บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1865 สามก้านธูปสุดท้าย
บทที่ 1865 สามก้านธูปสุดท้าย
เหลิ่งซิงหุนเงียบไปเมื่อเขาได้ยินคำพูดของตงหวงอิ่นเซวียน
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็กล่าวขึ้นเสียงเย็น “แน่นอนเฉินซีคนนี้ยากที่จะจัดการ อย่างไรก็ตาม จากการที่เราค้นพบร่องรอยของจุดอ่อนบนค่ายกล มันสามารถพิสูจน์ได้ว่าเขากำลังพยายามอย่างหนักในขณะนี้ เราเพียงแค่ต้องโจมตีอย่างต่อเนื่องเท่านั้น อีกไม่นานเขาก็คงจะยืนหยัดต่อไปไม่ไหว”
เหลิ่งซิงหุนสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะพูดอย่างเด็ดเดี่ยว “โจมตีต่อไปอย่าได้ลังเล ไม่ว่ายังไงก็ตาม เราต้องกำจัดเด็กคนนี้ก่อนที่ม่านแห่งรัตติกาลจะปกคลุม!”
ตู้ม!
การต่อสู้ดำเนินต่อไป ขณะที่มันทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ฟ้าดินอันกว้างใหญ่นี้ถูกโอบล้อมไปด้วยรัศมีศักดิ์สิทธิ์นานัปการ พวกมันเปล่งประกายวาวโรจน์ ส่องสว่างไปทั่วแผ่นดิน
…
เมื่อเผชิญกับกระแสการโจมตีเช่นนี้ เฉินซีก็ไม่กล้าที่จะล่าถอย
เขารักษาการโคจรพลังภายในค่ายกลศักดิ์สิทธิ์ด้วยความแข็งแกร่งทั้งหมดที่มี เจตจำนงอันแผ่ไพศาลของเขาหยั่งสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในค่ายกลตลอดเวลา ด้วยหวั่นเกรงอย่างยิ่งว่าอาจจะมีสิ่งใดบกพร่องไปได้
“ถูเมิ่ง โครงสร้างอักขระยันต์ที่ 136 ในยันต์เทวะวิหคอมตะวายุ…”
“กู่เยี่ยน โครงสร้างอักขระยันต์ที่ 301 ในยันต์เทวะอสนีบาตทมิฬ…”
“ถูเมิ่ง ยันต์เทวะไฟโลกันตร์…”
“กู่เยียน…”
ขณะที่การต่อสู้ดำเนินไป จุดอ่อนที่ปรากฏบนค่ายกลแปดปรมัตถ์ก็ค่อย ๆ เพิ่มจำนวนขึ้น ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ถูเมิ่งและกู่เยี่ยนมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้ช่วยของเฉินซีอย่างยิ่ง พวกเขาค่อยซ่อมแซมโครงสร้างอักขระยันต์ที่เสียหายอย่างไม่หยุดมือ
โชคดีที่ทั้งคู่มาจากเขาเทพพยากรณ์ ทั้งยังได้รับสืบทอดวิชายันต์เทวะ ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่สำเร็จในเต๋าแห่งยันต์อักขระที่ระดับเดียวกับเฉินซี แต่นั่นก็เพียงพอที่จะเอาชนะส่วนใหญ่ในโลกภายนอกที่บ่มเพาะเต๋าแห่งยันต์อักขระได้ ไม่อย่างนั้นแล้ว ค่ายกลนี้คงจะถูกทำลายไปนานมาแล้วหากเฉินซีต้องพยายามเพียงลำพัง
แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อเวลาผ่านไป แรงกดดันที่เฉินซีสัมผัสได้ก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น สีหน้าเริ่มตึงเครียด
ในขณะนี้ เขาไม่เพียงแค่ต้องรักษาการพลังโคจรของค่ายกลเพื่อต้านทานการโจมตีของศัตรูจากภายนอกเท่านั้น ยังต้องชี้แนะถูเมิ่งและกู่เยี่ยนให้ซ่อมแซมโครงสร้างอักขระยันต์ภายในค่ายกลอีกด้วย ดังนั้นความเคร่งเครียดที่เผชิญจึงเพิ่มขึ้นเป็นสองต่อ
