บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1867 คัมภีร์ไท่เซวียน
บทที่ 1867 คัมภีร์ไท่เซวียน
………………..
บทที่ 1867 คัมภีร์ไท่เซวียน
คัมภีร์ไท่เซวียน!
สมบัติวิญญาณธรรมชาติอันลึกลับและร้ายกาจซึ่งอยู่ในครอบครองของประมุขสำนักศักดิ์สิทธิ์ตลอดมา ตลอดกาลแสนนาน สมบัตินี้มีข่าวลือมากมาย
ข่าวลืออันโด่งดังที่สุดคือ คัมภีร์ไท่เซวียนมีทั้งสิ้นสิบสามหน้า แต่ละหน้าดุจหนึ่งโลกา อำนาจร้ายกาจสูงส่ง
หน้าทั้งสิบสามของคัมภีร์ไท่เซวียนสื่อถึงสิบสามโลกภูมิ และอำนาจสูงสุดสิบสามรูปแบบ!
สิ่งที่ผู้อื่นพูดถึงมันบ่อยครั้งที่สุดก็คือ หน้าสุดท้ายของคัมภีร์ไท่เซวียนน่าจะบันทึกความลับของมหาเต๋าจากยุคก่อนไว้ หากผู้ใดตีความความลับเหล่านี้ได้ ก็อาจถึงขนาดที่สามารถทลายชั้นกั้นยุคสมัย ข้ามสู่อดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้ตามชอบใจ ได้มาถึงความเสรีไร้ขอบเขตอย่างแท้จริง!
ข่าวลือทั้งหมดนี้ทำให้คัมภีร์ไท่เซวียนถูกปกคลุมด้วยชั้นปริศนา
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสมบัตินี้ร้ายกาจอย่างยิ่ง เหนือชั้นเกินสมบัติวิญญาณธรรมชาติปกติทั่วไป
น่าเสียดายที่ตลอดกาลนานมา คัมภีร์ไท่เซวียนอยู่ในมือตัวตนสูงสุดอย่างประมุขสำนักศักดิ์สิทธิ์มาตลอด จึงไม่เคยมีผู้ใดได้เห็นมัน
ยามนี้ สมบัติล้ำค่าอันลึกลับเป็นตำนานกลับปรากฏในมือตงหวงอิ่นเซวียน จึงทำให้เหลิ่งซิงหุนและคนอื่น ๆ ตกตะลึงสุดขีด
มิใช่เพียงพวกเขาในพิภพกุมภเต๋า โลกภายนอกก็เอ็ดอึงฮือฮาเช่นกัน พวกเขาหรือจะคาดคิดว่าประมุขสำนักศักดิ์สิทธิ์จะส่งสมบัติชิ้นนี้ให้กับตงหวงอิ่นเซวียนในการถกวิถีเต๋า
ชั่วขณะนั้น โลกภายนอกคุกรุ่นด้วยความตื่นเต้น
นี่คือเสน่ห์ของคัมภีร์ไท่เซวียน มันเพียงพอตะลึงโลกาได้เพียงปรากฏตัว
“พวกเจ้าสำนักศักดิ์สิทธิ์นี่ทุ่มทุกสิ่งจริง ๆ” สีหน้าของเหวินถิงแปรเปลี่ยนเล็กน้อย กล่าวขึ้นเสียงเย็นในโถงบรรจบ
“ฮ่า ๆ ชมเกินไปแล้ว” ฉือซงจื่อหัวเราะเบา ๆ ทว่าแท้จริงในใจเขาก็ปั่นป่วนรุนแรง เพราะกระทั่งเขายังหารู้ไม่ว่าประมุขมอบสมบัตินี้แก่ตงหวงอิ่นเซวียน!
