บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1873 สมรภูมิจารึกเต๋าโบราณ
บทที่ 1873 สมรภูมิจารึกเต๋าโบราณ
เฉินซีเมินคำยั่วยุของกงซุนมู่ไปสนิท มิใช่เพราะเขาดูแคลนอีกฝ่าย แต่เพราะไม่คิดเปลืองลมหายใจไปกับกงซุนมู่
กงซุนมู่หรี่ตาลงเล็กน้อยยามเห็นเช่นนี้ ดูเหมือนเดือดดาลกับการกระทำของเฉินซี ทว่าท้ายที่สุดเขาก็แค่แค่นยิ้มหึ ไร้วาจาใดเช่นกัน
ขณะเดียวกัน มิเพียงเฉินซีที่ตัดสินคู่ต่อสู้ได้ คนอื่น ๆ ก็เช่นกัน
“เหลิ่งซิงหุนแห่งนิกายอำนาจเทวะประชันอวี้จิ่วหุยจากตำหนักเต๋าหนี่หวา”
“ตงหวงอิ่นเซวียนแห่งสำนักศักดิ์สิทธิ์เผชิญจ้าวชิงเหยาจากวังวิหคอมตะ”
“คงโหยวหรานแห่งตำหนักเต๋าหนี่หวาปะทะเหวินฉางไฮ่ของนิกายอำนาจเทวะ”
“กู่เยี่ยนจากเขาเทพพยากรณ์กับทาปาชวนจากสำนักศักดิ์สิทธิ์”
“ถูเมิ่งจากเขาเทพพยากรณ์กับเซวี่ยเซียวจื่อแห่งนิกายอำนาจเทวะ”
“เย่เฉินแห่งสำนักเต๋าเผชิญอินอู่ซวงแห่งตำหนักเต๋าหนี่หวา”
“สืออวี๋จากตำหนักเต๋าหนี่หวากับเซียวหวายเหวี่ยนแห่งสำนักเต๋า”
รายชื่อการจับคู่ประลองถูกเผยแพร่อย่างรวดเร็วเกินคาดเดา
ไม่นานนัก ตัวตนยิ่งใหญ่ทั้งหลายในพื้นที่สำหรับผู้ชมและผู้บ่มเพาะทั้งปวงในเมืองทศทิศก็ตระหนักชัดว่าผู้ใดจะได้ประลองกันในรอบย่อยแรกของการถกวิถีเต๋ารอบที่สอง
เพียงพริบตา ทั่วเมืองก็เอ็ดอึงด้วยเสียงหารืออย่างตื่นเต้นร้อนรุ่ม
“เป็นศึกตัวต่อตัวจริง ๆ!”
“ฮ่า ๆ! ต้องอย่างนี้สิถึงโรจน์รุ่ง ข้าอยากรู้มานานแล้วว่าระหว่างเหลิ่งซิงหุนกับตงหวงอิ่นเซวียน ผู้ใดล้ำเลิศกว่ากัน”
“ข้าตั้งตารอศึกของคงโหยวหรานจริง ๆ นางทั้งงามล้ำและไม่ธรรมดา จะมีผู้บ่มเพาะหญิงคนใดเทียบนางได้?”
