บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1881 การประลองเพื่อชิงสี่อันดับแรก
บทที่ 1881 การประลองเพื่อชิงสี่อันดับแรก
………………..
บทที่ 1881 การประลองเพื่อชิงสี่อันดับแรก
เมื่อได้ยินเสียงนี้ คิ้วที่ขมวดแน่นของเฉินซีก็คลายลง ในขณะที่สีหน้ากลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง และหันหลังกลับเพื่อลงจากสมรภูมิจารึกเต๋าโบราณอย่างไม่ลังเล
เขาตระหนักอย่างถ่องแท้แล้วว่า เป็นฝีมือของเจ้าสำนักเต๋าที่ช่วยเหลือเซวี่ยเซียวจื่อไว้
ในความเห็นของเฉินซี บางทีเสียงของเจ้าสำนักเต๋าอาจตอบคำถามในใจเขาแล้ว แต่สำหรับผู้บ่มเพาะในโลกภายนอก มันเป็นดั่งเสียงฟ้าร้องที่ทำให้พวกเขาระเบิดความโกลาหลในบัดดล
พวกเขาเปี่ยมไปด้วยความตกตะลึง ความสงสัย ความประหลาดใจ ความกลัว และความเหลือเชื่อ
อารมณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ เปรียบเสมือนพายุที่ถูกระงับมาเป็นเวลานาน และมันพัดผ่านหัวใจของผู้บ่มเพาะทุกคนอย่างรวดเร็ว และเริ่มอุทานด้วยความประหลาดใจ
ฟ้าดินอันกว้างใหญ่นี้ ไม่เงียบงันอีกต่อไป มันเร่าร้อนไปด้วยความตื่นเต้น เสียงของการถกเถียงดังก้อง ราวกับคลื่นยักษ์ที่กลืนกินฟ้าดิน
“เขาแพ้!”
“เซวี่ยเซียวจื่อพ่ายแพ้ภายใต้กระบวนท่าเดียวจริง ๆ!”
“เมื่อครู่นี้เกิดอันใดขึ้น? เหตุใดจึงมีเหตุพิสดารเช่นนี้เกิดขึ้นได้?”
“สวรรค์! การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้เจ้าสำนักเต๋าต้องแทรกแซงเป็นการส่วนตัว! มันช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ!”
“เพียงกระบวนท่าเดียว? เซวี่ยเซียวจื่อกลับไม่สามารถต้านทานได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว หากข้าจำไม่ผิด ถ้าเจ้าสำนักเต๋าไม่สอดมือช่วยเหลือก่อนหน้านี้ เซวี่ยเซียวจื่อคงตายไปนานแล้ว แล้วเขาจะต้านมันได้อย่างไร”
ในขณะนี้ แม้แต่เมืองทศทิศทางก็ยังตกอยู่ในความแตกตื่นครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
การต่อสู้ครั้งนี้น่าตกใจ และพิสดารเกินไป
ก่อนหน้านี้ ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ล้วนรู้สึกว่า เฉินซีเพียงแค่กล่าวพล่อย ๆ ว่าสามารถเอาชนะเซวี่ยเซียวจื่อด้วยกระบวนท่าเดียว ทุกคนต่างรู้สึกว่ามันไร้สาระอย่างยิ่ง
เมื่อรวมกับกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวที่เซวี่ยเซียวจื่อได้เปิดเผยทันทีที่การต่อสู้เริ่มขึ้น และกระบวนท่า ‘กางเขนสังหารสุญตา’ ที่เปี่ยมล้นด้วยพลังสังหาร มันทำให้พวกเขามั่นใจมากขึ้นว่าเฉินซีไม่อาจเอาชัยเหนือเซวี่ยเซียวจื่อด้วยการลงมือเพียงกระบวนท่าเดียว
แต่ใครจะคาดคิดว่าเฉินซีจะทำสำเร็จ!
มิหนำซ้ำ ยังถึงขั้นที่เซวี่ยเซียวจื่อไม่สามารถต้านทานได้แม้แต่น้อย และถูกกำจัดไป!
