บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1878 นี่ไม่ปกติเลย
บทที่ 1878 นี่ไม่ปกติเลย
………………..
บทที่ 1878 นี่ไม่ปกติเลย
ผ่านไปหนึ่งชั่วธูปมอด เปลือกตาของเฉินซีกระตุก
เปรี้ยง!
ขณะเดียวกันนั้นเอง เสียงสนั่นเสียดโสตก็กึกก้องจากสมรภูมิจารึกเต๋าโบราณ รัศมีศักดิ์สิทธิ์เรืองรองปกปิดทุกสายตา
“ความแข็งแกร่งของเจ้าไม่เลว แต่ดวงจิตแห่งเต๋าของเจ้ามีจุดบกพร่อง ข้าอนุมานว่าเจ้าน่าจะยังไม่ได้ผสานความทรงจำในอดีตชาติของเจ้าอย่างสมบูรณ์” ท่ามกลางฝุ่นควันคละคลุ้ง เสียงอันสำรวมเฉยชาของตงหวงอิ่นเซวียนดังออกมา
“เจ้าพูดผิดแล้ว ข้าไม่เคยคิดจะหลอมรวมกับความทรงจำในอดีตชาติอย่างสมบูรณ์ ข้าคือข้า สืออวี๋!” หลังจากนั้น เสียงของสืออวี๋ก็กังวานอย่างหนักแน่นเฉียบขาด
ขณะเดียวกัน คนอื่น ๆ ในโลกภายนอกก็เห็นภาพภายในสมรภูมิอย่างชัดเจนเสียที
ใบหน้าของสืออวี๋ซีดขาว ทรุดอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าสุขุม ไม่เผยเค้าลางเจ็บใจเดือดดาลใด ๆ
ขณะเดียวกัน ร่างสูงของตงหวงอิ่นเซวียนยืนตรงหน้าสืออวี๋ สองแขนกอดอก เผยท่าทีทรงพลัง ไร้บาดแผลขีดข่วนใด ๆ!
สืออวี๋พ่ายแล้ว!
พริบตานั้น ทุกคนต่างตัดสินผลศึกชัดเจน และอดรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อยไม่ได้
นับแต่เริ่มศึก มันก็เข้มข้นรุนแรงสุดขั้ว พวกเขาสู้กันจนกลบรัศมีตะวันจันทราหม่นหมอง เป็นเหตุอันเกินจินตนาการ
แต่ไร้ผู้ใดคาดคิดว่าศึกอันเท่าเทียมนี้จะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของสืออวี๋ มันดูกะทันหันเกินไปสำหรับพวกเขา
มีเพียงเฉินซีและคนจำนวนน้อยที่ทราบ ว่าสืออวี๋พ่ายแล้วจริง ๆ แท้จริงแล้ว ความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าตงหวงอิ่นเซวียนมากนัก แต่การควบคุมอำนาจกลับด้อยกว่าตงหวงอิ่นเซวียน
เป็นเช่นวาทะของตงหวงอิ่นเซวียน ความแข็งแกร่งของสืออวี๋สูงส่งจริง ๆ แต่เพราะเหตุผลบางอย่าง เขาจึงไม่อาจควบคุมความแข็งแกร่งของตนได้อย่างสมบูรณ์
ในความเห็นของเฉินซี สืออวี๋ใช่ว่าควบคุมอำนาจของตนเองไม่ได้ แต่กลับกัน สืออวี๋ไม่ยอมทำเช่นนั้นมาแต่แรกต่างหาก เพราะความแข็งแกร่งของเขามาจากอดีตชาติ!
ในอดีตชาติ สืออวี๋เป็นตัวตนยิ่งใหญ่ผู้ติดตามข้างกายประมุขตำหนักเต๋าหนี่หวา มีอำนาจยิ่งใหญ่เกินธรรมดา แต่เห็นได้ชัดว่าสืออวี๋หาสนใจไม่
ดวงจิตแห่งเต๋าที่เขายึดถืออย่างหนักแน่นก็คือในชาตินี้ นี่คือปัจจุบันชาติของสืออวี๋ ไม่ใช่ผู้ใดคนอื่น!
