บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1877 ออกเดินทางโดยเร็ว
บทที่ 1877 ออกเดินทางโดยเร็ว
“บัดนี้เมื่อการจับสลากสิ้นสุดแล้ว ก็อย่าได้เสียเวลาอีกต่อไปเลย เริ่มการถกวิถีเต๋าได้!” ไฮว่คงจื่อพูดด้วยน้ำเสียงสุขุมหนักแน่นที่ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน “คู่แรก เหลิ่งซิงหุนปะทะฉินซินฮุย!”
ฟิ่ว! ฟิ่ว!
ร่างของเหลิ่งซิงหุนและฉินซินหุยปรากฏตัวขึ้นบนสมรภูมิจารึกเต๋าโบราณอย่างพร้อมเพรียง
“เหลิ่งซิงหุนน่าจะได้เปรียบในการต่อสู้ครั้งนี้”
“อาจจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ อาวุโสของฉินซินหุยนั้นในตำนักเต๋าหนี่หวานับว่าสูงมากเช่นกัน นางสร้างชื่อให้ตัวเองได้สำเร็จก่อนคงโหยวหรานด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าไม่นานนี้นางเลือกที่จะอาศัยอยู่อย่างสันโดษ ไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คนเท่าคงโหยวหราน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านางนั้นแข็งแกร่งมาก”
“ไม่หรอก จนถึงตอนนี้เหลิ่งซิงหุนก็ยังไม่ได้ใช้กำลังเต็มที่ อย่าลืมสิว่าสมญานามของเขาคือ ‘ยอดคนแห่งเอกภพจักรวรรดิ’ ไม่มีสิ่งใดสามารถต่อกรกับเขาได้!”
“ใช่แล้ว เหลิ่งซิงหุนนั้นน่าเกรงขาม เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหยั่งถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา”
ขณะที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ในโลกภายนอกจับจ้องเหลิ่งซิงหุนและฉินซินฮุยที่ยืนอยู่บนสมรภูมิ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะซุบซิบกันอย่างสนุกสนานพร้อมกับเพ่งความสนใจยังสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
ดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่จะไม่ได้เชื่อมั่นในตัวฉินซิงฮุยนัก… เฉินซีเองก็ให้ความสนใจกับการต่อสู้เช่นกัน เขารู้ดีอยู่แล้วว่าในระหว่างการต่อสู้รอบที่สอง เขาจะต้องต่อสู้กับเซวี่ยเซียวจื่อแห่งนิกายอำนาจเทวะเป็นคู่สุดท้าย ดังนั้นเขาจึงมีเวลาเหลือเฟือในการพินิจพิเคราะห์ความแข็งแกร่งของคู่อื่น ๆ
นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากอย่างยิ่ง เพราะการต่อสู้เหล่านี้จะทำให้เขาเข้าใจถึงจุดแข็งของคนเหล่านั้นได้ดียิ่งขึ้น
ในเวลาไม่นาน การต่อสู้ก็ปะทุขึ้น
เฉินซีหยุดคิดถึงเรื่องอื่นทันที เขาทอดมองการต่อสู้อย่างระมัดระวังทั้งดวงตาหรี่แคบลง
…
ในเวลาเดียวกันกับที่การต่อสู้ครั้งนี้ปะทุขึ้น อู๋เซวี่ยฉานยืนอยู่เพียงลำพัง ณ ริมหน้าผาบนยอดเขาเทพพยากรณ์ รอยยิ้มที่มีความหมายลึกซึ้งเหยียดขึ้นเหนือมุมปาก
“สิ่งนี้คือเข็มทิศพลิกลักษณ์จริง ๆ นิกายอำนาจเทวะประเมินเขาเทพพยากรณ์ของข้าไว้สูงนัก น่าเสียดาย ไม่ว่าพวกเขาจะมากแผนมากอุบายสักแค่ไหน มันก็ไม่อาจเทียบได้กับการต่อสู้ที่แท้จริง” สายตาของอู๋เซวี่ยฉานลึกล้ำ คล้ายจรดมองยังเบื้องลึกใต้แผ่นดิน