“ฮึ!” เหวินถิงแค่นเสียงเย็นชา ไร้วาทะอื่นใด
ส่วนไฮว่คงจื่อ เล่ยฝู และคนอื่น ๆ นั้นต่างครุ่นคิดหนัก พวกเขาก็มิคาดเช่นกันว่าสำนักศักดิ์สิทธิ์จะเตรียมการมาพร้อมพรั่งเพียงนี้
…
คลื่นพลังประหลาดอันเก่าแก่แผ่พล่านไม่รู้จบจากคัมภีร์ไท่เซวียนในมือตงหวงอิ่นเซวียน ปกคลุมด้วยรัศมีเต๋าเจิดจรัสแสนศักดิ์สิทธิ์ในฟ้าดิน
แม้จะอยู่ในค่ายกล แต่ดวงตาของเฉินซีก็หรี่ลงเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้ยามเห็นเหตุการณ์นี้ แม้เขาจะไม่รู้จักสมบัติตรงหน้า แต่ก็สัมผัสปราณผิดธรรมดาจากมันได้
“คัมภีร์ไท่เซวียน!” เป็นกู่เยี่ยนและถูเมิ่งที่รู้จักมันแต่แรกเห็น และอุทานอย่างประหลาดใจ
“มันแข็งแกร่งมากหรือ?” เฉินซีขมวดคิ้ว
กู่เยี่ยนรีบอธิบายที่มาของสมบัตินี้ สีหน้าเครียดเขม็งอย่างหาได้ยาก “มิคาดเลยว่าสำนักศักดิ์สิทธิ์จะพกสมบัตินี้มาด้วย ทุ่มทุนเสียจริง!”
หลังรับรู้เรื่องทั้งหมด เฉินซีก็ระแวดระวังในใจ เพราะตระหนักดีว่ายามนี้แม้จะระเบิดสมบัติวิญญาณธรรมชาติสักชิ้น ก็ไม่อาจทำอะไรศัตรูได้
เห็นได้ชัดว่าตงหวงอิ่นเซวียนกำลังเดือดดาลสุดขีด นำสมบัติล้ำค่าอย่างคัมภีร์ไท่เซวียนออกมา ดังนั้นหากเขายังเล่นลูกไม้เดิม ก็มีแต่จะสิ้นเปลืองสมบัติวิญญาณธรรมชาติไปเปล่า ๆ
ใช่แล้ว เดิมทีเฉินซีคิดยื้อเวลาจนจบการถกวิถีเต๋าแม้จะต้องสังเวยสมบัติวิญญาณธรรมชาติทั้งหมดที่มี
แต่เมื่อเห็นเช่นนี้ เขาก็ทราบทันทีว่าต้องเปลี่ยนกลยุทธ์
“พวกเจ้าทั้งสองอยู่ในค่ายกล ข้าจะออกไปลองฤทธาสมบัตินี้หน่อย” เฉินซีสูดหายใจลึก ๆ ดวงตาเรืองประกายหนักแน่น “จำไว้ว่า พวกเจ้าทั้งสองห้ามออกจากค่ายกลนี้เด็ดขาด ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น! หากขัดคำสั่งข้า จากวันนี้ก็ไม่ต้องเรียกข้าอาจารย์อาอีก!”
ว่าแล้ว ร่างสูงใหญ่ก็สาวเท้าหายไปจากในค่ายกลทันที
“อาจารย์อาเขา….” กู่เยี่ยนและถูเมิ่งมองหน้ากัน ทั้งสองร้อนใจอย่างยิ่ง พวกเขาหรือจะคาดคิดว่าเฉินซีจะตัดสินใจเผชิญหน้าเหล่าศัตรูมากมายเพียงลำพัง?
หากเกิดอุบัติเหตุใด ผลที่ตามมาจะเกินคาดคิดสิ้นเชิง!
ขณะนี้ พวกเขาอยากพุ่งออกไปร่วมต่อสู้ข้างกายเฉินซีเหลือเกิน แต่ก็ต้องคอตกทิ้งความคิดไปทั้งคู่เมื่อหวนนึกถึงคำสั่งของเฉินซี
“อย่าห่วงไป บางทีอาจารย์อาอาจมีวิธีจัดการเรื่องนี้ในแบบของเขาเองอยู่” กู่เยี่ยนกล่าวเสียงเบา
ถูเมิ่งร้องตอบ “ของมันแน่อยู่แล้ว!”
