บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 192 กระบวนยุทธ์ระดับเต๋า
บทที่ 192 กระบวนยุทธ์ระดับเต๋า
บทที่ 192 กระบวนยุทธ์ระดับเต๋า
ทันใดนั้น เกิดการต่อสู้ระหว่างข้ารับใช้ชุดดำของฉู่เทียนจวี่และเฉินซี ผู้ทรงอำนาจสองคนนั่งตัวตรงในห้องหรูหราที่ชั้นบนสุดของหอขุมทรัพย์สวรรค์ คนผู้หนึ่งเป็นชายชรา อีกคนเป็นหญิงสาวที่งดงามและมากเสน่ห์ ส่วนข้ารับใช้คนอื่น ๆ ทำได้เพียงแค่ยืนอยู่ห่าง ๆ ที่มุมห้องขณะที่พวกเขาเฝ้าดูทั้งสองคนอย่างระมัดระวัง
ในขณะนั้น ม่านภาพขนาดมหึมาได้เคลื่อนมาที่เบื้องหน้าชายชราและหญิงงาม และภาพของเหตุการณ์ในห้องโถงหลักของหอขุมทรัพย์สวรรค์กำลังแสดงอยู่บนนั้น
“ฮึ่ม! ศิษย์ผู้เยาว์ของนิกายนภาจรัสแสงอุกอาจเกินไปจริง ๆ มันกลับกล้าสร้างปัญหาภายในอาณาเขตของข้า! ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าบรรพชนเซวียนหลง ข้าคงหักขามันแล้วโยนออกไปที่ข้างถนนอย่างแน่นอน” ชายชราแค่นอย่างเย็นชา เขามีใบหน้าสูงวัยและสวมหมวกกลมสีดำซึ่งมีหยกฝังอยู่ตรงกลางหมวก เสื้อผ้าของเขาดูเรียบง่าย แต่เผยให้เห็นกลิ่นอายที่สง่าและภาคภูมิเป็นอย่างยิ่ง และเขาคือ ‘เฝิงจวิ้นเหอ’ ผู้เป็นเจ้าของหอขุมทรัพย์สวรรค์แห่งเมืองห้วงทะเลทรายมรณะ
“นิกายนภาจรัสแสง เป็นหนึ่งในนิกายชั้นนำภายในที่ราบตอนกลาง นอกจากนี้ บรรพชนเซวียนหลงยังได้บรรลุขอบเขตเซียนปฐพีขั้นที่สี่แล้ว ดังนั้นการที่จะรุกรานเขาจึงไม่ใช่เรื่องง่าย” หญิงงามที่ยืนเผชิญหน้ากับเฝิงจวิ้นเหอยิ้มอย่างอ่อนหวาน จากนั้นดวงตาที่งดงามของนางก็กวาดมองไปยังม่านแสงก่อนที่จะตกตะลึงและร้องออกมาด้วยความประหลาดใจในทันที “ช่างเป็นเด็กน้อยที่น่าเกรงขาม เขาต่อสู้กับคนสี่คนเพียงลำพัง แต่กลับสามารถเอาชนะศัตรูของเขาได้อย่างง่ายดาย ช่างเหนือความคาดหมายจริง ๆ”
“เขาไม่ธรรมดาจริง ๆ ดัชนีกระบี่ของเขาแฝงไปด้วยเต๋ารู้แจ้งแห่งสายฟ้าและอัคคี นอกจากนี้ กระบวนท่าของเขาก็ทรงพลังราวกับสายฟ้าและโหมกระหน่ำราวกับเปลวไฟ มันช่างวิเศษ รวดเร็วและรุนแรงเป็นอย่างมาก ข้าสงสัยนักว่าผู้เยาว์คนนี้มาจากกองกำลังใด? ด้วยการบ่มเพาะแค่ขอบเขตเคหาทองคำกลับครอบครองพลังที่ทรงอานุภาพเช่นนี้ นับว่าน่าชื่นชมจริง ๆ” เฝิงจวิ้นเหอพยักหน้า
