บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1882 ผู้กอบกู้แห่งยุค
บทที่ 1882 ผู้กอบกู้แห่งยุค
………………..
บทที่ 1882 ผู้กอบกู้แห่งยุค
พริบตานั้น เฉินซีก็มาถึงภายในแดนวสันต์โบราณอีกครั้ง
ซึ่งไม่เหมือนกับตอนที่บ่มเพาะพลังก่อนหน้านี้ แม้ว่าเขาจะไม่เห็นโลกภายนอก แต่ก็สามารถได้ยินเสียงและคำพูดคุยต่าง ๆ ได้
ได้ยินเสียงพูดคุยของผู้ชม เสียงไฮว่คงจื่อประกาศเรื่องการต่อสู้ และเสียงอื่น ๆ อย่างเสียงถอนหายใจ เสียงจอกเหล้ากระทบกัน และเสียงอื่น ๆ เขาล้วนได้ยินทั้งหมด
มันเป็นความรู้สึกที่แปลกยิ่ง ได้ยินแต่ไม่เห็น ทำให้ความคิดจินตนาการแล่นไปไกล
กฏเหล่านี้… แปลกประหลาดยิ่งนัก เฉินซีคิดอยู่เล็กน้อย ก่อนเขาจะส่ายหน้าแล้วนั่งขัดสมาธิกับพื้น
เขาสังเกตได้ว่าพลังแห่งเวลาในแดนวสันต์โบราณไม่ได้ช้ากว่าแต่อย่างใด เทียบเท่ากับโลกภายนอกเลยทีเดียว
เห็นได้ชัดว่าเจ้าสำนักเต๋าคงจะคอยควบคุมพลังแห่งเวลาของที่นี่ไว้
ตู้ม!
ไม่นานก็ได้ยินเสียงปะทะดังขึ้นจากโลกภายนอก เป็นเสียงดั่งฟ้าลั่นสนั่นนภา พุ่งออกมาไม่หยุด ฟังดูแล้วน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
แม้จะอยู่ภายในแดนวสันต์โบราณ เฉินซีก็ยังสัมผัสได้ถึงความรุนแรงและความน่ากลัวของการต่อสู้ครั้งนี้ได้
ตงหวงอิ่นเซวียนและเย่เฉินเริ่มต่อสู้กันแล้ว! พริบตานั้น เฉินซีก็สัมผัสได้ แต่ไม่อาจเดาจากเสียงได้เลยว่าสถานการณ์ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง
ยกตัวอย่างเช่น ไม่รู้เลยว่าพวกเขาใช้วิชาอะไรกันอยู่ ใช้การต่อสู้แบบใด ใช้สมบัติศักดิ์สิทธิ์อะไร…. ทั้งหมดนี้เขาไม่อาจรู้ได้เลย
เฉินซีจึงได้แต่ขมวดคิ้ว สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วหยุดคิดเรื่องนั้นไป
เขารู้ดีว่านี่เป็นสิ่งที่สำนักเต๋าต้องการ เพื่อไม่ให้ใครได้เห็นสถานการณ์การต่อสู้ทั้งนั้น
“สวรรค์โปรด! นี่มันวิชาอะไรกัน? แกร่งกล้าเกินไปแล้ว!”
“ดูสิ! เย่เฉินต้านทานไว้ได้ด้วย! นี่… นี่… นี่มัน…. เหลือเชื่อจริง”
“สุดยอดไปเลย พวกเขาเหนือกว่าที่จินตนาการไว้เสียอีก การต่อสู้นี้น่าตื่นตากว่าการต่อสู้สองรอบที่แล้วอีกนะ”
“นี่คือฝีมือที่แท้จริงของพวกเขาหรือ….”
แม้จะคงความสงบไว้ในใจได้ แต่ก็ไม่อาจหยุดความคิดได้ แต่ต่อให้คิดอย่างไรก็ไม่รู้สถานการณ์ภายนอกอยู่ดี
ความคิดทั้งหลายค่อย ๆ เติบใหญ่ขึ้นภายในจิตใจ จิตที่คิดมีผลต่อความแกร่ง ทว่าก็ไม่อาจเป็นประโยชน์ต่อเขาได้
หากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็จะส่งผลกระทบต่อดวงจิตแห่งเต๋า!