…
ในขณะนี้ หัวใจของเหลิ่งซิงหุน ตงหวงอิ่นเซวียน คงโหยวหราน เย่เฉิน และคนอื่น ๆ ล้วนแต่ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้
เซวี่ยเซียวจื่อได้พ่ายแพ้แล้ว และนี่คือความจริง
เมื่อเทียบกับเรื่องนั้น พวกเขาต่างให้ความสนใจมากขึ้นว่าเฉินซีเอาชนะเซวี่ยเซียวจื่อได้อย่างไร!
ขอบเขตจักรพรรดิกระบี่ระดับอาจจะไม่สามารถสำแดงอานุภาพดังกล่าวได้ บางทีกุญแจสำคัญในเรื่องนี้ อาจเป็นเพราะมรดกในเต๋าแห่งกระบี่ที่เขาใช้…
เหลิ่งซิงหุนครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ เขาไม่มีเวลาที่จะรู้สึกสงสารเซวี่ยเซียวจื่อ เพราะกระบวนท่ากระบี่ของเฉินซีก่อนหน้านี้ ทำให้เขารู้สึกถึงแรงกดดันที่หนักหน่วงมาก
หากเป็นข้าที่เผชิญกับกระบวนท่านั้น แม้ว่าข้าจะสามารถสกัดกั้นมันได้ แต่ยากจะมั่นใจว่าจะไม่มีกระบวนท่าใดติดตามมา…
ในเวลาเดียวกัน ตงหวงอิ่นเซวียนและคนอื่น ๆ ก็กำลังใคร่ครวญถึงปัญหาเดียวกัน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะถือว่าเฉินซีเป็นคู่ต่อสู้ในจินตนาการของพวกเขา ทั้งยังเปรียบเทียบและวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งของตน
ยิ่งครุ่นคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าใด สีหน้าก็ยิ่งเคร่งเครียดและจริงจังมากขึ้นเท่านั้น พวกเขาไม่กล้าดูแคลนเฉินซีอีกต่อไป ตรงกันข้าม ยังถือเฉินซีเป็นคู่ต่อสู้ตัวฉกาจ และต้องให้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง!
…
โถงบรรจบ
“บัดนี้เป็นดั่งที่สหายเต๋าเล่ยฝูกล่าวจริง ๆ ศึกครั้งนี้น่าเสียดายยิ่ง เจ้าหนูจากนิกายอำนาจเทวะของเจ้าไม่สามารถต้านทานได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว ช่างน่าประหลาดใจเสียจริง” เหวินถิงกล่าวอย่างเฉยเมย แม้ว่าท่าทางของนางจะสงบอย่างสุดขั้วในขณะนี้ แต่ก็ยากที่จะปกปิดความปรีดาในใจได้
เพราะแม้แต่นางก็ยังตกใจกับการแสดงฝีมือของเฉินซี
สีหน้าของเล่ยฝูกลับหมองคล้ำสุดขั้วเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขาเม้มริมฝีปากแน่นและนิ่งเงียบ ความพ่ายแพ้ของเซวี่ยเซียวจื่อทำให้เขาประหลาดใจและสับสนเช่นกัน ยามนี้เมื่อเขาได้ยินคำถากถางของเหวินถิง ไหนเลยที่เขาจะมีอารมณ์โต้เถียงกับนางได้
…
“เขาชนะ! เฉินซีชนะ!” เซินถูเยียนหราน เล่ออู๋เหิน อวี๋ชิวจิง จวนอวี๋สุ่ย และคนอื่น ๆ กล่าวขึ้นด้วยความยินดี และพวกเขาไม่สามารถระงับความตื่นเต้นในใจได้
ที่บริเวณรับชม จักรพรรดิเจิ้นอู่พึมพำ “ชื่อเสียงของกระบี่เปลื้องมลทินไม่ได้มัวหมองเมื่ออยู่ในมือของเขาเลย!”
ในขณะนี้ ดูเหมือนว่าเฉินซีจะกลายเป็นศูนย์กลางของความสนใจ มันทำให้อำนาจและอิทธิพลของเขาแข็งแกร่งขึ้น ทั้งยังเปล่งประกายเจิดจ้าบนนภาราวกับตะวันยามเที่ยงวัน!