“ฮึ! สำหรับข้านะ ศึกของเฉินซีควรค่าตั้งตารอที่สุดในรอบที่สองนี้แล้ว”
“อย่าเพิ่งร้อนใจ รอบที่สองนี้แบ่งเป็นห้ารอบย่อย นี่เป็นบทโหมโรงเท่านั้น”
เสียงหารือจ้อกแจ้กทั่วทิศ ต่างผู้ต่างพูดถึงคู่ประลองต่าง ๆ ในรอบย่อยแรก บรรยากาศครึกครื้นร้อนแรงยิ่ง
เมื่อเทียบกับรอบแรก เหตุนี้ยิ่งดูสุดเอะอะเปี่ยมความคาดหวังยิ่งกว่า
เหตุผลนั้นเป็นเพราะในความเห็นเหล่าผู้บ่มเพาะทั้งปวง ศึกตัวต่อตัวเป็นตัวตัดสินความแข็งแกร่งของผู้บ่มเพาะได้ดีที่สุด
นอกจากนั้น ศิษย์ทั้งสามสิบผู้เข้าร่วมการถกวิถีเต๋ารอบที่สองนี้ถือเป็นตัวแทนผู้แข็งแกร่งสูงสุดในขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลทั่วแดนเทพโบราณแล้ว ไม่ว่าผู้ใดล้วนเป็นยอดยุทธ์ไร้เทียมทานทั้งสิ้น
ทว่ายามนี้ พวกเขากำลังจะประชันกัน แล้วผู้อื่นจะไม่เกิดความรู้สึกตื่นเต้นลุ้นรอได้อย่างไร?
ถึงขนาดที่หากจะบอกว่าการถกวิถีเต๋านี้ยิ่งใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อน สามารถถูกจารึกในประวัติศาสตร์ เรืองอิทธิพลสานต่อสู่รุ่นหลังได้ยังมิใช่คำพูดเกินจริง!
หง่าง!
เสียงระฆังค่อย ๆ ดังขึ้นในหมู่เสียงหารืออันเซ็งแซ่อย่างตื่นเต้น ทำให้บรรยากาศทั่วฟ้าดินเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
หน้าโถงบรรจบ ไฮว่คงจื่อสะบัดแขนเสื้อ ทำให้หนึ่งสมรภูมิโบราณขนาดมโหฬารปรากฏขึ้นเหนือจัตุรัสแห่งการประชันอย่างรวดเร็ว
มองเช่นไร มันก็คือแดนดินลอยฟ้าสีเขียวเข้ม จารึกอักขระเต๋าซับซ้อนหนาแน่น แผ่ปราณข้อจำกัดน่าสะพรึงกลัว
เพียงพริบตา ทุกสายตาก็มองมาที่มัน
“นี่คือสมรภูมิจารึกเต๋าโบราณ เจ้าสำนักเต๋าของเราเป็นผู้สร้างขึ้น หากมิใช่มหาเทพเต๋ามาเอง ผู้ใดก็สั่นคลอนมันไม่ได้ เมื่อเริ่มการถกวิถีเต๋า ม่านฉายศักดิ์สิทธิ์แห่งสุขาวดีจะสะท้อนทุกเหตุการณ์ในสมรภูมินี้ต่อสายตาผู้บ่มเพาะทั้งหมดในเมืองทศทิศ”
“เริ่มรอบที่สองได้ ณ บัดนี้!”
ไฮว่คงจื่อประกาศจุดเริ่มต้นของรอบที่สองอย่างแผ่วเบา
“ศึกแรก เฉินซีปะทะกงซุนมู่!”
หนึ่งเสียงยิ่งยงทรงอำนาจดังขึ้นทั่วทิศ ทำให้ทุกสายตาเบนมารวมกันที่เฉินซีและกงซุนมู่
ฟิ่ว! ฟิ่ว!