เหมือนกับว่ามีปีศาจภายในกำลังปรากฏกายขึ้นท่ามกลางการทำสมาธิ คอยกัดกินจิตใจโดยไม่ทันรู้ตัว หากหนักเข้าก็อาจทำให้ธาตุไฟเข้าแทรกได้ทีเดียว
ฟืด~
ในจังหวะนั้นเอง เฉินซีก็สูดลมหายใจเข้าลึก ในใจเกิดความคิดเฉียบขาดสายหนึ่งขึ้น ก่อนมันจะเปลี่ยนเป็นกระบี่แห่งดวงปัญญา สะบั้นเอาความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลายจนกระจายหายไป
พริบตานั้น ถึงแม้ว่าเสียงจากโลกภายนอกจะยังดังอื้ออึงไม่หยุด แต่เฉินซีก็ไม่เอาสัมผัสไปจับกับมัน จึงไม่ได้รับผลกระทบจากมันอีกต่อไป
การต่อสู้พวกนั้นไม่เกี่ยวข้องกับข้า ข้าเพียงแต่ต้องตั้งมั่นต่อจิตใจตนเองเท่านั้น อย่างคำที่เขาว่า แม้พายุจะโหมกระหน่ำ แต่ข้าก็จะไม่ไหวหวั่น
เฉินซีจึงไม่สนใจโลกภายนอกอีก สีหน้านิ่งสงบ ความคิดกระจ่างใส ฉวยจังหวะนี้เข้าสู่สมาธิ
ตอนนี้ไม่ใช่เพียงเฉินซีที่สังเกตเห็นว่าสถานการณ์ดูไม่สู้ดี คนอื่น ๆ เองก็เช่นกัน พวกเขาพากันสะบั้นความฟุ้งซ่านจากโลกภายนอกออกแล้วเริ่มนั่งสมาธิ
ยอดฝีมือเช่นพวกเขามีปัญญาฉลาดล้ำลึกเหนือกว่าใคร ดังนั้นจึงสามารถตัดสินใจทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับตนมากที่สุดได้
เหมือนอย่างที่ทำอยู่ตอนนี้
…
เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ ก็พลันได้ยินเสียงดังขึ้น
“การต่อสู้ครั้งแรกเป็นของตงหวงอิ่นเซวียน!”
โลกภายนอกพากันตื่นเต้นสุดขีด
เฉินซีลืมตาขึ้น จากนั้นหลับตาลงอีกครั้ง เป็นดั่งรูปปั้นที่เผยสีหน้าสงบสุขุม
…
สองวันต่อมา
น้ำเสียงสูงของไฮว่คงจื่อดังขึ้นอีกครั้ง “การต่อสู้ครั้งที่สองเป็นของคงโหยวหราน!”
เสียงดังครึกครื้นของฝูงชนดังขึ้นหลังสิ้นเสียงไฮว่คงจื่อ เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ครั้งนี้สร้างความตกตะลึงให้ผู้ชมมากมายแค่ไหน
แต่ในจังหวะนี้ เรื่องทั้งหมดก็คล้ายกับเงามืดที่วาดผ่านกายไป ไม่อาจส่งผลกระทบอะไรต่อเฉินซีได้เลย
ถึงขั้นที่ไม่ลืมตามาแม้สักครั้งเดียวด้วยซ้ำ
…
วันเวลาผันผ่าน เวลาสามวันผ่านไปแล้ว
การต่อสู้ครั้งที่สามจบลงแล้ว เหลิ่งซิงหุนคว้าชัยชนะไปได้
ตอนนี้การต่อสู้สามรอบแรกได้จบลงเรียบร้อยแล้ว
หลังจากการต่อสู้ของกู่เยี่ยนและเหลิ่งซิงหุนจบลงแล้ว เฉินซีก็ลืมตาแล้วลุกขึ้นยืนอย่างเงียบเชียบ
ถึงแม้ว่ากู่เยี่ยนจะพ่ายแพ้ไป ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าเย่เฉินและอวี้จิ่วหุยเองก็พ่ายแพ้ให้ตงหวงอิ่นเซวียนและคงโหยวหราน แต่สีหน้าเขาก็ยังคงความสงบดั้งเดิมไว้
วิ้ง!
ปรากฏคลื่นพลังผันผวนขึ้น จากนั้นประตูลึกลับก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเฉินซี
ในที่สุดก็ถึงตาข้างั้นสินะ…. เฉินซีพึมพำ จากนั้นก็ก้าวเข้าสู่ประตูแล้วหายไปในพริบตา
…
“น่าเสียดาย! น่าเสียดายจริง! อีกนิดเดียวกู่เยี่ยนก็ชนะแล้วแท้ ๆ!”
“น่าเสียดายอย่างที่เจ้าว่า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหลิ่งซิงหุนเองก็แกร่งไม่ใช่น้อย ใครจะไปคิดว่าเขาจะมีไพ่ตายซ่อนไว้มากขนาดนั้น?”