ตงหวงอิ่นเซวียนชนะศึกนี้ เสียงเอะอะดังขึ้นทั่วทิศ
…
“ศึกที่สาม คงโหยวหรานปะทะจูเชี่ยนอวี้!” ไม่นาน ไฮว่คงจื่อก็ประกาศเริ่มศึกที่สาม สายตาทุกคู่ในโลกภายนอกถูกดึงมารวมกันอีกครั้ง
คงโหยวหราน ยอดฝีมือขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลอันดับหนึ่งของตำหนักเต๋าหนี่หวาและทายาทของราชานกยูงบรรพกาล นางได้พิสูจน์ความแข็งแกร่งของตนในหลายต่อหลายศึกระหว่างการถกวิถีเต๋ารอบแรก
จูเชี่ยนอวี้ ศิษย์ผนึกฤทธิ์ลำดับสองของสำนักศักดิ์สิทธิ์และทายาทของเผ่าอสรพิษมังกรผู้เลิศล้ำสูงสุดในหมู่เทพอสูรบรรพกาล อำนาจสายเลือดของเขาแข็งแกร่งเกินธรรมดา
ดังนั้นศึกระหว่างทั้งสองจึงดึงดูดความสนใจของผู้คนอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ศิษย์น้องของข้าสืออวี๋พ่ายแก่ศิษย์พี่ของเจ้า ในเมื่อข้าอยากช่วยเขาระบายความคับแค้น ข้าก็ทำได้เพียงเอาชนะเจ้า” บนสมรภูมิ ริมฝีปากแดงของคงโหยวหรานเผยอเล็กน้อย เสียงของนางฟังดูเรียบเรื่อยเฉื่อยชา นางสวมชุดกระโปรงหลากสี เรือนผมดำยาวขมวดเป็นมวยเบื้องหลังศีรษะ
“จริงหรือ? ข้าไม่คิดเช่นนั้น” จูเชี่ยนอวี้ยิ้มบางด้วยกิริยาภาคภูมิสง่างาม คิ้วทั้งสองขาวราวหิมะ ดวงตาสีน้ำเงินเข้ม รูปลักษณ์หล่อเหลาโดดเด่น สง่างามไม่แพ้คงโหยวหรานเลย
“เช่นนั้นก็ตัดสินกันในศึก!” ท่ามกลางเสียงเสสรวลอันเฉื่อยชา คงโหยวหรานพลันลงมือ ทั่วร่างเรืองประกายเพลิงห้าสีแผดผลาญ ทะยานร่างรวดเร็วเข้าหาจูเชี่ยนอวี้ ปราณทรงพลังพุ่งทะยานน่าสะพรึงกลัว
“ฮึ!” ดวงตาของจูเชี่ยนอวี้เรืองรัศมีเย็นเยียบ เฉียบคมเช่นอัสนี พุ่งเข้าปะทะนางตรง ๆ อย่างไม่ลังเล
ทั้งสองต่างรบพุ่งพัลวัน หนึ่งแปลงลักษณ์เป็นนกยูง แผ่เพลิงห้าสีอันดูจะผลาญฟ้าดินเป็นจุณ ขณะที่อีกหนึ่งบงการอำนาจอัสนีเช่นจักรพรรดิสายฟ้ากลับชาติอย่างดุดันชวนสะพรึง
ทันทีที่ศึกเริ่ม สารพัดปรากฏการณ์น่าสะพรึงกลัวก็บังเกิด เต๋ากู่สำเนียงก้อง โลหิตเทพโปรยปราย…. ทั้งยิ่งใหญ่ เจิดจรัส ทำให้ผู้ชมทั้งหลายสูดหายใจเฮือกไม่จบสิ้นยามพบเห็น
“ข้าแพ้ เจ้าไม่แม้แต่จะเสียใจเลยหรือ?” เฉินซีจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ จู่ ๆ หนึ่งเสียงก็ดังข้างโสต เมื่อหันไปมองก็พบสืออวี๋เข้ามาหา
“เสียใจ?” เฉินซีนิ่งไป ก่อนจะแย้มยิ้ม “กระทั่งผู้ประสบกับตัวอย่างเจ้ายังไม่เสียใจ แล้วข้าควรเสแสร้งบีบน้ำตาหรือ?”