ทันใดนั้น เขาก็มีท่าทางราวกับตัดสินใจบางอย่างได้ “อาจารย์ลุงตี้ซุน ถึงเวลาแล้ว ฉันจะมุ่งหน้าไปยังสำนักเต๋า”
“หากการคาดเดาของข้าไม่ผิด การถกวิถีเต๋ารอบสองคงจะเริ่มขึ้นแล้ว และอีกไม่นานมันก็จะสิ้นสุดลง” อู๋เซวี่ยฉานครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง
“ระหว่างทางไปที่นั่นก็ระวังด้วย น่าจะไม่ได้มีแค่เจ้าคนเดียวที่กำลังมุ่งหน้าไปยังสำนักเต๋าตอนนี้ แม้แต่ศัตรูเก่าของเราก็อาจจะทำเช่นเดียวกัน” บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งตี้ซุนกล่าวเตือน
“ข้าทราบดี อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าประมุขนิกายอำนาจเทวะจะใจกล้าบ้าบิ่นแค่ไหน เขาก็ไม่ทางลงมือกับข้าในเวลานี้อย่างแน่นอน เว้นแต่ว่าเขาไม่ต้องการให้ศิษย์เหล่านั้นเข้าสู่แดนรวนเรลืมเลือน” อู๋เซวี่ยฉานยิ้มอย่างไม่กังวลใด ๆ
“อย่าลืมนำวงล้อพยากรณ์เปรื่องปัญญาติดตัวไปด้วยเสียเล่า” บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งตี้ซุนชี้แนะ
“เรื่องนั้น ข้าได้เตรียมการไว้แล้ว อาจารย์ลุง ข้าต้องไปแล้ว ได้โปรยดูแลสหายเต๋าน้อยเหล่านั้นในนิกายของเราขณะที่ข้าไม่อยู่ด้วย”
“ได้สิ ไปเถอะ ๆ”
…
ณ นิกายอำนาจเทวะ ภายในแดนอำนาจเทวะอันไพศาล
“ล้มเหลวอย่างนั้นหรือ?” ทันใดนั้น เสียงอันทรงอำนาจก็ล่องลอยไปทั่วทั้งแผ่นดินกว้างไกล
“เรียนท่านประมุข ที่สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปจากแผนการนั่นก็เพราะมีตัวแปรหนึ่งเข้าแทรกแซงขอรับ” มหาปุโรหิตอำนาจเทวะซูถัวผู้มีใบหน้าเหี่ยวย่น และรูปร่างผอมแห้งราวไม้ฟืนภายใต้เสื้อผ้าสีเทาเม้มริมฝีปากขณะพูดด้วยเสียงแหบแห้ง
“ข้ารู้แล้ว ตัวแปรที่ว่านั่นก็คือเฉินซี” ประมุขนิกายอำนาจเทวะรู้ในทันทีโดยที่ไม่ต้องใช้ความคิดใด ๆ เสียงของเขาแผดดัง “เด็กคนนั้นเป็นผู้ครอบครองแผนภาพวารีหลาก ชะตากรรมลึกล้ำเกินหยั่งรู้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำอะไรเขาได้โดยอาศัยเข็มทิศพลิกลักษณ์เพียงอย่างเดียว”
ดวงตาพร่ามัวของมหาปุโรหิตอำนาจเทวะซูถัวหรี่ลง จากนั้นเขาก็พูดขึ้น “นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ขอรับ อันที่จริงมันเป็นเพราะเราประเมินความแข็งแกร่งของเด็กคนนั้นต่ำไป”
“งั้นหรือ?” จู่ ๆ ประมุขนิกายอำนาจเทวะก็ถอนหายใจเบา ๆ “พ่อของเขาเป็นศิษย์น้องที่ข้าสนิทชิดเชื้อที่สุดเมื่อนานมาแล้ว พูดก็พูดเถอะ เจ้าเด็กนั่นควรเรียกข้าว่าอาจารย์ลุงด้วยซ้ำ น่าเสียดาย ด้วยชะตากรรมแต่ภพก่อนได้ผูกไว้ อีกทั้งศิษย์น้องของข้าก็ไม่ใช่ศิษย์น้องคนเดิมอีกต่อไป เด็กคนนี้จึงได้… กลายเป็นหมากในมือของฝูซีไปเสียแล้ว จะแก้ไขกลับคืน เห็นทีก็คงไม่ทัน”
ซูถัวรู้สึกตกใจอย่างมาก เขาไม่เคยคิดเลยว่าเฉินซีจะมีปูมหลังเช่นนี้ นี่เป็นความลับอันยิ่งใหญ่ที่แม้แต่มหาปุโรหิตอำนาจเทวะอย่างเขาก็ไม่รู้มาก่อน!