ในทางกลับกัน เซวี่ยเซียวจื่อที่พ่ายแพ้ยังคงมีสีหน้าซีดเผือดอย่างน่าสยดสยอง โดยที่ยืนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าหงุดหงิดและหดหู่
ณ เวลานี้ บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยชีวิตชีวา แต่ดูเหมือนผู้คนในโลกนี้ได้ลืมเขาไปแล้ว
…
ไฮว่คงจื่อส่ายหน้าและตื่นขึ้นมาจากความคิดที่มึนงงเล็กน้อย
เขายังรู้สึกประหลาดใจกับการแสดงฝีมือของเฉินซีเช่นกัน แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดมากขึ้น เพราะการต่อสู้เมื่อครู่นี้ เจ้าสำนักเต๋าได้สอดมือแทรกแซง!
เห็นได้ชัดว่าเจ้าสำนักเต๋ามองออกว่าเซวี่ยเซียวจื่อไม่สามารถต้านทานการโจมตีนั้นได้ แต่ในฐานะบุคคลที่รับผิดชอบการถกวิถีเต๋าเขา ไฮว่คงจื่อไม่อาจช่วยเหลือได้ทันเวลา ดังนั้นมันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะละอายใจ และไม่สบายใจเล็กน้อย
แต่กระนั้น สิ่งนี้ก็ชี้ให้เห็นชัดว่าการโจมตีของเฉินซีนั้นพิเศษเพียงใด เพราะมันทำให้จักรพรรดิอย่างไฮว่คงจื่อไม่อาจตอบสนองได้ทันเวลา
ฮู่~
ไฮว่คงจื่อพ่นลมหายใจยาว จากนั้นก็สงบสติอารมณ์ลง
การประลองคู่ที่เจ็ดในรอบที่สองของการถกวิธีเต๋าได้สิ้นสุดลงแล้วในขณะนี้ ชื่อของบรรดาศิษย์ทั้งเจ็ดที่ได้รับชัยชนะในรอบนี้ ได้แก่ เหลิ่งซิงหุน ตงหวงอิ่นเซวียน คงโหยวหราน เย่เฉิน หวังจง อวี้จิ่วหุย และเฉินซีตามลำดับ
ในบรรดาเจ็ดคนนี้ มีศิษย์สำนักเต๋าอยู่สองคน และเห็นได้ชัดว่ามีโอกาสสูงที่จะเป็นผู้ชนะในรอบที่สาม
แน่นอนว่าเขาเทพพยากรณ์ก็มีความได้เปรียบเช่นกัน เพราะนอกจากเฉินซีแล้ว กู่เยี่ยนยังเข้าสู่รอบที่สามได้อย่างราบรื่น
แต่นี่เป็นเพียงรอบที่สองของการถกวิถีเต๋า ดังนั้นความได้เปรียบดังกล่าวหาได้สำคัญไม่ เนื่องจากการต่อสู้ที่แท้จริงจะเริ่มขึ้นในการถกวิถึเต๋ารอบที่สาม!
สำหรับรายชื่อของศิษย์ที่พ่ายแพ้ในการถกวิถีเต๋ารอบที่สองนั้น ตามลำดับได้แก่ ฉินซินฮุย สืออวี๋ จูเชี่ยนอวี้ ฟางฉงเฟิง เจียหนาน เฟิงจงเจ๋อ และเซวี่ยเซียวจื่อ
ในหมู่พวกเขา ศิษย์ที่ผู้ชมรู้สึกสงสารมากที่สุดคือ สืออวี๋ จูเชี่ยนอวี้ และเจียหนาน เพราะตามพลังฝีมือที่พวกเขาได้เผยออกมานั้น ความแข็งแกร่งของพวกเขาล้วนเหนือกว่าฉินซินฮุย ฟางฉงเฟิง เฟิงจงเจ๋อ และคนอื่น ๆ อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะคู่ต่อสู้ของพวกเขาน่าสะพรึงเกินไป
ในทางกลับกัน ศิษย์ที่ผู้คนสมเพชมากที่สุดในรอบนี้ ย่อมคือเซวี่ยเซียวจื่ออย่างแน่นอน เพราะเขาไม่สามารถต้านทานกระบวนท่าได้แม้แต่กระบวนเดียว และสิ่งนี้เกินความคาดหมายของทุกคน
การประลองครั้งนี้เอง ที่ทำให้เฉินซีสามารถปราบผู้ที่โดดเด่นเหนือคนอื่น ๆ ทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาพวกเขาทั้งหมด
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ทั้งหมดนี้ก็ได้จบลงแล้ว และการประลองรอบต่อไปก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นการเริ่มต้นใหม่สำหรับเฉินซีและคนอื่น ๆ ที่ก้าวเข้าสู่รอบที่สามอย่างราบรื่น
…
“บัดนี้ ข้าขอประกาศว่าการถกวิถีเต๋ารอบย่อยที่สามได้เริ่มขึ้นแล้ว!