แม้ว่าการบ่มเพาะดวงจิตแห่งเต๋าจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่ชายหนุ่มก็เริ่มรู้สึกหนักใจขึ้นมาไม่น้อย หากไม่ใช่เพราะพลังศักดิ์สิทธิ์ที่มีอย่างไม่จำกัดจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬ เขาก็คงไม่สามารถยืนหยัดได้จนถึงบัดนี้
อย่างไรก็ตาม เฉินซีกังวลเกี่ยวกับถูเมิ่งและกู่เยี่ยนยิ่งนัก
ทั้งสองคนได้รับบาดเจ็บมาก่อนหน้านี้ พวกเขาพยายามลากสังขารที่บาดเจ็บของตนไปซ่อมแซมค่ายกลอย่างไม่หยุดพัก เมื่อพินิจดูแล้ว พวกเขาทั้งสองต้องเผชิญกับความยากลำบากไม่น้อย
กระนั้นตอนนี้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากจะต้องฮึดสู้อย่างดื้อรั้นเช่นนี้
…
เวลาผ่านไปเกินกว่าจะล่วงรู้
บัดนี้ เหลือเพียงสามก้านธูปเท่านั้นก่อนม่านแห่งรัตติกาลจะตรึงไปทั่วท้องฟ้า
ท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือด ผู้เยี่ยมยุทธ์ทุกคนในโลกภายนอกต่างจับจ้องการต่อสู้ครั้งนี้ด้วยความตกใจจนพูดไม่ออก สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
ใครจะจินตนาการได้ว่าทั้งที่เฉินซีและคนอื่น ๆ ตกอยู่ภายใต้สภาวะที่เลวร้ายสาหัส ทว่าพวกเขากลับสามารถยืนหยัดต่อไปได้จนถึงตอนนี้
นี่มันเป็นเรื่องที่เกินจินตนาการไปมาก ราวกับปาฏิหาริย์ที่ไม่มีวันเป็นจริง หากสุดท้ายกลุ่มของเฉินซีก็ทำให้มันเกิดขึ้น พวกเขาไม่กล้าคิดเลยว่าการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
“หรือว่าเฉินซีกับพวกจะสามารถยืนหยัดได้ตลอดรอดฝั่งโดยอาศัยค่ายกลได้จริง ๆ?”
“อาจเป็นเช่นนั้นก็ได้ แต่การยืนหยัดเช่นนี้ต่อไปก็อาจทำให้เฉินซีและคนอื่น ๆ ยิ่งย่ำแย่ลงกว่าเดิม ทุกท่านไม่ได้สังเกตเลยหรือ? ค่ายกลศักดิ์สิทธิ์นั้นอ่อนแอลงอย่างมากเมื่อเทียบกับแต่ก่อน หากเฉินซีและคนอื่น ๆ ประมาทแม้เพียงนิดเดียว ก็อาจทำให้เกิดที่ผลร้ายแรงตามมาได้”
“มันก็ยากที่จะพูดจริง ๆ ไม่ใช่แค่กลุ่มของเฉินซีเท่านั้น ลองดูที่เหลิ่งซิงหุนและคนอื่น ๆ สิ พวกเขาโจมตีอย่างต่อเนื่องมาชั่วยามกว่า ๆ แล้ว เรียกว่าผลาญพลังไปมากทีเดียว หลายคนถึงกับออกอาการเหนื่อยหอบไม่ต่างกัน”
“แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายไหนจะสามารถยืนหยัดได้จนถึงที่สุด”
ผู้เยี่ยมยุทธ์ในโลกภายนอกพูดคุยกันอย่างออกรส ในฐานะผู้ชม พวกเขาสามารถเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในการต่อสู้ทั้งหมด ทั้งยังสามารถสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา แต่ถึงอย่างนั้น จนถึงตอนนี้ พวกเขาก็ยังไม่อาจชี้ได้อย่างแน่ชัดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้นี้จะเป็นอย่างไร
…
“บ้าเอ๊ย!”
“เหตุใดจึงได้พังยากพังเย็นเช่นนี้? ยิ่งกว่าทุบกระดองเต่าดำบรรพกาลเสียอีก!”