อันที่จริง ทั้งสองต่างทราบดีว่านี่เป็นการปลอบใจตนเองเท่านั้น แต่นั่นคือสิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้ในตอนนี้
น่าเสียดายที่ความกังวลในใจไม่ได้ลด กลับเพิ่มขึ้นเสียแทน
“เฉินซีตั้งใจทำอะไร?”
“เขาคงมิได้คิดสู้กับเหลิ่งซิงหุน ตงหวงอิ่นเซวียน และคนอื่น ๆ ตามลำพังหรอกกระมัง? มันต่างอะไรกับวอนตาย?”
“หรือเขาคิดสละตนเองเพื่อปกป้องกู่เยี่ยนและถูเมิ่ง?”
“ดูเหมือนการที่ตงหวงอิ่นเซวียนนำคัมภีร์ไท่เซวียนออกมาก็สร้างแรงกดดันมหาศาลต่อเขาเช่นกัน จึงไร้หนทางนอกจากก้าวออกมาอย่างใจกล้า”
เมื่อพวกเขาเห็นเฉินซีเป็นฝ่ายออกมาจากค่ายกลเอง ผู้บ่มเพาะทั้งหลายในโลกภายนอกต่างอดสุดประหลาดใจไม่ได้ ไม่อาจคาดคิดว่าสิ่งใดกันที่กระตุ้นให้เขาทำเช่นนี้
เพราะถึงอย่างไร การออกจากค่ายกลก็หมายความว่า เขาต้องเผชิญหน้าเหลิ่งซิงหุน ตงหวงอิ่นเซวียน และศิษย์นิกายอำนาจเทวะกับสำนักศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด!
ด้วยเหตุนี้ เขาก็ไม่ต่างจากแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ จะเปลี่ยนสถานการณ์ได้อย่างไร?
“ความกล้าน่าชื่นชมนัก!” เล่ยฝูกล่าวพลางปรบมือ สุดแสนล้อเลียนประชดประชัน
สีหน้าของเหวินถิงยิ่งดำคล้ำ
…
นอกค่ายกล
เมื่อเห็นเฉินซีปรากฏกาย เหลิ่งซิงหุน ตงหวงอิ่นเซวียน และคนอื่น ๆ ต่างประหลาดใจ ก่อนจะตามด้วยความลิงโลด
ไอ้บ้าสมควรตายนั่นถูกบีบออกมาเสียที!
เคร้ง!
หลังเดินออกมา เฉินซีก็เมินคนอื่น ๆ แล้วชักกระบี่เปลื้องมลทินออกมา สายตาตวัดรวดเร็วเช่นอัสนีไปหยุดที่ตงหวงอิ่นเซวียนจากไกลๆ ทันควัน
เพราะขณะนี้ ตงหวงอิ่นเซวียนผู้มีคัมภีร์ไท่เซวียนในมืออันตราย และกดดันเฉินซีที่สุดอย่างชัดเจน
“เฉินซี ในที่สุดเจ้าก็ออกมา!” ขณะนี้ตงหวงอิ่นเซวียนเริ่มคลี่ยิ้ม ทว่าใบหน้ากลับไร้ความปรีดา เปี่ยมจิตสังหารถึงขีดสุดเสียแทน
เขาเงยหน้ามองฟ้า พึมพำว่า “เหลือสองชั่วยาม เพียงพอกำจัดเจ้าได้….”
“อาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป” เฉินซีพูดเสียงเรียบ “ต่อให้พวกเจ้าทั้งหมดรุมเข้ามา คิดหรือว่าจะทำได้”
น้ำเสียงของเขาดูสุขุม ทว่ากลับฟังดูสุดแสนเย่อหยิ่งยามกระทบโสตเหลิ่งซิงหุนและคณะจนอดแค่นยิ้มเย็นกันมิได้
“ทุกท่าน ขอข้าครึ่งเสี้ยวชั่วยาม ข้าจะจัดการเจ้านี่เอง!” ตงหวงอิ่นเซวียนกล่าวเสียงเรียบ
เหลิ่งซิงหุนและคณะขมวดคิ้ว พวกเขาไม่คิดว่าศึกหนึ่งต่อหนึ่งจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในขณะนี้
แต่เมื่อเห็นสีหน้าเด็ดเดี่ยวของตงหวงอิ่นเซวียน พวกเขาทั้งหลายก็หยุดดึงดันแล้วรับคำขอนี้โดยถ้วนหน้า
“ครึ่งเสี้ยวชั่วยาม?” เฉินซีคลี่ยิ้มเจิดจรัสยิ่ง โดยเฉพาะยามได้ยินว่าตงหวงอิ่นเซวียนคิดสู้กับตนตัวต่อตัว เฉินซีไม่รู้จริง ๆ ว่าจะบอกว่าตงหวงอิ่นเซวียนหยิ่งผยองหรือมั่นใจเกินไปดี
“บางทีครึ่งเสี้ยวชั่วยามอาจมากเกินไป” ไม่ทันสิ้นเสียง จิตสังหารอันหนาแน่นราวจับต้องได้ก็ปรากฏขึ้นรอบกายตงหวงอิ่นเซวียน สะท้านฟ้าดินจนรวนเร
คัมภีร์ไท่เซวียนในมือสั่นสะท้าน สาดรัศมีเต๋าเก่าแก่คลุมเครือดุจบรรพชนยามแรกบรรพกาลท่องคัมภีร์เบิกเนตรผู้ตาบอด เบิกโสตผู้หูหนวก
บรรยากาศตึงเครียดกรุ่นจิตสังหาร
ยามนี้ กระทั่งสายตาของผู้บ่มเพาะในโลกภายนอกยังติดตรึงที่ภาพดังกล่าว เบิกตากว้างอย่างสุดครั่นคร้ามจะพลาดแม้แต่รายละเอียดเล็กน้อย
หนึ่งคือตงหวงอิ่นเซวียน ศิษย์เอกผนึกฤทธิ์แห่งสำนักศักดิ์สิทธิ์และตัวตนไร้เทียมทานผู้มีความสามารถโดยกำเนิดโดดเด่นเหนือใครในหมู่ทายาทสายตรงของตระกูลตงหวง เกิดมาพร้อมกายาศึกเต๋านิลกาฬอันหายากเกินผู้ใด ถือได้ว่าเป็นศิษย์ผู้โดดเด่นสูงสุดของสำนักศักดิ์สิทธิ์
เพียงสมญาเหล่านี้ลำพังก็เป็นที่ชัดเจนว่าคนผู้นี้เจิดจรัสเกินธรรมดาเพียงใด
และยามนี้ เขายังมีคัมภีร์ไท่เซวียนในมือ ฤทธาทรงพลังเหนือยอดฝีมือขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลใด ๆ ตราบกาล กล่าวได้ว่าไร้เทียมทาน!
อีกฝ่ายคือเฉินซี ศิษย์น้องเล็กของนายใหญ่เขาเทพพยากรณ์อู๋เซวี่ยฉาน เรืองนามขึ้นเมื่อไม่กี่สิบปีก่อน มีการบ่มเพาะเกินคาดหยั่ง สร้างวีรกรรมตะลึงโลกหลายต่อหลายหน นอกจากนั้น ยังพิสูจน์ความแข็งแกร่งจากสารพันศึกตลอดสามเดือนในการถกวิถีเต๋าอย่างโชกโชน
ขณะนี้ สงครามกำลังจะเกิดระหว่างพวกเขา ย่อมเป็นมหาศึกอันเกินใดเทียบ ขณะนี้ ผู้ใดบ้างจะกล้ามองข้ามศึกนี้?