สืออวี๋ชกบ่าเฉินซีพลางเย้ย “เจ้านี่จะไร้หัวใจเกินไปแล้ว”
เฉินซีกล่าวเรียบ ๆ “หากเจ้าเสียใจจริง ๆ ภายหลังหากมีโอกาส ข้าจะช่วยเจ้าระบายโทสะกับตงหวงอิ่นเซวียนให้นะ”
สืออวี๋เขม่นตามองเขา พลางกล่าว “จำถ้อยคำเจ้าไว้”
กล่าวไม่ทันขาดคำ เขาก็หันกายจากไป
เฉินซีจังงัง เมื่อสังเกตเห็นว่าสืออวี๋เดินออกจากจัตุรัสแห่งการประชัน เฉินซีอดถามมิได้ “เจ้าจะไปไหน?”
สืออวี๋ตอบโดยไม่แม้แต่จะเหลียวกลับ “เมืองทศทิศ ข้าจะไปลงเดิมพันข้างเจ้า!”
เฉินซีตระหนักชัดเจนว่ามีสถานที่มากมายในเมืองทศทิศที่รับเดิมพัน ดึงดูดผู้บ่มเพาะเข้าร่วมมากมาย ซึ่งหัวข้อการเดิมพันก็คือผลศึกในการถกวิถีเต๋า
แต่เขาก็ไม่คาดคิดเลยว่าสืออวี๋จะยังมีอารมณ์ไปเดิมพันในเวลาเช่นนี้ เขาเบื่อเพียงไรกัน?
ทว่าสิ่งนี้ก็แสดงออกทางอ้อมว่าความพ่ายแพ้ต่อตงหวงอิ่นเซวียนไม่ได้กระทบดวงจิตแห่งเต๋าของสืออวี๋เลย
ถือได้ว่าเป็นเรื่องดี
เฉินซีเบนสายตาไปยังศึกอีกครั้ง
หนึ่งชั่วละเลียดชาผ่านไป สายตาของเฉินซีเบนไปที่คงโหยวหราน
เหตุผลนั้นง่ายมาก เขารู้แล้วว่าจูเชี่ยนอวี้พ่ายแน่ และไม่คู่ควรให้เขาสนใจอีก นอกจากนั้น อำนาจต่อสู้ของคงโหยวหรานยังดึงดูดความสนใจของเฉินซีด้วย
แม้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาเทพพยากรณ์กับตำหนักเต๋าหนี่หวาจะดีเสมอมา แต่สุดท้ายการถกวิถีเต๋ารอบสองก็คือการดวลตัวต่อตัว ไม่มีผู้ใดทำนายได้ว่าเขา เฉินซีจะต้องสู้กับคงโหยวหรานหรือไม่
แน่นอน เฉินซีไม่ได้หวังให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น แต่เตรียมตัวไว้ก่อนย่อมเป็นประโยชน์
จริงเช่นนั้น เพียงครึ่งเสี้ยวชั่วยามต่อมา ศึกนี้ก็จบลง จูเชี่ยนอวี้ทุ่มสุดฝีมือแต่ก็ไม่อาจทำร้ายคงโหยวหรานได้ และเขาเองที่บาดเจ็บแพ้พ่ายไปในที่สุด
ศึกนี้ทำให้เสียงเอะอะดังทั่วบริเวณเช่นกัน สารพัดเสียงอุทานชื่นชมกระหึ่ม บ้างตะลึงในอำนาจต่อสู้ของคงโหยวหราน บ้างรู้สึกสงสารจูเชี่ยนอวี้และต่าง ๆ นานา
“เฉินซี ข้าใช้สมบัติวิญญาณธรรมชาติสองชิ้นเดิมพันข้างเจ้า เจ้าต้องปราบตงหวงอิ่นเซวียนให้ได้นะ มิเช่นนั้น ข้าหมดตัวแน่” ขณะนั้นเอง สืออวี๋กลับมาแล้วกระซิบกระซาบข้างหูเฉินซี
เฉินซีตะลึงไปทันที “คู่มือรอบที่สองของข้าคือเซวี่ยเซียวจื่อจากนิกายอำนาจเทวะ แล้วเจ้าไปตัดสินได้ยามใดว่าข้าจะสู้กับตงหวงอิ่นเซวียน?”