มิทันสิ้นเสียง เฉินซีและกงซุนมู่ก็เคลื่อนย้ายมิติไปปรากฏบนสมรภูมิ
“เฉินซีจะเปิดศึกอีกครั้งแล้ว!” ในบริเวณสำหรับผู้ชม ดวงตาวับวาวสุกสกาวของเชินถูเยียนหรานเรืองโรจน์พราวระยับ จับจ้องนิ่งงันที่สมรภูมิด้วยใจสุดคาดหวัง
เล่ออู๋เหิน อวี๋ชิวจิง จวนอวี๋สุ่ย และคนอื่น ๆ ต่างขบขันน้อย ๆ มิคาดว่าเชินถูเยียนหรานจะตื่นเต้นเพียงนี้
“พวกเจ้าอย่าเข้าใจผิดนะ เมื่อไม่กี่ปีก่อน กงซุนมู่พาคนมายังตระกูลเชินถูของข้า เจตนาบังคับให้ข้าเข้าร่วมกับสำนักศักดิ์สิทธิ์ ยามนั้น หากมิใช่มีเฉินซีอยู่ด้วย….” ใบหน้างามของเชินถูเยียนหรานร้อนผ่าว รีบร้อนอธิบายถึงเหตุขัดแย้งอันเกิดในตระกูลเชินถูเมื่อกาลก่อน
“หมายความว่า เฉินซีกับกงซุนมู่เรียกได้ว่าเป็นอริเก่าสินะ?” เล่ออู๋เหินและคณะต่างประหลาดใจ
“ประมาณนั้น” เชินถูเยียนหรานตอบเรียบ ๆ
“แต่กงซุนมู่ก็ประมาทมิได้เช่นกัน” ทันใดนั้น ผู้นำตระกูลเชินถู เชินถูชิงหยวนก็กล่าวเสียงเบา ทำให้หัวใจทุกดวงสั่นสะท้าน สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง
พวกเขาตระหนักดีว่า ในฐานะศิษย์ผนึกฤทธิ์ลำดับสามของสำนักศักดิ์สิทธิ์ ความแข็งแกร่งของกงซุนมู่ย่อมร้ายกาจอย่างไม่ต้องสงสัย แม้จะเทียบตงหวงอิ่นเซวียนและจูเชี่ยนอวี้มิได้ แต่ก็ไม่ได้ด้อยกว่ากันมากนัก
“อาจารย์อาไม่กลัวผู้ใดทั้งนั้นในศึกตัวต่อตัว!” สีหน้าของเหวินถิงสำรวม เปี่ยมความมั่นใจต่อเฉินซี
“อำนาจต่อสู้ของศิษย์น้องกงซุนโดดเด่น ศึกนี้ก็เพียงพอตัดสินได้ว่าฝีมือของเฉินซีล้ำเลิศเพียงไร” สายตาคมกริบดุจอัสนีของตงหวงอิ่นเซวียนกวาดมองไปยังสมรภูมิ ขณะที่ตัวเขาดูประหนึ่งจมในความคิด
ไม่เพียงเขา เหลิ่งซิงหุน คงโหยวหราน เย่เฉิน และผู้อื่นซึ่งยังไม่ได้ประชันศึกก็ให้ความสนใจกับศึกนี้เช่นกัน
ในความคิดของพวกเขา เฉินซีนั้นเกินคาดหยั่งเสมอมา พวกเขาจึงใช้ศึกนี้เพื่อประเมินความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายให้ชัดเจน
วิ้ง!
ขณะเดียวกัน ม่านฉายศักดิ์สิทธิ์แห่งสุขาวดีเรืองขึ้นบนฟ้าเหนือเมืองทศทิศ ดูประหนึ่งคันฉ่องอันสะท้อนสรรพสิ่งบนสมรภูมิขึ้นอย่างชัดเจน
สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังเฉินซีและกงซุนมู่เป็นตาเดียว
พวกเขายังอยากหารือกันก่อนเริ่มศึก แต่ยามนี้ ทุกคนต่างระงับความคิด ตั้งสมาธิสนใจเพียงเฉินซีและกงซุนมู่
“ข้าได้ยินมาว่ากงซุนมู่เจนจัดในสามสิบหกเพลงกระบี่วารีสวรรค์ สุดยอดวิชาของสำนักศักดิ์สิทธิ์ อำนาจต่อสู้เป็นรองตัวตนอย่างตงหวงอิ่นเซวียนเพียงเล็กน้อย ยากทำนายผลลัพธ์ในศึกยามเขาเผชิญเฉินซีนัก”
“เฉินซีเป็นศิษย์จากเขาเทพพยากรณ์ อย่าลืมว่าในพิภพกุมภเต๋า ตงหวงอิ่นเซวียนไม่อาจใช้คัมภีร์ไท่เซวียนทำร้ายเขาได้!”