ขณะเดียวกัน ทั้งสองก็กลายเป็นจุดสนใจของปวงชน บรรยากาศเปี่ยมจิตสังหาร สงครามพร้อมปะทุทุกเมื่อ!
…
เปรี้ยง!
ตงหวงอิ่นเซวียนเปิดฉากโจมตีก่อน เขายกมือเรียวขาวขึ้น ขณะที่คัมภีร์ไท่เซวียนเปิดหน้าแรกออกมาอย่างกะทันหัน
เพียงพริบตา รัศมีศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งก็เรืองรองสู่ฟากฟ้า เสียงบริกรรมเลื่อนลั่นในฟ้าดิน!
บริเวณรอบข้างป่นเป็นผงสลายสู่สุญตาในบัดดล เหลือเพียงรัศมีเต๋าเรืองรองสาดส่องไม่รู้จบ
เหตุการณ์เช่นนี้ย่อมไม่ต่างจาก ‘โลกหล้าสิ้นสลาย’
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่ประกายเย็นเยียบเรืองวาบ พลังชีวิตถูกกระตุ้นจนโคจรทะลักบ่าอย่างเต็มความเร็ว
เป็นปราณอันตรายอย่างยิ่ง!
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญศัตรูร้ายกาจเพียงนี้นับแต่เริ่มการถกวิถีเต๋า และกล่าวได้ว่าตงหวงอิ่นเซวียนเป็นศัตรูฉกาจที่หาพบได้น้อยนักตราบชั่วชีวิตนี้
ทว่าเฉินซีหากลัวไม่
หลายปีที่ผ่านมา น้อยครั้งนักที่เขาจะได้ประสบแรงกดดันเช่นนี้จากตัวตนในขอบเขตการบ่มเพาะเดียวกัน ไม่ใช่เพราะเขาถือตัว แต่เพราะคู่ต่อสู้อ่อนแอเกินไปโดยแท้
และยามนี้ การได้พบคู่ต่อสู้อย่างตงหวงอิ่นเซวียนทำให้ความกระหายการต่อสู้ในใจซึ่งหลับใหลมาเนิ่นนานปะทุขึ้นเช่นภูเขาไฟอย่างเฉียบพลัน!
“สยบโลกา ลงมา!” ตงหวงอิ่นเซวียนตะโกน หลังจากนั้น รัศมีเต๋าปรกฟ้าก็เหมือนรับบัญชา แปรเปลี่ยนเป็นอักขระโบราณอันคลุมเครือบิดเบี้ยวแถวหนึ่ง อัดแน่นเช่นหยาดฝน เต็มไปด้วยความลึกล้ำ เจิดจรัส และอำนาจยิ่งใหญ่!
อักขระอันก่อขึ้นจากเต๋าก็คืออักขระเต๋า!
อักขระเต๋าเหล่านี้ปรากฏขึ้นและรวมตัวกันหนาแน่นกลางอากาศ เกิดเป็นบทคัมภีร์แท้กดกระแทกลงใส่เฉินซี
ชั่วขณะนี้ ฟ้าดินทั่วทิศ กาลเวลา แสงเงา… สรรพสิ่งล้วนดูนิ่งค้าง สยบยอมถึงขนาดที่มิอาจสั่นคลอนส่งคลื่นพลังปรวนแปรใดได้อีก
ดูประหนึ่งสรรพสิ่งจะถูกสยบขยี้ไปด้วยกันตรงหน้าคัมภีร์นี้ ไม่อาจทนให้สิ่งใดล่วงเกินฝ่าฝืน มีเพียงความตายเท่านั้นที่รออยู่
นี่คือ ‘สยบโลกา’
มันมาจากหน้าแรกของคัมภีร์ไท่เซวียน สยบขยี้สรรพสิ่ง!
เห็นได้ชัดว่ายามตงหวงอิ่นเซวียนเปิดฉากโจมตี เขาก็ใช้ไม้ตายสูงสุดคิดบดขยี้เฉินซี บรรลุวัตถุประสงค์ในรวดเดียว!
………………..