บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1879 หนึ่งกระบวนก็พอ
บทที่ 1879 หนึ่งกระบวนก็พอ
………………..
บทที่ 1879 หนึ่งกระบวนก็พอ
มีผู้ใดเกลียดผู้อื่นโดยไร้เหตุผลด้วยหรือ?
ความรู้สึกนี้โผล่มาอย่างไม่มีปี่ขลุ่ย ทำให้เฉินซีรู้สึกประหลาดใจตกตะลึงอย่างช่วยไม่ได้ หวังจงผู้นั้นเป็นใครกันแน่ เหตุใดเขาจึงทำให้ข้าเกิดปฏิกิริยาเช่นนี้?
พิกล! เฉินซีขมวดคิ้วครุ่นคิด แต่ก็ไม่อาจนึกออก
หลังชั่วกาลผ่านไป เสียงเอะอะอันเปี่ยมความตื่นเต้นก็กึกก้อง ปลุกเฉินซีขึ้นจากภวังค์ความคิด
ยามนี้เอง เขาจึงเห็นว่าเจียหนานพ่ายแก่หวังจงไปแล้ว!
ขณะนี้ จีวรขาวดุจแสงจันทร์ของเจียหนานถูกโลหิตย้อมแดงฉาน ใบหน้ายังคงสุขุมสำรวม ทว่าดวงตาเจือเค้าอัดอั้นไม่อยากเชื่อ
ขณะเดียวกัน หวังจงยิ้มบางอย่างสบายใจ สองมือไพล่หลังเดินช้า ๆ ลงจากสมรภูมิท่ามกลางสายตาตกตะลึงทุกคู่
นับแต่เริ่มจนบัดนี้ เขาไม่ได้เผยความภาคภูมิหรือพอใจในตน ดูลอยชายราวการเอาชนะเจียหนานอยู่ในคาดหมายของเขาอยู่แล้ว
“เจียหนานพ่ายแล้ว!”
“หวังจงแข็งแกร่งจริง ๆ!”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าหวังจงโจมตีโดยใช้เคล็ดวิชาใด? เหตุใดมันจึงเผยฤทธิ์ร้ายกาจจนทำให้เจียหนานบาดเจ็บสาหัสได้?”
“ข้าไม่รู้ วิชาเช่นนี้ลึกลับซับซ้อน ดูเหมือนมิใช่วิชาคางคกทองผสานหยก วิชาตกทอดในเกาะคางคกทองเลย”
“ร้ายกาจนัก เขาคือม้ามืดโดยแท้ ก่อนหน้านี้เราต่างประเมินเขาต่ำไป”
ขณะนี้ โลกภายนอกหารือกันอย่างออกรสท่ามกลางเสียงอื้ออึงฮือฮา หัวข้อสนทนาทั้งปวงล้วนวนเวียนอยู่กับหวังจง
ใครเล่าจะคาดคิดว่ากระทั่งศิษย์นิกายพุทธอย่างเจียหนานจะยังไม่อาจรับมือหวังจงผู้แทบไม่มีชื่อเสียงนี้เลย?
…
โถงบรรจบ
“สหายเต๋าไฮว่คงจื่อ เจ้ามีข้อมูลใดเกี่ยวกับหวังจงผู้นี้หรือไม่?” เล่ยฝูขมวดคิ้วถาม
ไม่เพียงเล่ยฝู ขณะนี้ กระทั่งฉือซงจื่อ เหวินถิง อวี้เจิน และคนอื่น ๆ ยังประหลาดใจตกตะลึงกันเล็กน้อย
อำนาจต่อสู้ที่หวังจงแผลงออกมาผิดปกติเกินไป เขาดูเหมือนบ่อน้ำไร้ก้นที่ทำให้ผู้อื่นไม่อาจหยั่งฝีมือ เป็นเรื่องน่าตกใจไม่น้อย
ในโถง ไฮว่คงจื่อเองก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้า ครุ่นคิดหนักครู่หนึ่งจึงกล่าว “ข้ารู้เพียงว่าหวังจงเป็นศิษย์สายตรงของประมุขเกาะคางคกทองเคอเจิ้นไห่ มีความสามารถโดยกำเนิดไม่เลว แค่นั้นเอง”
“หมายความว่าเจ้าเด็กนี่จะเก็บตัวเงียบไปแล้ว” เล่ยฝูพึมพำ
ตัวตนยิ่งใหญ่คนอื่น ๆ ต่างมีความคิดต่าง ๆ นานาในใจ หวังจงมิใช่ศิษย์จากห้าสุดยอด แต่กลับมีอำนาจท้าทายสวรรค์ พวกเขาจึงต้องให้ความสำคัญอย่างเลี่ยงไม่ได้
มิเพียงพวกเขา ขณะนี้เฉินซี เหลิ่งซิงหุน ตงหวงอิ่นเซวียน คงโหยวหราน และคนอื่น ๆ ต่างเริ่มให้ความสำคัญกับหวังจง เนื่องจากไร้ทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำยามเผชิญคู่ต่อสู้เช่นนี้
สรุปคือ ศึกนี้ทำให้หวังจงยิ่งดูเจิดจรัส และเสียงฮือฮาที่เขาก่อกระทั่งเหนือล้ำเกินผู้เข้าร่วมคนใด
เหตุผลนั้นเป็นเพราะหนึ่งคำ ความไม่ตั้งตัว!