“ท่านหญิง เด็กคนนั้นคือเฉินซี!” ที่มุมห้องที่อยู่ห่างออกไป จู่ ๆ ชายวัยกลางคนก็กล่าวออกมากะทันหัน “ครั้งหนึ่งที่เมืองทะเลหมอก ท่านเคยสั่งให้ข้ามอบตราคำสั่งสมบัติสวรรค์ทองคำม่วงให้แก่เขา หรือว่าท่านหลงลืมไปแล้ว”
ชายวัยกลางคนผู้นี้มีท่าทางที่มั่นคง ดวงตาที่สดใสและเปล่งประกาย หากเฉินซีได้อยู่ที่นี่ เขาจะต้องรำลึกได้อย่างแน่นอนว่า คนผู้นี้คือเล่อฉี ซึ่งเป็นผู้ประเมินที่มากประสบการณ์ของหอขุมทรัพย์สวรรค์แห่งเมืองทะเลหมอก
“โอ้?” หญิงงามลุกนั่งตัวตรงทันที และจดจ้องม่านแสงอย่างระมัดระวัง ดวงตาที่งดงามของนางก็ส่องประกายอย่างไม่ธรรมดาเช่นกัน
ไม่จำเป็นต้องเดา คนผู้นี้ก็คือ ท่านหญิงสุ่ยฮวา ว่ากันว่านางเป็นองค์หญิงแห่งราชวงศ์ซ่งซึ่งมีสถานะสูงส่งและการบ่มเพาะที่ยากจะหยั่งถึง นอกจากนี้สถานะของนางในดินแดนทางใต้ก็นับว่าไม่ธรรมดาเป็นอย่างมาก
“จงตามข้ามาซะ ข้าจะไปพบกับสหายเก่าที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน”
…
ณ ห้องโถงใหญ่ของหอขุมทรัพย์สวรรค์
ฉู่เทียนจวี่โจมตีอย่างโจ่งแจ้ง จึงทำให้บรรยากาศตึงเครียดอีกครั้ง และสายตาของทุกคนก็มาบรรจบกันที่การต่อสู้
‘ช่างเป็นกระบวนท่าที่น่าเกรงขาม!’ ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง ในขณะที่เขาตระหนักได้ทันทีว่า มวลพลังทรงกลมที่ควบแน่นจากแสงสีฟ้าที่ฉู่เทียนจวี่ถืออยู่ในมือนั้น แฝงด้วยปราณพฤกษาครามอย่างมากมายและรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง เต๋ารู้แจ้งประเภทต่าง ๆ กำลังไหลเวียนอยู่ภายในนั้น และมันยังก่อกำเนิดเทพองค์เล็ก ๆ จำนวนนับไม่ถ้วนที่มีกลิ่นอายที่สง่าผ่าเผยในอิริยาบถต่าง ขณะที่พวกมันหมุนวนและเริงระบำไปรอบ ๆ อยู่ภายในมวลพลัง ยิ่งไปกว่านั้น มวลพลังแสงสีครามเป็นดั่งดวงอาทิตย์ที่แผดเผาใส่เฉินซี จนทำให้พื้นที่โดยรอบพังทลายและแตกเป็นเสี่ยง ๆ เนื่องจากไม่สามารถทนต่อแรงกดดันได้
“เขาใช้กระบวนท่ากงจักรสุริยันนภาจรัสแสงซึ่งเป็นเคล็ดวิชายุทธ์ระดับเต๋าของนิกายนภาจรัสแสง! ว่ากันว่า ทุกครั้งที่ผู้บ่มเพาะหยั่งรู้เต๋ารู้แจ้ง จะทำให้พลังของมันเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า การโจมตีของฉู่เทียนจวี่ครั้งนี้แฝงด้วยเต๋ารู้แจ้งทั้งเก้าประเภท แม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางก็ยังไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับมัน เจ้าเด็กที่มีการบ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำน่าจะจบสิ้นแล้ว”