“เหลือแค่การต่อสู้ครั้งสุดท้ายแล้ว หากเฉินซีแพ้ไปอีก ศิษย์เขาเทพพยากรณ์และสำนักเต๋าก็คงไม่อาจขึ้นสู่สี่อันดับแรกได้แล้ว”
“ก็พูดยาก หวังจงนับว่าเป็นม้ามืดที่มีฝีมือไม่น้อย ไม่แน่ว่าเขาอาจจะชนะเฉินซีไปก็ได้”
“ตลกแล้ว! คนก็เห็นท่ากระบี่ที่เฉินซีใช้เอาชนะเซวี่ยเซียวจื่อมาแล้ว หวังจงคงต้านไม่ไหวหรอก”
เมื่อเฉินซีออกมาปรากฏยังโลกภายนอก ก็ได้ยินเสียงพูดคุยทั้งหลายตีเข้ากลางแสงหน้า เหมือนเพิ่งออกจากโกรกผาอันเงียบสงบมายังถนนอันพลุกพล่านบนโลกมนุษย์
โลกภายนอกดูครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าเฉินซีกับหวังจงจะขึ้นสมรภูมิจารึกเต๋าโบราณมาพร้อมกันแล้ว แต่เสียงพูดคุยก็ยังไม่เพลาลง ทั้งยังหนาแน่นขึ้นด้วยซ้ำ
เฉินซียังคงไม่เปลี่ยนสีหน้า ราวกับว่าเรื่องทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องกับเขาแต่อย่างไร
“หืม?” ทันใดนั้น กู่เยี่ยนที่ยืนอยู่ไกล ๆ ก็ดึงความสนใจเขาไปได้
ตอนนี้ทั่วร่างกู่เยี่ยนชุ่มไปด้วยเลือด ใบหน้าซีดขาวเป็นอย่างยิ่ง แม้จะนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นร่างก็ยังสั่นสะท้านให้เห็น เหมือนกำลังอดกลั้นความเจ็บปวดสาหัสอยู่
จึงทำให้เฉินซีต้องหรี่ตาลง รู้ทันทีว่ากู่เยี่ยนบาดเจ็บ ใกล้จะสิ้นสติเต็มทน!
ฟึบ!
เฉินซีหันไปมองอีกด้าน เห็นเหลิ่งซิงหุนยืนเอามือไพล่หลังท่าทางองอาจ ใบหน้าเยือกเย็นเย่อหยิ่ง เพียงแต่ดูซีดขาวอยู่เล็กน้อยเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้กับกู่เยี่ยนก็คงทำให้เขาล้าไปไม่น้อยเช่นกัน แต่หากเทียบกับกู่เยี่ยนแล้วก็ไม่นับว่าบาดเจ็บหนักอะไร
“เฉินซี” ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลังเฉินซี
เฉินซีหันไปมองก็เห็นเย่เฉินนั่งขัดสมาธิอยู่ไกล ๆ หากแต่สองตากำลังมองมา
“ถึงแม้ว่าข้าจะไม่มีโอกาสได้ต่อสู้กับเจ้าในการถกวิถีเต๋าแล้ว แต่หากเจ้าเอาชนะตงหวงอิ่นเซวียนในการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึงนี้ได้ ก็นับว่าตัดสินได้แล้วว่าระหว่างเราใครแกร่งกว่า” เย่เฉินเองก็มีใบหน้าซีดเซียวเช่นกัน แต่นัยน์ตายังคงสว่างใส รอยยิ้มสบายใจยังประดับอยู่มุมปาก “แต่เจ้าต้องเอาชนะไปให้ได้นะ”
เฉินซีพยักหน้ารับ “ข้าจะสู้สุดฝีมือ”
เย่เฉินยิ้มกล่าว “จำที่ข้าบอกตอนนั้นได้หรือไม่ ทั้งโลกนี้มีเจ้า เฉินซี เจ้าเพียงคนเดียวที่ข้าอยากต่อสู้ด้วย ฉะนั้นอย่าทำให้ข้าผิดหวัง”
เฉินซียิ้ม “ทำเอากดดันเลยนะเนี่ย”
เย่เฉินหัวเราะ จากนั้นไม่พูดอะไรอีก
“ดูแลเขาดี ๆ เล่า” เฉินซีเดินมาข้างกายถูเมิ่งแล้วมองไปทางกู่เยี่ยน เขาเงียบไปเล็กน้อยก่อนตบไหล่ถูเมิ่งแล้วสั่งเสียงทุ้ม
“อาจารย์อาไม่จำเป็นต้องห่วงไป” ถูเมิ่งเอ่ยเสียงจริงจัง
เฉินซีจึงพยักหน้าให้ จากนั้นก็ทอดสายตาไปไกล หวังจงกำลังยืนเอามือไพล่หลัง ท่าทางเหมือนคุณชายสูงศักดิ์ผู้หนึ่งจากโลกมนุษย์
เมื่อสังเกตเห็นสายตาของเฉินซี หวังจงก็ส่งยิ้มบางมา แล้วมองมาทางเขาเช่นกัน
สายตาพวกเขาประสานกัน แม้ว่าจะไม่ได้พูดคุยหรือเปล่งกลิ่นอายดุดันใส่กัน แต่ก็มีกลิ่นอายเหี้ยมบางอย่างปรากฏขึ้นมาให้สัมผัสได้โดยรอบ!