สืออวี๋ไหวไหล่ “มันเป็นการเดิมพันล่วงหน้า แม้พวกเจ้าสองคนจะไม่เผชิญหน้ากันในรอบนี้ แต่รอบหน้าก็ไม่แน่ หากดวงเจ้าแย่ยิ่งจริง ๆ สุดท้ายก็ไร้โอกาสประชันตงหวงอิ่นเซวียน การเดิมพันนี้ก็ย่อมเป็นโมฆะไป”
ยามนี้เองเฉินซีจึงประจักษ์แจ้ง แล้วอดหัวเราะขำไม่ได้
“ข้าบอกให้นะ เทียบกับเจ้าแล้ว ผู้เข้าร่วมที่ถูกวางเดิมพันมากที่สุดคือตงหวงอิ่นเซวียน หากเจ้าชนะ ข้ารวยเละแน่นอน” สืออวี๋พูดอย่างตื่นเต้นเล็กน้อย
เฉินซีถอนหายใจ “ดูเหมือนข้าจะไร้ทางเลือกนอกจากทุ่มสุดฝีมือเสียแล้ว….”
ขณะทั้งสองเสวนา ศึกที่สี่ก็เปิดฉาก ซึ่งก็คือเย่เฉินแห่งสำนักเต๋าเผชิญฟางฉงเฟิงจากนิกายอำนาจเทวะ
เย่เฉินผู้ครอบครองรากเต๋าราชจักรวรรดิเผยฤทธิ์เดชดาบราตรีนิรันดร์อันตกทอดจากบรรพบุรุษอย่างแจ่มชัด ปราบคู่ต่อสู้ลงได้ในชั่วกาลเพียงหนึ่งชั่วละเลียดชา
ฟางฉงเฟิงย่อมมิได้อ่อนแอ กลับกัน อำนาจต่อสู้ของเขาไม่ได้ด้อยกว่าจูเชี่ยนอวี้เลย แต่น่าเสียดายที่เขามาพบเย่เฉินเข้า
ยามศึกที่ห้าเปิดฉาก ความสนใจของเหล่าผู้บ่มเพาะก็ถูกดึงมาทันที กระทั่งสีหน้าของเฉินซียังแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
เพราะนี่คือศึกระหว่างเจียหนานจากนิกายพุทธและหวังจงแห่งเกาะคางคกทอง!
เจียหนานเป็นผู้นำศิษย์รุ่นปัจจุบันในนิกายพุทธ เกิดมาพร้อมกระดูกพุทธะทองคำและปัญญาเลิศล้ำ นอกจากนั้น เขายังได้แปรสภาพรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้าและสืบทอดรากโพธิ์อัฐิธาตุสุดเสรีจากพุทธาจารย์ซัวผัว ความแข็งแกร่งร้ายกาจเหนือมวลสหาย ไม่ได้ด้อยไปกว่าอัจฉริยะล้ำเลิศใด ๆ ที่นี่เลย
ในความเห็นเฉินซี กระทั่งเขายังไม่อาจประเมินเจียหนานได้ทะลุปรุโปร่ง!