“ช่างเถิด อะไรที่เกิดขึ้นแล้วก็ปล่อยให้มันเป็นไป แม้เขาเทพพยากรณ์จะสามารถเข้าไปในแดนรวนเรลืมเลือนได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะโชคดีดังหวัง” ประมุขนิกายอำนาจเทวะเปลี่ยนเรื่องก่อจะพูดอย่างเฉยเมย “ซูถัว เจ้าจงนำกระบี่หยกพิพากษ์สวรรค์ติดตัวไปด้วย และมุ่งหน้าไปยังสำนักเต๋าทันที ตามที่ข้าคาดการณ์ไว้ อีกไม่นานการถกวิถีเต๋ารอบนี้ก็จะสิ้นสุดลงแล้ว”
“ทราบแล้วขอรับ!” ดวงตาพร่ามัวของซูถัวเปล่งประกายด้วยแสงเยือกเย็น
“จำไว้ว่า อย่ามีปัญหากับคนของเขาเทพพยากรณ์โดยเด็ดขาด” ก่อนที่ซูถัวจะจากไป เสียงของประมุขนิกายอำนาจเทวะก็ดังขึ้นอีกครั้ง มันทำให้ร่างกายของซูถัวแข็งทื่อไปในทันที เปลือกตากระตุกโดยไม่รู้ตัว
หากในท้ายที่สุด ซูถัวก็ถอนหายใจ “เรียนท่านประมุข ศิษย์น้องมั่วหลินตายก็ด้วยน้ำมืออู๋เซวี่ยฉาน ในฐานะศิษย์พี่ของเขา ข้าน้อยไม่อาจสงบใจได้หากไม่ได้แก้แค้นแทนเขา”
“เห็นแก่สิ่งที่อยู่ในแดนรวนเรลืมเลือน จงละทิ้งความเป็นปฏิปักษ์ไปก่อน เข้าใจหรือไม่?” เสียงของประมุขนิกายอำนาจเทวะคล้ายไม่แยแสนัก
ซูถัวเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะรับคำสั่ง
…
ณ โถงพิพากษาสวรรค์ สำนักศักดิ์สิทธิ์
“เฉินซี? เขาก็เพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง หากสามารถขัดขวางแผนการทั้งหมดไว้ได้ ดูเหมือนว่าเขาเทพพยากรณ์จะไม่ได้วางแผนมาอย่างรัดกุม แต่เลือกที่จะฝากความหวังไว้กับเด็กนั่น” เสียงที่สงบราวกับน้ำและไม่มีแม้แต่ร่องรอยของอารมณ์ก็ดังก้องไม่เร็วไม่ช้า ทั้งยังแฝงไว้ด้วยจังหวะอันเป็นเอกลักษณ์ที่เสียดแทงดวงใจ
เมื่อมหาเทพเต๋าเซวียนหมิงที่ยืนอยู่นอกห้องโถงได้ยินเสียงนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเงียบเสียงของตน
มหาเทพเต๋าเซวียนหมิงเป็นผู้อาวุโสของสำนักศักดิ์สิทธิ์ที่อาศัยอยู่อย่างสันโดษ ทั้งยังเป็นสวรรค์นคราจารย์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย!