“นี่คือกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าหรือ? นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าพบเจอ มันช่างตรงกับที่คาดเดาไว้ กระบวนยุทธ์ระดับเต๋านั้นลึกซึ้ง ล้ำลึก และยังเชื่อมโยงกับความลับของสวรรค์เมื่อถูกใช้ออกไป ช่างเป็นเคล็ดวิชาชั้นเลิศจากการใช้ประโยชน์เต๋ารู้แจ้งได้อย่างน่ากลัวถึงขีดสุด หากว่าฉู่เทียนจวี่ได้บ่มเพาะกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าจริง ๆ แล้ว เขาจะต้องโดดเด่นในการชุมนุมดาวรุ่งที่จะจัดขึ้นในอีกห้าปีนับจากนี้อย่างแน่นอน”
“แน่นอน กระบวนยุทธ์ระดับเต๋านั้นลึกล้ำและห่างไกลเกินกว่าพวกเราจะเอื้อมถึง อย่างไรก็ตาม ไม่อาจคำนึงถึงคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบ แม้ว่าเคล็ดวิชากระบี่นี้จะทรงพลังและมีกระบวนท่ากระบี่ที่ยิ่งใหญ่ทั้งแปด อีกทั้งแต่ละกระบวนท่ายังแฝงด้วยเต๋ารู้แจ้ง แต่มันก็เป็นหนึ่งในเคล็ดวิชากระบี่ที่บ่มเพาะได้ยากที่สุดในโลก และยังไม่มีผู้ใดสามารถบ่มเพาะได้สำเร็จ เมื่อเทียบกับสิ่งนี้ กงจักรสุริยันนภาจรัสแสงของนิกายนภาจรัสแสง กลับเป็นเคล็ดวิชาการต่อสู้อันล้ำค่าที่ทุกคนต่างก็ปรารถนาถึง”
ในเวลาเดียวกันกับที่ทุกคนกำลังสนทนากัน เฉินซีก็ได้เคลื่อนไหวแล้ว โดยปกติแล้วเขาจะไม่เผชิญหน้าตรง ๆ จึงใช้เคล็ดวาตะเหินทะยานเพื่อทะยานหลบหลีกไปมาดั่งสายฟ้า
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนฉู่เทียนจวี่คาดเดาได้แต่แรกว่าเฉินซีจะต้องหลบเลี่ยง จากนั้นเขาจึงใช้ทักษะการเคลื่อนไหวที่ดูลึกล้ำจนดูเหมือนมังกรและพยัคฆ์กระโจน ในขณะที่เขาเคลื่อนที่ด้วยความรวดเร็ว นอกจากนี้ความเร็วของเขาก็รวดเร็วยิ่งนัก จนไม่ด้อยไปกว่าเคล็ดวาตะเหินทะยานของเฉินซีเลยแม้แต่น้อย
ยิ่งกว่านั้น ทักษะการเคลื่อนไหวชุดนี้ดูเหมือนจะเหมาะกับการต่อสู้ในระยะประชิดอย่างยิ่ง พลังที่น่าสะพรึงกลัวพวยพุ่งออกมาในทุกย่างก้าวของเขาจนเกิดดอกบัวบานที่ผนึกมิติไว้ และเขาก้าวเดินไปหลายครั้ง ซ้ำไปซ้ำมา จนทำให้รัศมีภายในระยะสี่สิบจั้งโดยรอบเฉินซีถูกผนึกอย่างสมบูรณ์!
