหวงอิ่นเซวียนเองก็มุ่นคิ้ว “อย่างไรเสียค่ายกลนี้ก็ไม่ได้มีรากฐานใด ดังนั้นจึงขาดแหล่งพลัง เมื่อเป็นเช่นนี้ เฉินซีจึงต้องใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองเลี้ยงมันไว้ ดังนั้นหากพูดกันตามหลักเหตุผล เขาไม่มีทางรั้งอยู่จนถึงตอนนี้ได้แน่นอน ผ่านไปเกือบสองชั่วยามแล้ว แต่เขาดูยังไม่เหนื่อยล้าเลย ซึ่งเรื่องนี้ดูผิดปกติยิ่ง”
“หรือเขาจะมีสมบัติที่สามารถเติมพลังศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากได้อยู่?” ศิษย์คนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ก็เป็นไปได้” ตงหวงอิ่นเซวียนพยักหน้าแล้วถอนหายใจในใจ ไม่คิดเลยว่าเฉินซีจะรับมือยากขนาดนี้ ขนาดพวกเขาร่วมมือกันยังไม่สามารถทำอะไรเฉินซีในระยะเวลาสั้น ๆ ได้เลย
นี่มันเหลือเชื่อจริง ๆ !