จังหวะนี้เสียงพูดคุยทั้งหลายก็เงียบเลยในพลัน ใจของใครหลายคนสั่นไหว เหมือนสัมผัสได้ถึงบางอย่าง ก่อนจะส่งสายตามองไปทางเฉินซีและหวังจง
“การต่อสู้ครั้งที่สี่ เฉินซีปะทะหวังจง!” ในพริบตานั้น ไฮว่คงจื่อที่ยืนอยู่หน้าโถงบรรจบก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ น้ำเสียงภูมิฐานดังก้องไปทั่วทั้งฟ้าดิน
ฟ่าว! ฟ่าว!
สิ้นเสียงเขาแล้ว เฉินซีกับหวังจงก็แวบร่างหายไป มาถึงสนามต่อสู้ ยืนกระจันหน้ากันจากที่ไกลทันใด
คนหนึ่งหล่อเหลา โดดเด่น มีท่าทีไม่ธรรมดา อีกคนอยู่ในชุดผ้าปัก สวมหมวกขนนก มีท่าทีสบายอารมณ์ พริบตาเดี๋ยวก็ดึงเอาความสนใจทั้งหมดจากผู้บ่มเพาะภายในเมืองทศทิศไปได้
“การต่อสู้จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว!”
“คงจะเป็นการต่อสู้ที่น่าสงสัยที่สุดแน่ เฉินซีเพิ่งมีชื่อเสียงขึ้นมาเมื่อหลายสิบปีก่อน ก่อนหน้านั้นไม่เคยมีใครรู้จักเขา ส่วนหวังจงก็เช่นกัน เป็นเหมือนม้ามืดที่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นในการถกวิถีเต๋า ทำให้ทุกคนตกตะลึงพรึงเพริดกันไปหมด ไม่รู้ว่าสองคนนี้ต่อสู้กันแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง”
“นั่นสิ ว่าแต่เจ้าสังเกตเห็นเรื่องนี้ด้วยหรือไม่? ความสำเร็จของพวกเขานับตั้งแต่เริ่มการถกวิถีเต๋ามานับว่าเกินคาดไปมาก น่าแปลกที่คนคู่นี้ให้ความรู้สึกเดียวกัน นั่นคือปกปิดความสามารถตนเองไว้ได้ดีมากถึงขั้นที่คนอื่นไม่อาจล่วงรู้ได้เลย นับว่าน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง”
ผู้ชมภายนอกพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ล้วนตั้งตารอชมการแข่งขันกันทั้งสิ้น ด้วยอยากรู้ว่าม้ามืดอย่างหวังจงจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้อีก แล้วผ่านไปได้อีกครั้งหรือไม่ หรือจะต้องหยุดอยู่ที่ตรงนี้
เฉินซียังคงไม่รู้สึกรู้สาอะไร ส่วนหวังจงเองก็ดูไม่ใส่ใจอะไรยิ่งกว่า
เมื่อทั้งสองมาถึงสมรภูมิแล้ว สายตาก็จับจ้องประมาณการกัน
น่าสนใจ ผู้กอบกู้แห่งยุคอีกคนหรือนี่ หวังจงคิดในใจ รอยยิ้มปริศนาปรากฏขึ้นที่มุมปาก จากนั้นพลันเอ่ยขึ้นว่า “เฉินซี ข้าติดตามเจ้ามานานแล้ว”
เฉินซียังคงมีใบหน้าสุขุม แต่ในใจเกิดความเกลียดชังขึ้นมาอย่างหาได้ยาก เป็นสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้
จึงทำให้เขาต้องหรี่ตาลงแล้วพูดขึ้น “เจียหนานเล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังแล้ว”
“อ้อ?” หวังจงเลิกคิ้วขึ้นแล้วมองเฉินซีอีกหน่อย จากนั้นก็ยิ้มสบายอารมณ์ออกมา “วิชา ‘เนตรสวรรค์’ ที่เจียหนานได้จากนิกายพุทธนั้นไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ แต่ข้าไม่ได้มีความลับที่เจ้าอยากได้หรอกนะ”
เฉินซีถอนใจ เขาเพียงแต่ลองเลียบเคียงถามหวังจงก็เท่านั้น ไม่คิดเลยว่าหวังจงจะไม่หลงกลเลย
แต่ยิ่งเป็นเช่น เฉินซียิ่งรู้สึกว่าตัวตนที่แท้จริงของหวังจงคงไม่ใช่แค่ศิษย์จากเกาะคางคกทองเป็นแน่แท้!