…
ศึกที่หก อวี้จิ่วหุยปะทะเฟิงจงเจ๋อ
ยามทั้งสองเริ่มศึก ผู้บ่มเพาะมากมายในโลกภายนอกยังไม่หายตกตะลึง สิ่งนี้แสดงชัดว่าความปั่นป่วนจากชัยชนะของหวังจงต่อเจียหนานรุนแรงเพียงไร
ขณะนี้ เฉินซีไม่มีเวลาสนใจศึกนี้เช่นกัน เพราะจู่ ๆ เจียหนานผู้แพ้พ่ายก็มาหาเขา
“สหายเต๋าเฉินซี ขออภัยด้วย ข้าไม่อาจประมือถกวิถีเต๋ากับเจ้าหนนี้ได้” เจียหนานกล่าวอย่างขอโทษขอโพย
อาภรณ์ของเขาถูกโลหิตย้อมแดง ใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย แต่การวางตัวก็ยังสงบสำรวม ง่ายนักที่ผู้พบเห็นจะเกิดความประทับใจในแง่ดีต่อเขา
เฉินซีรู้สึกขอบคุณเจียหนานในใจเสมอมา เมื่อเห็นเจียหนานกระทำเช่นนี้ เขาจึงอดรำพึงในใจพลางตบบ่าเจียหนานมิได้ “ไม่เป็นไรหรอก หากไม่ถือสา เราก็ประมือกันเองหลังจบการถกวิถีเต๋าครั้งนี้ก็ได้”
เห็นได้ชัดว่ายามถูกตบบ่า เจียหนานดูผงะไปเล็กน้อย เขาเงียบไปครู่สั้น ๆ ก่อนจะเอ่ยปาก “สหายเต๋าเฉินซี มีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่รู้ว่าควรพูดดีหรือไม่”
เสียงของเขาเจือความลังเล
เฉินซีกล่าวกับเจียหนาน “ว่ามาเถิด”
“หวังจงผู้นั้น….” เจียหนานครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงส่งกระแสปราณ “ที่มาของเขาดูมีพิรุธนิดหน่อย หากในศึกต่อไปเจ้าพบเขา ห้ามออมมือเด็ดขาดนะ”
ขณะนี้ สีหน้าของเขาเคร่งขรึมจริงจังอย่างยิ่ง ทำให้หัวใจของเฉินซีสะท้านเฉียบพลัน กล่าวในใจว่าหรือเจียหนานจะสังเกตเห็นสิ่งใด?
เฉินซีหวนนึกถึงความรู้สึกรังเกียจอย่างบอกไม่ถูกซึ่งมุ่งเป้าไปที่หวังจงเมื่อครู่ ประกอบกับวาทะที่เจียหนานเพิ่งเอ่ยถึง มันก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าหวังจงไม่ธรรมดา
“สหายเต๋าเฉินซี ข้าไปพักฟื้นก่อนนะ” เจียหนานกล่าวลา
เดิมทีเฉินซีคิดถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับหวังจง แต่เขาก็ทิ้งเจตนานั้นทันทีเมื่อเห็นความหนักหนาของบาดแผลที่เจียหนานได้รับ “รีบไปเถอะ! ไว้เราค่อยคุยกันหลังเจ้าหายดีก็ยังไม่สาย”
เจียหนานประนมมือไหว้เฉินซีน้อย ๆ แล้วจึงจากไป
น่าเสียดายจริง เฉินซีอดรำพึงในใจขณะมองเจียหนานคล้อยหลังไม่ได้ หากมิใช่เพราะหวังจง เจียหนานจะสามารถเข้าสู่ศึกรอบต่อไปได้แน่แท้
ไม่นานนัก เฉินซีก็ส่ายหน้าหยุดคิด แล้วเบนสายตาไปยังสมรภูมิจารึกเต๋าโบราณ อวี้จิ่วหุยและเฟิงจงเจ๋อยังสู้กันอยู่
แต่ปรากฏว่าศึกนี้กินเวลาถึงหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม ยาวนานเป็นอย่างยิ่ง
อวี้จิ่วหุยแข็งแกร่งอย่างยิ่ง กระทั่งทัดเทียมเย่เฉิน นี่เป็นเรื่องที่ทั่วโลกหล้ายอมรับ ทว่าเฟิงจงเจ๋อก็ไม่ได้น้อยหน้า เผยอำนาจร้ายกาจสุดขีดเช่นกัน
ยิ่งกว่านั้น เฟิงจงเจ๋อยังเชี่ยวชาญการป้องกัน ดุจหินผาหนักแน่นเกินสั่นคลอน กระทั่งมรสุมทั่วทิศยังมิอาจขยับเคลื่อน
แต่สุดท้าย เฟิงจงเจ๋อก็ยังพ่าย เขาถูกอำนาจอันสุดเหนียวแน่นทนนานของอวี้จิ่วหุยลิดรอนจนสิ้น ไม่อาจทานทนจนพ่ายแพ้ไปอย่างน่าเวทนา
ศึกนี้กินเวลาเกือบสองวัน เริ่มด้วยความเจิดจรัส แต่ยิ่งนานเข้ายิ่งดูน่าเบื่อ
เพราะมันกลายเป็นศึกยืดเยื้อลิดรอนกำลังกัน ไม่ใช่การประชันฝีมืออีกต่อไป มันคือศึกเจตจำนงและกำลังล้วน ๆ
เมื่อเห็นศึกนี้จบลง ปวงชนก็ผ่อนหายใจโล่งอกอย่างช่วยไม่ได้ และคิดเป็นเสียงเดียวกันในใจว่าจบเสียที….