ตำแหน่งสวรรค์นคราจารย์นั้น เป็นตำแหน่งที่อยู่สูงเหนือหัวหน้าอาจารย์อาวุโส และมีเพียงผู้อาวุโสในขอบเขตมหาเทพเต๋าเท่านั้นที่สามารถดำรงตำแหน่งนี้ได้
มันเหมือนกับตำแหน่งของมหาปุโรหิตอำนาจเทวะในนิกายอำนาจเทวะ เป็นสัญลักษณ์ถึงสถานะและอำนาจ
“อย่างไรก็เถอะ ตาเฒ่าหลิวเซินจีนั่นน่าทึ่งไม่น้อย เขาถึงกับประหารมหาราชเทวาต่อหน้าสาธารณชนเพื่อแสดงจุดยืนของสำนักเต๋าให้โลกได้รับรู้ นี่เป็นคำเตือนถึงสำนักศักดิ์สิทธิ์ของเราและนิกายอำนาจเทวะ หรือว่าเขากำลังขอโทษเขาเทพพยากรณ์และตำหนักเต๋าหนี่หวาอยู่กันแน่?” เสียงที่สงบดั่งผืนน้ำดังขึ้นอีกครั้ง หากมันกลับแฝงด้วยความเย้ยหยัน
“บางทีสำนักเต๋าอาจเพียงต้องการบอกทุกคนว่าพวกเขาไม่คิดฝักใฝ่ความขัดแย้งใด ๆ” มหาเทพเต๋าเซวียนหมิงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดด้วยเสียงทุ้ม
“ไม่ว่าคำตอบจะเป็นเช่นไร แผนการของพวกเราก็ล้มเหลวอยู่ดี ดังนั้นผลลัพธ์ของความขัดแย้งนี้จะเป็นอย่างไร ก็มีแต่แดนรวนเรลืมเลือนเท่านั้นที่ตัดสินได้ เซวียนหมิง เจ้าจงนำแผนภาพพิชิตเต๋าติดตัวไปด้วย และมุ่งหน้าไปยังสำนักเต๋าโดยเร็ว”
“ขอรับ” มหาเทพเต๋าเซวียนหมิงพยักหน้าก่อนจะผละจากไป
…
ณ พิภพเบญจรงค์ ตำหนักเต๋าหนี่หวา
“มีเพียงตัวแปรเดียวเท่านั้นที่พลิกสถานการณ์ทั้งหมดได้ เห็นที ความขัดแย้งทั้งหลายคงจะถูกตัดสินในแดนรวนเรลืมเลือน” เสียงที่เคร่งขรึมและเงียบสงบก้องกังวาน “เสวี่ยหลิง จงนำศิลาศักดิ์สิทธิ์เบญจขันธ์ไปด้วยและออกเดินทางทันที”
มหาเทพเต๋าเสวี่ยหลิงที่รออยู่ข้างนอกเป็นเวลานานประสานมือของตนอย่างรวดเร็วเพื่อรับคำสั่ง จากนั้นนางก็จากไปพร้อมกับนกกระเรียนสีขาวแทบจะในทันที
…
โครม!
สมรภูมิจารึกเต๋าโบราณขนาดมหึมาสั่นสะเทือน แม้แต่ฟ้าดินยังขยับไหวสะท้าน
“ข้าขอยอมแพ้” ฉินซินฮุยประกาศเสียงกังวาน ทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ชมอยู่ทั้งหมดประหลาดใจอย่างยิ่ง จริงอยู่ที่ในระหว่างการต่อสู้นั้น ฉินซินฮุยจะเป็นฝ่ายถูกเหลิ่งซิงหุนไล่ต้อนอยู่ตลอดเวลา กระนั้นนางก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะพ่ายแพ้อีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
เหตุใดนางจึงเลือกจะยอมแพ้กัน?
ผู้ชมทั้งหลายทอดมองที่นางเป็นตาเดียว ฉินซินฮุยนั้นดูสงบเรียบเฉยยิ่ง นางไม่ได้ลั่นวาจาใดอีกเลยก่อนจะออกจากสมรภูมิไป
เหลิ่งซิงหุนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเมื่อเห็นสิ่งนี้ เขาส่ายหน้าระอาก่อนจะหันหลังจากไป
การต่อสู้คู่แรกของรอบที่สองจบลงกลางคัน ทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์จำนวนมากในโลกภายนอกถึงกับงงงวย
เฉินซีที่จดจ่อกับการต่อสู้ครั้งนี้ตั้งแต่เริ่มแรกพยักหน้าเบา ๆ เขาอยู่รู้แล้ว หากการต่อสู้ดำเนินต่อไปฉินซินฮุยจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไม่ช้าก็เร็ว เนื่องจากนางใช้กำลังเต็มที่ในขณะที่เหลิ่งซิงหุนยังออมมือไว้อยู่ แน่นอน สิ่งนี้คือความห่างชั้นของพวกเขา
และใช่ ความห่างชั้นนี้ไม่ได้ปรากฏให้เห็นในการบ่มเพาะของพวกเขา จึงเป็นเรื่องยากมากที่จะเห็นได้ผ่านการมองเพียงครั้งเดียว หากเฉินซีไม่ได้ให้จดจ่ออยู่ตั้งแต่แรก เขาเองก็ไม่อาจมองเห็นได้อย่างปรุโปร่งเช่นกัน
“นิสัยของแม่นางผู้นี้ไม่เลวเลย ในอนาคตนางคงจะอยู่เหนือกว่าเราทั้งคู่อย่างแน่นอน”
ภายในโถงบรรจบ เหวินถิงกล่าวชมเชยอย่างที่นางไม่ค่อยทำนัก
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม ตอนนี้นางยังด้อยกว่าเหลิ่งซิงหุนอยู่มาก และนั่นก็เป็นสิ่งช่วยไม่ได้” อวี่เจินยิ้ม นางไม่ได้นึกไม่พอใจที่ฉินซินฮุยยอมแพ้เลยแม้แต่น้อย
“การต่อสู้ครั้งที่สอง ตงหวงอิ่นเซวียนปะทะสืออวี๋!” ผ่านไปไม่นาน ไฮว่คงจื่อก็ประกาศเริ่มการต่อสู้ครั้งที่สอง ส่งผลให้บรรยากาศที่นี่กลับมาตื่นเต้นอีกครั้ง
ตงหวงอิ่นเซวียน!