“กระบวนยุทธ์ระดับเต๋า ย่างก้าวบัวบาน! มันคือแนวกั้นของดอกบัว และหากใครติดอยู่ในนั้น ก็จะเป็นเหมือนสัตว์ร้ายที่ถูกขังอย่างอับจนทาง ได้แต่เฝ้ารอวันตายที่จะมาถึงเท่านั้น!” เสียงอุทานด้วยความตกใจดังขึ้นอย่างกะทันหันจากฝูงชนโดยรอบ และดูเหมือนคนผู้นั้นจะตกใจเป็นอย่างมาก
หัวใจของเฉินซีสั่นสะท้านทันที เนื่องจากเขาเคยได้ยินชื่อเสียงของกระบวนยุทธ์ระดับเต๋ามาก่อน แต่ก็ยังไม่เคยพบเจอ ถึงกระนั้น มันก็ตรงกับที่เขาคาดไว้ อานุภาพของเคล็ดวิชาการต่อสู้ระดับนี้เหนือธรรมชาติ และเป็นเคล็ดวิชาชั้นเลิศที่หลอมรวมเต๋ารู้แจ้งเข้ากับตัวมันเอง จนทำให้มันทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง ทว่ามีเพียงนิกายโบราณบางนิกายเท่านั้นที่จะได้รับสืบทอดเคล็ดวิชาเช่นนี้
นอกจากนี้ หากหยั่งรู้เต๋ารู้แจ้ง แต่กลับไม่รู้วิธีใช้งาน มันก็แทบจะไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง ในขณะที่กระบวนยุทธ์ระดับเต๋านั้นเป็นเคล็ดวิชาการต่อสู้ที่เชี่ยวชาญในการสอนวิธีใช้เต๋ารู้แจ้ง ยกตัวอย่างเช่น คลื่นกระบี่เมฆาพเนจรของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรก็เป็นกระบวนยุทธ์ระดับเต๋า แต่น่าเสียดายที่มันเป็นหนึ่งในสมบัติประจำนิกายของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร และมีเพียงศิษย์ที่แท้จริงเท่านั้นจึงจะสามารถบ่มเพาะได้
เมื่อพิจารณาดูแล้ว ตัวตนของเฉินซีนั้นถือว่าพิเศษ แต่เขากลับไม่ได้เป็นศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ดังนั้นเขาจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะบ่มเพาะมันนั่นเอง
ฉู่เทียนจวี่นั้นทรงพลังอย่างแท้จริง และเขาได้บ่มเพาะกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าถึงสองวิชา แต่ม่านดอกบัวนี้ไม่ใช่เขตแดนเต๋า และอานุภาพของมันก็ห่างชั้นเกินกว่าที่จะเทียบกับเขตแดนเต๋าแห่งการสังหารของหานกู่เยว่
“ต้องการกักขังและฆ่าข้าด้วยสิ่งนี้หรือ? ช่างน่าขบขันเสียจริง!” ดวงตาของเฉินซีทอประกายเยียบเย็น เขากำลังจะใช้กระบวนท่ากระบี่ของคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบอย่างเต็มกำลัง เพื่อที่จะทำลายม่านดอกบัวนี้ และโต้กลับฉู่เทียนจวี่
แต่ทันใดนั้น เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
ร่างที่สง่าและงดงามปรากฏขึ้นในสนามรบอย่างสบาย ๆ และไร้กังวล นางก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า แต่ในความเป็นจริง ความเร็วของนางได้บรรลุถึงระดับที่น่าอัศจรรย์ใจ ทำให้นางข้ามผ่านม่านดอกบัวในทันที และดูเหมือนกับนางกำลังเดินเล่นอย่างสบาย ๆ อยู่ในลานบ้าน
นางดูเหมือนจะไม่เคลื่อนไหวใด ๆ แต่ฉู่เทียนจวี่ก้าวถอยหลังไปมากกว่าสิบก้าวก่อนที่จะหยุด ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาถูกปกคลุมไปด้วยความตกใจและความโกรธ นอกจากนี้ยังร่องรอยของความหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย
เมื่อเฉินซีเห็นสิ่งนี้ เขาก็หยุดการโจมตีทันที ประสบการณ์การต่อสู้ที่เขาได้รับจากการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอย่างนับไม่ถ้วนบอกเขาว่าตราบเท่าที่เขาเคลื่อนไหว เขาจะต้องจบลงแบบเดียวกับฉู่เทียนจวี่ นี่คือความห่างชั้นของการบ่มเพาะที่เขาไม่สามารถเอาชนะได้ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา
“ไม่นึกเลยว่าจะมีผู้บ่มเพาะเช่นนี้อยู่ในหอขุมทรัพย์สวรรค์…” เฉินซีเงยหน้าขึ้นมองและอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเล็กน้อย
ไม่ใช่แค่เฉินซีเท่านั้น ทุกคนในห้องโถงหลักของหอขุมทรัพย์สวรรค์ ต่างก็ตกตะลึงต่อร่างอันงดงามที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน และใบหน้าของพวกเขายังฉายแววตกใจระคนหวาดกลัว
คนผู้นี้คือโฉมสะคราญงามเลิศยิ่ง นางสวมชุดยาวสีม่วงเข้มที่ปักด้วยหงส์เพลิงอมตะ ดวงตาที่ชี้ขึ้นเล็กน้อยของนางใสกระจ่างเหมือนกับน้ำ หน้าตาของนางงดงาม ผิวขาวเนียนเหมือนไขมันเกาะและอ่อนนุ่มเหมือนน้ำ ผมสีดำขลับของนางเป็นลอนคลื่นราวกับก้อนเมฆขณะที่ปล่อยสยายลงมาบนไหล่ของนางอย่างหลวม ๆ รูปร่างของนางสง่างามและไม่มีใครเทียบได้ อีกทั้งยังเปล่งประกายเสน่ห์ที่น่าสะพรึงกลัว นางเป็นเหมือนความงามที่สามารถทำลายทั้งดินแดน เมื่อสายตาของนางกวาดผ่านไป มันก็สามารถฉุดกระชากจิตวิญญาณของผู้อื่นออกไปได้
“ท่านหญิงสุ่ยฮวา! สวรรค์! ข้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหม”
“อา! เป็นนางจริงหรือ? ความงามที่เย้ายวนไร้ที่เปรียบ ซึ่งมีข่าวลือว่านางมีสายเลือดของราชวงศ์ซ่งที่ยิ่งใหญ่และครอบครองการบ่มเพาะที่ยากจะหยั่งถึง?”