“ศึกนั้นสรุปไวเกินไป พวกเขาแลกกันเพียงสองกระบวนท่า ไม่มีทางตัดสินได้ว่าผู้ใดแข็งแกร่งกว่ากัน จึงยังเร็วไปหากจะบอกว่ากงซุนมู่ด้อยกว่าเฉินซีนะ”
ทุกผู้อดหารือกันอย่างตื่นเต้นมิได้ เพราะไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าผลลัพธ์เป็นเช่นไร พวกเขาจึงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นลุ้นรอ!
…
ในสมรภูมิจารึกเต๋าโบราณ
เฉินซีและกงซุนมู่ยืนเผชิญหน้ากันจากไกล ๆ
นี่ไม่ใช่การพบกันครั้งแรกระหว่างพวกเขา แต่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองมีโอกาสได้สู้กันอย่างแท้จริง
ขณะนี้กงซุนมู่ดูแตกต่างจากกาลก่อนมากนัก สายตาของเขาลึกล้ำ ทั่วร่างแผ่เจตจำนงกระบี่กระเพื่อมไหวดุจคลื่นนที
เพียงยืนเฉย ๆ ก็เปรียบประหนึ่งราชันอันสูงส่ง
มิคาดคิดเลยว่าคนผู้นี้จะเป็นยอดฝีมือในเต๋าแห่งกระบี่ เฉินซีดูจมในความคิด
ขณะเดียวกัน กงซุนมู่ก็พินิจเฉินซีอยู่เช่นกัน ชายรูปงามตรงหน้ามีบรรยากาศเรียบง่ายเป็นธรรมชาติอันกระจ่างใสสะอาดสะอ้าน ดูสุดแสนปกติธรรมดา แต่กงซุนมู่รู้ดียิ่งว่าเฉินซีไม่มีทางธรรมดาเช่นที่เห็น
กลับกัน ในความเห็นของกงซุนมู่ เฉินซีเป็นศัตรูตัวฉกาจที่ต้องรับมืออย่างจริงจัง!
เขาตัดสินใจแล้วว่าต้องทุ่มสุดฝีมือในศึกนี้ ใช้ทุกฝีไม้ลายมือเพื่อบดขยี้เฉินซีให้ได้!
“หลังศิษย์น้องทาปาสู้กับเจ้าวันนั้น ข้าก็ตั้งตารอสู้กันยามนี้มาโดยตลอด ยามนี้ในที่สุดก็มาถึง ขอข้าประจักษ์หน่อยเถอะว่าเจ้าจะเลิศล้ำสักเพียงไร!”
เช้ง!
ว่าแล้ว หนึ่งกระบี่อันมีรัศมีเต๋าใสกระจ่างกระเพื่อมเคลื่อนเช่นวงกระเพื่อมวารีปรากฏขึ้นในมือ เคลือบด้วยปราณอันน่าสะพรึงกลัวอันทรงพลังหนักหนา เห็นได้ชัดว่านี่คือสมบัติวิญญาณธรรมชาติอันแข็งแกร่งยิ่ง
“เกรงว่าเจ้าคงไร้โอกาสประจักษ์ฝีมือข้าอย่างแท้จริง” ระหว่างเอ่ยเสียงสุขุม เฉินซีก็ชักกระบี่เปลื้องมลทินออกมาอย่างเรียบง่าย ชี้ไปทางกงซุนมู่จากไกล ๆ
“ฮึ!” กงซุนมู่แค่นเสียงเย็น เลิกเปลืองน้ำลาย กระทืบเท้าทลายสุญตา กระบี่ในมือพลันพลิกพลิ้ว ชั้นคลื่นโถมซ้อนปกคลุมทั่วฟ้าดิน พลุ่งพล่านทะลักรินด้วยอำนาจเหนือธรรมดา
เพียงพริบตา สมรภูมิก็ดูประหนึ่งกลายเป็นมหาสมุทรเชี่ยวกราก ทุกชั้นคลื่นคล้ายปราณกระบี่อันคมกริบเกินต้านทาน