“เราควรทำอย่างไรต่อไปดี? เหลือเวลาเพียงสามก้านธูปก่อนที่การถกวิถีเต๋าจะสิ้นสุดลง”
ภายนอกค่ายกล บรรดาศิษย์ของนิกายอำนาจเทวาและสำนักศักดิ์สิทธิ์พากันขมวดคิ้วและก่นด่าสาปแช่งต่อเรื่องที่เกิด สีหน้าของพวกเขาหม่นหมองด้วยนึกโกรธจัด
พวกเขาโจมตีอย่างต่อเนื่องมาเป็นชั่วยามแล้ว แต่กลับไม่สามารถทำลายค่ายกลศักดิ์สิทธิ์นี้ได้เลย สิ่งนี้นับเป็นความอัปยศอดสูสำหรับพวกเขา มีเพียงความเสียใจระคนโมโหที่บังเกิดขึ้นภายใน
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความแข็งแกร่งของพวกเขาถูกแผ้วพานไปมาก จนเกือบไม่สามารถทนความเหนื่อยล้าได้อีกต่อไป ซึ่งนับเป็นสิ่งที่แย่ที่สุดในสถานการณ์นี้
อันที่จริงพวกเขาจะเลือกพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูพลังก็ได้ แต่หากทำเช่นนั้น ก็เท่ากับช่วยให้กลุ่มของเฉินซีมีเวลาพักผ่อนและฟื้นตัวเช่นเดียวกัน
การถกวิถีเต๋ากำลังจะสิ้นสุดลงในอีกสามก้านธูปข้างหน้า แล้วพวกเขาจะกล้าเฉื่อยชาได้อย่างไร?
ตอนนี้เอง ตงหวงอิ่นเซวียนและเหลิ่งซิงหุนต่างก็มีสีหน้ามืดมน ไม่มีแม้ร่องรอยของความผ่อนคลายบนใบหน้านั้น
การต่อสู้ครั้งนี้ปะทุขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ เดิมทีพวกเขาคิดว่าพวกเขาจะสามารถกำจัดศิษย์ทั้งหมดจากเขาเทพพยากรณ์ได้ในระยะเวลารวดเร็ว นึกไม่ถึงเลยว่าสถานการณ์จะพลิกผันเกินกว่าจินตนาการถึงเพียงนี้
ค่ายกลศักดิ์สิทธิ์เพียงค่ายกลเดียวสามารถป้องกันการโจมตีของพวกเขาได้ราวกับป้อมปราการที่ไม่มีวันพังทลาย เรื่องเช่นนี้จะให้พวกเขากล้าจินตนาการได้อย่างไร?
“ดูเหมือนว่าข้าจะต้องใช้สิ่งนั้น…” เหลิ่งซิงหุนเผยสีหน้าเหี้ยมเกรียมในขณะที่พูดเสียงเย็น กระนั้นเขาก็พูดไปเพียงครึ่งทางเท่านั้น ฉับพลันแสงที่ชวนให้หวั่นผวาฉายชัดจากดวงตา
ตอนนี้เอง ตงหวงอิ่นเซวียนดูเหมือนจะสังเกตเห็นท่าทางของอีกฝ่าย รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนมุมปาก “พวกมัน… ไม่รอดแน่!”
“โจมตีต่อไป! เอาให้เต็มกำลัง!” เหลิ่งซิงหุนตะโกนเสียงลั่น ชายอาภรณ์ที่พัดกระพือเผยให้เห็นท่าทางผยอง การโจมตีรุนแรงยิ่งขึ้นราวกับดื่มยาอายุวัฒนะเข้าไป
พวกมันไม่รอดแน่?
ศิษย์คนอื่น ๆ เข้าใจทันทีว่าสิ่งนี้หมายถึงอะไร จิตวิญญาณพลันมีชีวิตชีวาขึ้นทันที!
…
แค่ก!