“การประลองในรอบนี้จะไม่เหมือนในรอบที่แล้ว และจะประลองในสมรภูมิปิด โลกภายนอกจะสามารถรับชมการต่อสู้ได้ แต่ผู้เข้าร่วมการถกวิถีเต๋าจะไม่สามารถเห็นการต่อสู้ของผู้อื่นได้”
“เช่นเคย คู่ต่อสู้ของเจ้าจะถูกตัดสินโดยการจับสลาก ในท้ายที่สุด บรรดาพวกเจ้าทั้งแปดจะมีสี่คนที่เข้าสู่รอบถัดไป”
ไฮว่คงจื่อกล่าวด้วยเสียงทุ้มลึก และประกาศรายละเอียดของการถกวิถีเต๋ารอบย่อยที่สาม เสียงของเขาก้องกังวานไปทั่วฟ้าดิน และดึงดูดความสนใจของผู้คน
จากที่ฟังการต่อสู้กำลังดำเนินในสมรภูมิปิด ฟังดูน่าสงสัยจริง ๆ
กล่าวง่าย ๆ ก็คือ หลังจากที่เฉินซีและคนอื่น ๆ ได้คู่ต่อสู้ของตนแล้ว ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการประลองที่จัดขึ้น จะไม่สามารถเห็นการประลองของคู่อื่นได้
แน่นอนว่าผู้บ่มเพาะในโลกภายนอกสามารถรับชมได้อย่างชัดเจน
“การทำเช่นนี้ค่อนข้างแปลกเล็กน้อย หรือว่าพวกเขาเกรงว่าศิษย์คนอื่น ๆ ที่เข้าร่วม จะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างจากประลอง?”
“ย่อมใช่แน่นอน เนื่องเพราะพวกเขาอาจใช้ไพ่ตายในระหว่างการประลอง และหากผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ เห็นการประลองเหล่านี้ ก็จะเท่ากับสูญเสียความได้เปรียบในการประลองหลังจากนี้ไป”
“ถูกต้อง หากผู้อื่นคิดหาวิธีรับมือไพ่ตายของพวกเขาได้ มันก็จะไม่ใช่ไพ่ตายอีกต่อไป”
“แต่ข้ากลับไม่คิดว่ามันง่ายขนาดนั้น”
บรรดาผู้ชมล้วนพูดคุยกันอย่างมีชีวิตชีวา
เฉินซีและผู้เข้าร่วมคนอื่น ๆ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสับสนในใจเมื่อได้ยินกฎกติกาเหล่านี้
แต่เมื่อพวกเขาไตร่ตรองอย่างรอบคอบ หากพวกเขาประลองตามกฎกติกาเหล่านี้ มันจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาทั้งหมดอย่างชัดเจน ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถยอมรับได้
เหตุผลนั้นง่ายมาก เนื่องเพราะพวกเขาไม่เต็มใจที่จะเผยไพ่ตายของตนแก่ใครก็ตาม นอกจากคู่ต่อสู้ของตน
เช่นเดียวกับการต่อสู้ระหว่างเฉินซีและเซวี่ยเซียวจื่อ อานุภาพเพลงกระบี่ของเขาได้ทำให้ทุกคนตกตะลึง ซึ่งเหลิ่งซิงหุนและคนอื่น ๆ ก็ได้เห็นมันอย่างชัดเจน ดังนั้นพวกเขาจึงทำการเปรียบเทียบในใจและคิดถึงกลยุทธ์ในการรับมือกับมัน เพื่อหลีกเลี่ยงความประหลาดใจเมื่อปะทะกับเฉินซี