ขณะเดียวกัน หวังจงคือม้ามืดที่จู่ ๆ ก็เรืองนามโดดเด่นในการถกวิถีเต๋านี้ ในอดีตเขาไม่มีชื่อเสียงมากนัก แต่อำนาจต่อสู้ที่เผยในศึกแรกของการถกวิถีเต๋ารอบที่สองทำให้หัวใจปวงชนสั่นสะท้าน ทำให้เขาตกอยู่ในสายตาทุกคู่ทันที นอกจากนั้นยังเป็นที่สนใจของตัวตนยิ่งใหญ่ทั้งหลาย
ขณะนี้ ศึกระหว่างเจียหนานและหวังจงย่อมดึงความสนใจจากปวงชนมากมาย
ทุกคนต่างรู้สึกว่า ผู้ชนะของศึกนี้จะมีคุณสมบัติเผชิญหน้าคนอย่างเฉินซี เหลิ่งซิงหุน ตงหวงอิ่นเซวียน และคงโหยวหรานได้แน่นอน!
ขณะเดียวกัน ในความคิดของเฉินซี เขาย่อมหวังให้เจียหนานชนะ แต่ก็ไม่อาจประเมินหวังจงได้เช่นกัน จึงเป็นการยากที่เขาจะตัดสินได้ว่าผู้ใดมีโอกาสชนะศึกนี้มากกว่ากัน
ไม่นาน ศึกก็เปิดฉาก
แล้วเฉินซีก็ต้องประหลาดใจเมื่อเจียหนานไม่อาจชิงความได้เปรียบแม้แต่น้อยนับแต่เริ่มศึก ยิ่งกว่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป ขณะที่อำนาจต่อสู้ของเจียหนานโถมทะยานไม่จบสิ้น อำนาจต่อสู้ของหวังจงก็เพิ่มพูนเป็นขั้น ๆ เช่นกัน!
เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้ผู้บ่มเพาะทั้งหลายในโลกภายนอกตกใจอย่างยิ่ง ให้ความรู้สึกราวว่า ไม่ว่าเจียหนานจะแข็งแกร่งเพียงไร หวังจงก็ยังรับมือเขาได้
เห็นได้ชัดว่าหวังจงเก็บงำฝีมือไว้มากมาย ทำให้ผู้อื่นไม่อาจประเมินความสามารถแท้จริงของเขาได้!
แน่นอน อำนาจต่อสู้ของเจียหนานก็ร้ายกาจ แต่การเผชิญหวังจงนั้นเหมือนได้พบคู่ปรับ ไม่ว่าจะใช้อำนาจสะท้านโลกาใด ๆ ออกมา หวังจงก็สลายมันไปสิ้น ไม่อาจทำอันตรายใด ๆ แก่เขาได้เลย
เมื่อกาลผ่านไป สัญญาณเช่นนี้ก็ยิ่งแจ่มชัด
กระทั่งเหลิ่งซิงหุน ตงหวงอิ่นเซวียน คงโหยวหราน และคนอื่น ๆ ยังอดเผยเค้าความเคร่งขรึมบนใบหน้ามิได้ ด้วยตกตะลึงในความแข็งแกร่งที่หวังจงเผย
หวังจงผู้นี้อำพรางความแข็งแกร่งแนบเนียนนัก จากสถานการณ์ คนอื่น ๆ ไม่ได้ประจักษ์อำนาจต่อสู้แท้จริงของเขาจนบัดนี้ มันผิดธรรมดาไปหน่อย…. เฉินซีขมวดคิ้วขณะจ้องมองหวังจงในสมรภูมิ ทันใดนั้น ในใจเขาก็บังเกิดความรู้สึกเดียดฉันท์อย่างบอกไม่ถูก
สิ่งนี้ทำให้หัวใจของเฉินซีสั่นสะท้าน นับแต่เริ่มบ่มเพาะจนยามนี้ เขาไม่เคยเกิดความรู้สึกเช่นนี้กับคนแปลกหน้าเลย
กล่าวคือ นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนแปลกหน้าทำให้หัวใจของเขาเกิดความรู้สึกเช่นนี้
นี่ไม่ปกติเลย!