ภายในค่ายกล ร่างของกู่เยี่ยนที่กำลังซ่อมแซมอักขระยันต์ที่ได้รับความเสียหายแข็งทื่อไปในพลัน จากนั้นก็กระอักเลือดออกมาด้วยไม่อาจอดกลั้นได้ไหว
“กู่เยี่ยนกลับมานี่!” เฉินซีปวดแปลบที่ใจยิ่ง เขาสั่งอีกฝ่ายด้วยเสียงหนักแน่น
“อาจารย์อาอย่าได้สนใจข้า มันก็เพียงอาการบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ข้ายังไหวขอรับ” กู่เยี่ยนไม่กล้าหันกลับมามองเฉินซี เขาสูดหายใจเข้าลึก และมุ่งมั่นที่จะก้าวออกไปเพื่อซ่อมแซมค่ายกล
ขวับ!
ทันใดนั้น พลังหนึ่งก็สัมผัสแผ่นหลัง แล้วดึงเขากลับมา ก่อนจะปล่อยลงบนพื้นเบื้องหน้าเฉินซี
“ไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเอง ข้าจัดการเอง” เฉินซีถอนหายใจเบา ๆ แม้ว่าเสียงจะสงบ แต่ก็แฝงไปด้วยคำยืนกราน
กู่เยี่ยนชะงัก ความขมขื่นก่อตัวรุนแรงขึ้นในใจ แต่กระนั้น เขาก็ไม่ได้ดึงดันต่อไป
“ถูเมิ่ง เจ้าก็กลับมาเช่นกัน” เฉินซีหันกลับมาและพูดกับถูเมิ่งซึ่งอยู่ไกลออกไป
“อาจารย์อา ข้าสบายดี” ถูเมิ่งตะโกนลั่น
“ข้าบอกให้กลับมา!” ทันใดนั้น ท่าทางของเฉินซีกลับเยือกเย็น น้ำเสียงแฝงไปด้วยโทสะกรุ่น
ถูเมิ่งไม่กล้าดื้อรั้นอีกต่อไป เขากระทืบเท้าอย่างแรงก่อนจะกลับไปด้วยความไม่เต็มใจอย่างยิ่ง ร่างของเขาทรุดนั่งลงบนพื้นด้วยสีหน้าหดหู่
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะยิ้มเมื่อเห็นสิ่งนี้ “หรือว่าเจ้าสองคนไม่เชื่อมั่นในอาจารย์อาของตัวเอง หืม?”
ทั้งสองคนตะลึง
ในขณะเดียวกัน เฉินซีก็ยืนขึ้น เขาสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะพูดขึ้น “พลังของค่ายกลมาถึงขีดจำกัดแล้ว การซ่อมแซมเพิ่มเติมใด ๆ ล้วนแต่เปล่าประโยชน์ทั้งนั้น ตอนนี้ข้าควรจะใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างออกไปเสียที”
กลยุทธ์ที่ต่างออกไป? ทั้งสองคนเบิกตากว้าง หรือว่าสถานการณ์นี้จะมีทางออกอื่นจริง ๆ?
…
ณ โถงบรรจบ
อวี่เจินที่ให้ความสนใจกับการต่อสู้อย่างใจจดใจจ่อถอนใจด้วยความโล่งอกพลางส่งเสียงพึมพำ “เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน หากพวกเขาต่อสู้จนถึงจุดที่ทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บสาหัส ก็จะส่งผลให้คนอื่นได้รับผลประโยชน์ไปแทน”
หลังจากผ่านไปไม่กี่ชั่วยาม การต่อสู้ระหว่างตำหนักเต๋าหนี่หวาและสำนักเต๋าได้สิ้นสุดลงแล้วในตอนนี้
ผลลัพธ์ของการต่อสู้นั้นไม่คาดคิด นอกจากจะไม่มีผู้เสียชีวิตจากทั้งสองฝ่าย หากกำลังของสองยังเสมอเทียบเท่ากันอีกด้วย
บางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้ จึงทำให้ไม่ว่าจะเป็นคงโหยวหราน สืออวี้ เย่เฉิน และอวี้จิ่วหุยเลือกที่จะหยุดการต่อสู้ไปโดยปริยาย
เพราะหากการต่อสู้ดำเนินต่อไป นอกจากจะทำให้ทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว ก็ไม่มีฝ่ายใดที่จะได้เปรียบเหนืออีกฝ่าย
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์จากโลกภายนอกตกใจอย่างมากด้วยไม่เคยคาดหวังมาก่อน อย่างไรก็ตาม เมื่อวิเคราะห์การต่อสู้อย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็จะเห็นว่าการตัดสินใจเหล่านี้นับว่าสมเหตุสมผล
เนื่องจากตำหนักเต๋าหนี่หวาในตอนนี้มีศิษย์อยู่เพียงเจ็ดคน ในขณะที่สำนักเต๋าเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน พวกเขาเหลือศิษย์เพียงเก้าคนเท่านั้น
หากพวกเขาต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ก็จะเหลือศิษย์เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเข้าร่วมในรอบที่สองของการถกวิถีเต๋า
“เอ๊ะ? นั่นคงโหยวหรานและคนอื่น ๆ จากตำหนักเต๋าหนี่หวากำลังจะไปไหนกัน?”