“เอาละ เริ่มจับฉลากได้!” ไฮว่คงจื่อดึงตะเกียงทองสัมฤทธิ์โบราณออกมาอีกครั้ง เปลวไฟภายในตะเกียงก็เปล่งประกายอันบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ออกมา
เฉินซี เหลิ่งซิงหุน ตงหวงอิ่นเซวียน คงโหยวหราน เย่เฉิน หวังจง อวี้จิ่วหุย และกู่เยี่ยนก้าวไปข้างหน้า จากนั้นจึงเลือกเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์จากภายในตะเกียง แล้วพลันกลืนพวกมันลงไป
ในไม่ช้า ดวงแสงศักดิ์สิทธิ์ที่มีสีต่าง ๆ ก็พุ่งออกมาจากร่างพวกเขา
มันมีทั้งหมดสี่สี ศิษย์แต่ละคู่จะมีสีเดียวกัน และแบ่งพวกเขาออกเป็นสี่กลุ่ม
คู่ต่อสู้ของเฉินซีคือหวังจง
คู่ต่อสู้ของเหลิ่งซิงหุนคือกู่เยี่ยน
คู่ต่อสู้ของคงโหยวหรานคืออวี้จิ่วหุย
คู่ต่อสู้ของตงหวงอิ่นเซวียนคือเย่เฉิน!
ความแตกตื่นครั้งใหญ่ปะทุขึ้นทันที เมื่อรายการประลองรอบที่สามถูกเปิดเผย ทำให้เสียงถกเถียงดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ
“ม้ามืดอย่างหวังจงได้ปะทะกับเฉินซีจริง ๆ พวกเจ้าทุกคนคิดว่าเขาจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้อีกครั้ง และก้าวเข้าสู่สี่อันดับแรกได้อย่างราบรื่นหรือไม่”
“นึกไม่ถึงว่าศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักเต๋าอย่างเย่เฉินจะปะทะกับตงหวงอิ่นเซวียนศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักศักดิ์สิทธิ์ ช่างน่าสนใจจริง ๆ”
“เมื่อเทียบกันแล้ว ข้ารู้สึกคาดหวังต่อการประลองระหว่างเหลิ่งซิงหุนและกู่เยี่ยน!”
“เฮ้อ ช่างน่าเสียดาย เดิมทีข้ารอคอยที่จะได้เห็นอัจฉริยะอย่างคงโหยวหรานปะทะกับเหลิ่งซิงหุน ผู้ใดจะคาดคิดว่าคู่ต่อสู้ของนางจะเป็นอวี้จิ่วหุยแทน”
“อย่าได้ประมาทอวี้จิ่วหุย! ทุกคนที่สามารถก้าวขึ้นสู่แปดอันดับแรกล้วนเป็นบุคคลที่ไม่มีใครเทียบได้ ซึ่งล้วนแต่จะกลายเป็นผู้นำของผู้บ่มเพาะรุ่นใหม่ได้!”
ผู้ชมทุกคนต่างตื่นเต้นและเต็มไปด้วยความคาดหวัง มีเพียงสืออวี๋เท่านั้นที่รู้สึกหดหู่เล็กน้อย เพราะเขาวางเดิมพันด้วยสมบัติวิญญาณธรรมชาติสองชิ้นไว้ที่เฉินซี แต่คู่ต่อสู้ของเฉินซีในครั้งนี้กลับไม่ใช่ตงหวงอิ่นเซวียน….
“การประลองคู่แรก ตงหวงอิ่นเซวียนปะทะเย่เฉิน!”
ในไม่ช้า ไฮว่คงจื่อได้ประกาศเริ่มการประลองคู่แรก “สำหรับผู้เข้าร่วมอีกหกคน พวกเขาจะมุ่งหน้าไปยังแดนวสันต์โบราณเพื่อพักผ่อนและฟื้นพลัง!”
ขณะที่กล่าว เขาก็สะบัดแขนเสื้อวูบหนึ่ง และประตูลึกลับก็เปิดขึ้นกลางอากาศ เพื่อให้เฉินซีและผู้เข้าร่วมอีกห้าคนเข้าไป
………………..