สืออวี๋!
ทั้งสองคนเป็นยอดฝีมือชั้นสูงในบรรดายอดฝีมือชั้นสูงทั้งปวง เพียงแค่คิดว่าการการปะทะกันระหว่างพวกเขาจะเป็นอย่างไรก็ชวนให้ตื่นเต้นแล้ว
สายตาของเฉินซีจมลงไปในนั้นเช่นกัน สืออวี๋เป็นสหายของเขา แน่นอนว่าเขาต้องเอาใจช่วยสหายตนอยู่แล้ว
ตู้ม!
การต่อสู้ก็ปะทุขึ้นทันทีที่ตงหวงอิ่นเซวียนและสืออวี๋ก้าวเท้าเข้าสู่สมรภูมิ ฉากการต่อสู้ที่ปะทุขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวนั้นเหมือนกับยามฟ้าผ่าในขณะที่ท้องฟ้ายังแจ่มใส ทำเอาผู้ชมโดยรอบถึงกับเผลอลืมหายใจ
การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้น่าผิดหวัง ทั้งยังดุเดือดและยอดเยี่ยมอย่างถึงที่สุด
พวกเขาทั้งสองถูกพันธนาการไว้ภายใต้การต่อสู้ ไม่ว่าจะเคล็ดวิชาระดับสูงหรือสมบัติศักดิ์สิทธิ์ก็ล้วนถูกนำมาใช้ทั้งสิ้น พวกเขาต่อสู้จนถึงจุดที่ฟ้าดิน ตะวัน และจันทราอ่อนรัศมีลง ราวกับว่าสมรภูมิแห่งนี้ได้ย้อนกลับไปในยุคบรรพกาลที่เหล่าเทพเจ้าออกท่องทั่วภพแดน กระทั่งเสียงแห่งเต๋าก็ยังโหมกระหน่ำไปทั่วแผ่นดิน
ผู้ชมในโลกภายนอกต่างตื่นตาตื่นใจกับการต่อสู้ครั้งนี้ หัวใจของพวกเขาสั่นไหวยามที่จับจ้องการต่อสู้อย่างไม่วางตา บางครั้งพวกเขาก็ลืมหายใจไปชั่วขณะ
เมื่อเวลาผ่านไป การต่อสู้ก็ยิ่งดุเดือดมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั่วทั้งสมรภูมิเต็มไปด้วยรัศมีศักดิ์สิทธิ์เรืองรอง เสียงคำรามดังกึกก้องอย่างต่อเนื่อง ความโกลาหลที่กว้างใหญ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ราวกับว่าวันสิ้นโลกได้มาถึงแล้ว
แม้ว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เฝ้าดูจะรู้ว่าพลังทำลายล้างจากการต่อสู้ครั้งนี้ไม่สามารถส่งผลกระทบต่อพวกเขาได้ แต่เมื่อเห็นพลังที่รุนแรงเช่นนี้ หลายคนก็ยังคงหวาดหวั่นขนาดที่ร่างกายแข็งทื่อ ความหนาวเย็นไหลลงมาตามกระดูกสันหลัง
ไม่มีทางที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลจะสามารถสร้างพลังอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้
อย่างไรก็ดี ในขณะที่การต่อสู้ดำเนินต่อไป ดวงตาของเฉินซีก็หรี่ลงทีละน้อย สีหน้าเคร่งขรึมลงยิ่งขึ้น เนื่องจากสืออวี๋คล้ายจะมีอาการว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ…
………………..