ยามมองจากไกล ๆ มันก็เหมือนชั้นคลื่นอันก่อเกิดจากปราณกระบี่ โถมทะยานพลุ่งพล่านเข้ามา
“อำนาจเพลงกระบี่วารีสวรรค์ที่สิบแปด!” ใครบางคนอุทานอย่างตกใจ เหมือนไม่คาดคิดว่ากงซุนมู่จะเผยอำนาจเช่นนี้มาแต่แรก
“เพลงกระบี่วารีสวรรค์แบ่งออกเป็นสามสิบหกเพลงกระบี่ ตัวตนทั่วไปไม่มีทางทำให้ศิษย์น้องกงซุนใช้เพลงกระบี่ที่สิบแปดออกมาได้แน่นอน ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ประเมินเฉินซีไว้ต่ำ สงสัยจริงว่าเฉินซีจะรับได้กี่กระบวนท่ากัน” ในฐานะศิษย์เอกผนึกฤทธิ์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์ ตงหวงอิ่นเซวียนย่อมรู้จักเพลงกระบี่นี้ดี เขาจึงอดพยักหน้าให้ตนเองมิได้ยามเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ชื่นชมการกระทำของกงซุนมู่จากใจจริง
วูบ!
ในพริบตาที่กงซุนมู่โจมตี เฉินซีก็ลงมือเช่นกัน ชายหนุ่มยืนนิ่งกับที่ มีเพียงกระบี่เปลื้องมลทินในมือที่ส่งเสียงกู่ก้อง พลิ้วสะบัดผ่านเวหา
หนึ่งปราณกระบี่พุ่งออกมา
มันดูสุดแสนธรรมดา
แต่กลับแยกสุญตา สะบั้นแดนดินตรงหน้ามันอย่างเฉียบคม นอกจากนั้น เกลียวคลื่นปราณกระบี่อันถาโถมปรกฟ้าท่วมแดน มุ่งหน้าเข้าหาเฉินซีก็ถูกสะบั้นอย่างง่ายดายเช่นกระดาษ แยกแหวกออกไปด้านข้าง!
เมื่อมองจากไกล ๆ ก็เหมือนมีดคมเล่มหนึ่งตัดผืนผ้าขาดจากกัน ชี้คมมุ่งตรงเข้าหากงซุนมู่!
แข็งแกร่งยิ่ง!
ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ต่างสูดหายใจเฮือกอย่างตกตะลึง เพียงหนึ่งกระบี่อันเรียบเฉยจากเฉินซี แต่กลับแผลงฤทธิ์ร้ายกาจเช่นนี้ แล้วความสำเร็จเต๋าแห่งกระบี่ต้องร้ายกาจเพียงไรกันแน่?
สีหน้าของกงซุนมู่ก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อยเช่นกัน
เปรี้ยง!
เขาไม่กล้าเลินเล่อ ยกกระบี่ขึ้นเผชิญการโจมตีนี้ตรง ๆ ทำให้สะเก็ดแสงเรืองโชติ อำนาจร้ายกาจกวาดสะท้านทั่วทิศ
แม้จะหยุดการโจมตีนี้ไว้ได้ แต่ทั่วร่างกลับสะท้าน แก่นโลหิตรวนเร เจียนซวนเซถอยหลัง!
สิ่งนี้ทำให้สีหน้าของกงซุนมู่เคร่งขรึมสุดขีดขึ้นมาทันที เขาตระหนักดียิ่งว่าตนยังประเมินความแข็งแกร่งของเฉินซีต่ำเกินไป
ขณะเดียวกัน คนมากมายทั่วทิศต่างตกตะลึงยามเห็นเช่นนี้ ไร้ผู้ใดคาดคิดว่ากงซุนมู่ผู้จู่โจมอย่างดุเดือดจะเผยสัญญาณเสียเปรียบนับแต่การประมือกระบวนแรกของศึกนี้!
………………..