“เหตุใดท่านหญิงสุ่ยฮวาถึงมาปรากฏตัวที่นี่? นางเก็บตัวอยู่ในเมืองทะเลหมอกมาโดยตลอดไม่ใช่หรือ?”
“เขาทำให้ท่านหญิงสุ่ยฮวาปรากฏตัว ฉู่เทียนจวี่สะดุดเข้ากับตอแล้วในครั้งนี้ ไม่เพียงเสียหน้าเท่านั้น ยังเป็นไปได้ที่เขาจะถูกลงโทษอย่างรุนแรงจากหอขุมทรัพย์สวรรค์…”
“ท่านหญิงสุ่ยฮวาหรือ?”
หัวใจของเฉินซีสั่นไหวขณะที่เขาคิดกับตัวเอง ‘ด้วยตัวตนของนาง ก็ไม่มีความจำเป็นที่นางจะต้องปรากฏตัวเป็นการส่วนตัวเพื่อข้อพิพาทเพียงเล็กน้อยเช่นนี้ เหตุใดนางถึงมาที่นี่ได้?’
“เอาล่ะ เจ้าชื่อฉู่เทียนจวี่ใช่ไหม? หอขุมทรัพย์สวรรค์ของเราไม่ต้อนรับเจ้า ถ้าเจ้าจากไปตอนนี้ ครั้งนี้ข้าจะยกโทษให้แก่เจ้า” ท่านหญิงสุ่ยฮวาชำเลืองมองไปที่ฉู่เทียนจวี่และแม้ว่าน้ำเสียงของนางจะเฉยเมย แต่ก็แฝงด้วยอำนาจเหนือซึ่งไม่อนุญาตให้ละเมิดคำกล่าวของนาง
“วันนี้ผู้น้อยก่อความวุ่นวายครั้งใหญ่ และข้าจะขอโทษอย่างเป็นทางการต่อท่านหญิงสุ่ยฮวาในภายหลัง” เมื่อเขาเห็นท่านหญิงสุ่ยฮวา สีหน้าของฉู่เทียนจวี่ผันผวนไปมาอย่างไม่มีสิ้นสุด หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ประสานมือของเขา จากนั้นก็นำหญิงสาวสองคนที่มีใบหน้าซีดเซียวด้วยความกลัวและข้ารับใช้ในชุดดำทั้งสี่คนรีบจากไป
ท่านหญิงสุ่ยฮวาหันกลับไปมองที่เฉินซี จากนั้นประเมินฉินซีตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนหวานและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะผ่านกระแสปราณว่า “มาเถอะ เพื่อแสดงความขอโทษจากหอขุมทรัพย์สวรรค์ ข้าจะพาเจ้าไปที่ห้องรับรองเป็นการส่วนตัวเอง”
สตรีนางนี้มีความงามที่มีเสน่ห์จนสามารถพลิกฟ้าดินได้ แค่สีหน้าและรอยยิ้มของนางก็สามารถทำให้สวรรค์และโลกนี้มืดมน ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อนางหัวเราะ น้ำเสียงของนางกลับทุ้มและแหบแห้งซึ่งเย้ายวนใจเป็นอย่างมาก หากผู้ใดได้ยินก็รู้สึกเหมือนกับถูกอุ้งตีนแมวข่วนเข้าที่หัวใจ ทำให้เลือดลมพลุ่งพล่านและอดไม่ได้ที่จะเกิดตัณหา
อย่างไรก็ตาม เฉินซีกลับระแวดระวังเป็นอย่างมาก เนื่องจากเขารู้สึกว่าทัศนคติของท่านหญิงสุ่ยฮวาที่ปฏิบัติต่อเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ และดูเหมือนว่านางจะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเขาได้อย่างหมดจดมาตั้งแต่ต้นแล้ว