ทว่ายามไฮว่คงจื่อประกาศนามผู้เข้าร่วมศึกที่เจ็ด ขวัญกำลังใจเหล่าผู้บ่มเพาะก็เดือดพล่านด้วยความตื่นเต้นอีกครั้งทันที
เพราะนี่คือศึกสุดท้ายของรอบย่อยที่สอง
แต่ที่สำคัญเหนือใดคือ มันคือศึกระหว่างเฉินซีและเซวี่ยเซียวจื่อ!
เฉินซี!
ย่อมไม่จำเป็นต้องบรรยายไปมากกว่านี้ เขาเป็นศิษย์สายตรงของเขาเทพพยากรณ์ซึ่งเผยอำนาจต่อสู้น่าตกตะลึงสุดขั้วนับแต่รอบแรกของการถกวิถีเต๋า
ก่อนหน้านี้ เขากระทั่งสยบกงซุนมู่ ศิษย์ผนึกฤทธิ์อันดับสามของสำนักศักดิ์สิทธิ์ลงในสามกระบวนท่า ในหัวใจปวงชนถือเขาเป็นตัวตนระดับเดียวกับเหลิ่งซิงหุน ตงหวงอิ่นเซวียน คงโหยวหราน เย่เฉิน และคนอื่น ๆ มาเนิ่นนาน
ขณะเดียวกัน เซวี่ยเซียวจื่อจากนิกายอำนาจเทวะก็มิได้อ่อนแอ ระหว่างศึกหนก่อน เขาเอาชนะถูเมิ่งซึ่งเป็นอันดับสามในหมู่ศิษย์รุ่นสามของเขาเทพพยากรณ์ สร้างชื่อเสียงอย่างสมบูรณ์
นอกจากนั้น เซวี่ยเซียวจื่อยังมีชื่อเสียงอยู่นานแล้ว เขาเป็นตัวตนไร้เทียมทานอาวุโสร่วมรุ่นกับเหลิ่งซิงหุน
ยามนี้ หนึ่งศึกกำลังจะปะทุระหว่างทั้งสอง ทุกคนจึงเปี่ยมความคาดหวัง
“พวกเจ้าคิดว่าเฉินซีหรือเซวี่ยเซียวจื่อจะเป็นผู้ชนะ?”
“เฉินซีอยู่แล้ว!”
“ไม่เสมอไปหรอก เซวี่ยเซียวจื่อบรรลุขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลมาเกินหมื่นปีแล้ว ขณะที่ไม่กี่สิบปีก่อน เฉินซียังเป็นเทวารู้แจ้งวิญญาณอยู่เลย”
“คิดเป็นเด็กไปได้ ระยะเวลาการบ่มเพาะใช้ตัดสินอำนาจต่อสู้กันได้หรือ?”
“หยุดเถียงกันเถอะ ศึกนี้ดุเดือดยิ่งแน่แท้ ข้าสงสัยเพียงว่ามันจะกินเวลาเพียงไร หวังว่าจะไม่ถึงขนาดศึกของอวี้จิ่วหุยเมื่อครู่นะ….”