“ดูนั่นสิ! กลุ่มของเย่เฉินกำลังมุ่งหน้าไปทางเดียวกันกับกลุ่มของคงโหยวหราน”
ผ่านไปไม่นาน ผู้เยี่ยมยุทธ์ในโลกภายนอกก็สังเกตเห็นว่าหลังจากการต่อสู้สิ้นสุดลง ทั้งกองกำลังของตำหนักเต๋าหนี่หวาและสำนักเต๋าได้มุ่งหน้าไปในทางเดียวกันจริง ๆ เป็นเหตุการณ์ที่แปลกและลึกลับอย่างยิ่ง
หากพวกเขาไม่ได้ล่วงรู้ถึงสถานการณ์ภายในพิภพกุมภเต๋าอย่างชัดเจน ก็คงจะเชื่อว่าทั้งสองฝ่ายนี้ได้จับมือเป็นพันธมิตรกันเป็นที่เรียบร้อย
“ทางนั้นมัน…”
พวกเขาทั้งหมดเลื่อนสายตาไปตามทิศทางดังกล่าว จากนั้นม่านตาของพวกเขาก็หดลงทันที ทิศทางที่ทั้งสองฝ่ายกำลังมุ่งหน้าไปก็คือพื้นที่ที่นิกายอำนาจเทวะและสำนักศักดิ์สิทธิ์กำลังต่อสู้กับเขาเทพพยากรณ์!
หรือว่าการต่อสู้ที่วุ่นวายระหว่างสุดยอดกองกำลังทั้งห้าจะเกิดขึ้นในช่วงสามก้านธูปสุดท้ายก่อนที่การถกวิถีเต๋าจะสิ้นสุดลง?
ความใคร่รู้ปะทุขึ้นในใจอย่างยากระงับ
…
ชิ้ง!
ท่ามกลางสายตาเบิกโตของถูเมิ่งและกู่เยี่ยน เฉินซียื่นมือออกไปภายในค่ายกล จากนั้นกระบี่เทวะสีดำสนิทราวกับม่านราตรีนิรันดร์ก็ปรากฏขึ้นมาด้วยความรวดเร็ว
มันคือกระบี่วิญญาณซึ่งทำหน้าที่เป็นแกนกลางของยันต์เทวะอสนีบาตทมิฬก่อนหน้านี้!
อาจารย์อาตั้งใจจะทำอะไร?
ทั้งสองคนตกอยู่ในความงุนงง
ทว่าในเวลาไม่นานพวกเขาก็เริ่มเข้าใจ
สายตาของเฉินซีคมกริบราวกับสายฟ้า เมื่อเขาสะบัดแขนเสื้อเบา ๆ กระบี่วิญญาณทมิฬก็กลายเป็นแสงสีดำสลัวซึ่งเปี่ยมด้วยรัศมีอันคมกริบและทรงพลังอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เพียงพริบตา มันก็พุ่งออกไปด้านนอกค่ายกลด้วยความรวดเร็ว!
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ยันต์เทวาอสนีบาตทมิฬสูญเสียกระบี่วิญญาณทมิฬไป พลังของมันก็อ่อนแอลงไปมากกว่าครึ่งทันที…
สิ่งนี้ทำให้ทั้งกู่เยี่ยนและถูเมิ่งนึกบางสิ่งออกมาได้ หรือว่าอาจารย์อาตั้งใจจะยืนหยัดเป็นครั้งสุดท้ายและเอาชีวิตเข้าแลก?
………………..