“นายน้อยเฉิน นายหญิงของข้าไม่มีเจตนาร้ายอย่างแน่นอน ตราคำสั่งสมบัติสวรรค์ทองคำม่วงที่เจ้าครอบครองก็เป็นสิ่งที่นายหญิงของข้ามอบให้” ในขณะนี้ ชายวัยกลางคนที่มีท่าทางมั่นคงได้กล่าวผ่านกระแสปราณออกไป
เฉินซีเงยหน้าขึ้นมองและจดจำบุคคลนี้ได้ในทันที ว่าเขาคือ เล่อฉี ผู้ประเมินที่เคยช่วยประเมินวัตถุวิญญาณจำนวนหนึ่งให้แก่เขา เมื่อครั้งที่อยู่ในหอขุมทรัพย์สวรรค์ของเมืองทะเลหมอก
“เอาล่ะ วิธีที่ดีที่สุดในการแสดงความเคารพคือการตกลง ขอบคุณท่านหญิงสำหรับความเมตตาของท่าน” เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยทันที เขาต้องการทราบเช่นกันว่าทำไมหญิงสาวผู้งดงามแทบตายคนนี้ถึงมอบตราคำสั่งสมบัติสวรรค์ทองคำม่วงให้แก่เขาและยังออกหน้าเพื่อช่วยเขาในตอนนี้
ท่านหญิงสุ่ยฮวายิ้มอย่างอ่อนหวาน และนางไม่กล่าวอะไรอีกก่อนที่จะเดินขึ้นบันไดไปอย่างสง่างาม
“บัดซบ! เราประเมินผิด! แท้จริงแล้วแล้วเจ้าเด็กนี้แกล้งอ่อนแอมาโดยตลอด”
“เห็นได้ชัดว่าเจ้าเด็กคนนี้มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับท่านหญิงสุ่ยฮวา หรือว่าเขาจะเป็นเชื้อพระวงศ์แห่งราชวงศ์ซ่ง?”
“เฮ้ ข้ารับใช้หญิงตรงนั้น! ข้าจะให้วารีวิญญาณแก่เจ้าหนึ่งร้อยจิน หากเจ้าเล่าเกี่ยวกับตัวตนของเด็กคนนั้นให้ข้าฟัง ตกลงไหม”
ไม่นานหลังจากที่เฉินซีจากไปพร้อมกับท่านหญิงสุ่ยฮวา ห้องโถงใหญ่ของหอขุมทรัพย์สวรรค์ทั้งห้องก็เกิดความโกลาหลจากการที่ทุกคนพูดคุยกันอย่างมีชีวิตชีวา และข้ารับใช้หญิงที่นำพาเฉินซีเข้าไปในหอขุมทรัพย์สวรรค์ ก็ถูกรายล้อมไปด้วยผู้คน เนื่องจากพวกเขาพยายามสอบถามเกี่ยวกับตัวตนของเฉินซี
แต่ข้ารับใช้หญิงเช่นนี้จะรู้เกี่ยวกับภูมิหลังของเฉินซีได้อย่างไร? และถึงแม้ว่านางจะรู้ แต่นางก็คงไม่กล้าตอบอยู่ดี เพราะนางตระหนักได้ว่าชายหนุ่มที่ชื่อเฉินเค่อนั้น มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับท่านหญิงสุ่ยฮวา ดังนั้น ต่อให้นางจะกล้าหาญเพียงใด นางก็ไม่กล้าที่จะเปิดเผยตัวตนของเฉินซี