ท่ามกลางเสียงหารือ เฉินซีและเซวี่ยเซียวจื่อต่างมายังสมรภูมิ เผชิญหน้ากันจากไกล ๆ
เซวี่ยเซียวจื่อสวมชุดคลุมนักพรตสีแดงเลือด ท่าทางอบอุ่นทรงสง่า ทว่าสีหน้ากลับเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิต ทำให้ปราณดุดันเย็นเยียบน่าสะพรึงกลัวแผ่พล่าน
ก่อนหน้านี้ ระหว่างศึกเผชิญถูเมิ่ง วิธีการต่อสู้ของเขาโหดเหี้ยมไร้ปรานี
หากมิใช่เพราะถูเมิ่งเป็นทายาทเผ่าวัวกุยลายทอง หนังหนาร่างแกร่ง คงบาดเจ็บหนักเพราะเซวี่ยเซียวจื่อไปแล้ว
เฉินซีสังเกตเห็นเรื่องทั้งหมดนี้ชัดเจน สายตาจึงเย็นเยียบทิ่มแทงยามเผชิญเซวี่ยเซียวจื่อยามนี้
เขาลั่นวาจาไว้แล้วว่าจะช่วยถูเมิ่งระบายโทสะ นอกจากนั้น แม้ไม่สนความแค้นระหว่างกัน เพียงแค่เพราะเซวี่ยเซียวจื่อเป็นศิษย์จากนิกายอำนาจเทวะก็ทำให้เฉินซีไม่อาจมีความรู้สึกดี ๆ ต่อเขาได้แล้ว
“ดูเหมือนสหายเต๋าเฉินซีจะมีอคติต่อข้าอยู่ไม่น้อย คงมิใช่เพราะถูเมิ่งหรอกกระมัง?” เซวี่ยเซียวจื่อเอ่ยปากยิ้ม ๆ ดูเหมือนจะจงใจกล่าวถึงถูเมิ่งด้วยน้ำเสียงเย้ยเยาะ
“ใช่ ข้ามีอคติต่อเจ้า” เฉินซีดูสุดแสนสุขุม “ก่อนหน้านี้ กงซุนมู่พ่ายข้าในสามกระบวนท่า ลองเดาดูสิว่าเจ้าจะรับมือข้าได้กี่กระบวนท่า”
เซวี่ยเซียวจื่อเลิกคิ้ว แล้วจึงเสสรวลขำขัน “ปากคอเราะราย! หรือเจ้าคิดปราบข้าในสามกระบวนท่าเช่นกัน?”
สิ้นคำ เหลิ่งซิงหุนและศิษย์นิกายอำนาจเทวะทั้งหลายก็แค่นยิ้มเย็นอย่างช่วยไม่ได้
ขณะเดียวกัน สีหน้าของเหล่าศิษย์จากสำนักศักดิ์สิทธิ์ต่างงอง้ำ การกล่าวถึงความพ่ายแพ้ของกงซุนมู่ต่อสาธารณชนของเฉินซีทำให้พวกเขาเดือดดาลยิ่งนัก รู้สึกว่าเฉินซียั่วยุเหยียดหยามพวกตนอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ขณะที่ทุกผู้มีปฏิกิริยาแตกต่าง เฉินซีก็ส่ายหน้า
“ดูเหมือนกระทั่งเจ้ายังไม่มั่นใจว่าจะปราบข้าในสามกระบวนท่าได้ เช่นนั้น… สิบกระบวนท่าเป็นอย่างไร? หรือร้อย? หรือพัน? ฮ่า ๆ ๆ” เซวี่ยเซียวจื่อยิ่งเสสรวลปรีดา น้ำเสียงเจือความเย้าเยาะ
เฉินซีก็แย้มยิ้มเช่นกัน ขณะที่หลุบตาลงกล่าววาทะไม่กี่คำ “ผิดแล้ว หนึ่งกระบวนท่าก็พอ”
หนึ่งกระบวนท่า!?
ทันทีที่วาทะถูกกล่าว ทั่วทิศก็ระเบิดเสียงฮือฮา สงสัยกันว่าตนฟังผิดไปหรือไม่ เขาคิดปราบเซวี่ยเซียวจื่อในหนึ่งกระบวนท่า พูดจาโอหังเกินไปแล้ว
กระทั่งกู่เยี่ยน ถูเมิ่ง คงโหยวหราน สืออวี๋ และคนอื่น ๆ ยังผงะไปเล็กน้อย เกิดอะไรขึ้นกับเฉินซี?
“ฮึ! ข้าว่าเจ้าบ้าไปแล้วแน่!” เซวี่ยเซียวจื่อหน้าง้ำ คิดไปว่าเฉินซีใช้วาจาเหยียดหยามเขา
เช้ง!
เฉินซีแย้มยิ้ม ไร้วาทะใดอื่นขณะชักกระบี่เปลื้องมลทินออกมา จากนั้นก็ชี้คมสีเขียวเข้มเข้าใส่เซวี่ยเซียวจื่อจากไกล ๆ
จิตสังหารสายหนึ่งพลันแผ่ปกคลุมทั่วฟ้าดิน!
………………..