บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 202 ต่างคนต่างก็มีแรงจูงใจของตัวเอง
บทที่ 202 ต่างคนต่างก็มีแรงจูงใจของตัวเอง
บทที่ 202 ต่างคนต่างก็มีแรงจูงใจของตัวเอง
ซากปรักหักพังห้าธาตุเป็นสนามรบหลักของการต่อสู้ระหว่างอสูรกับเทพเมื่อประมาณสองถึงสามพันปีก่อน รอบด้านล้วนประกอบไปด้วยกำแพงที่พังทลายและซากปรักหักพังของตัวอาคาร ซึ่งเขรอะไปด้วยคราบเลือดทุกแห่งหน และยังปกคลุมด้วยโครงกระดูกที่ดูน่าสยดสยองทุกหย่อมหญ้า อีกทั้งยังเต็มไปด้วยพลังปราณที่น่าสะพรึงกลัวจากซากของเหล่าเทพและอสูร ที่ราวกับพวกมันกำลังคำรามและกรีดร้องด้วยความไม่ยินยอมนั่นชวนให้ขนหัวลุกอย่างยิ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น เหล่าสัตว์อสูรที่ไม่รู้จักหมดสิ้นของที่แห่งนี้ยังแตกต่างจากสัตว์อสูรจากโลกภายนอกอย่างมาก พวกมันทุกตัวล้วนกำเนิดมาจากเศษเสี้ยวของเจตจำนง เลือดเนื้อ คมศัสตราที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ที่เหล่าอสูรและเทพผู้ล่วงลับเหลือทิ้งเอาไว้ หลังจากผ่านวันเวลาสั่งสมประสบการณ์มานับหมื่นปี พวกมันก็กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหมือนกับสัตว์ร้ายทว่าก็ไม่ใช่สัตว์ร้าย พวกมันแต่ละตนทั้งดุร้าย โหดเหี้ยม อำมหิต เลวทราม และไม่มีสติปัญญาอยู่เลยแม้แต่น้อย
หลินโม่เซวียนกับหวงฝู่ฉงหมิงหัวเราะอย่างดูแคลน ขณะที่มองไปยังเฉินซีที่ออกมายืนอยู่ด้านหน้าของกลุ่ม ด้วยสายตาราวกับว่าพวกเขากำลังมองคนตายอย่างเย้ยหยัน
เซียวหลิงเอ๋อร์ส่ายศีรษะด้วยความสงสารและเห็นใจ ในมุมมองของนางนั้นการกระทำของเฉินซีแม้ดูกล้าหาญแต่ความจริงแล้วกลับบุ่มบ่ามจนน่าหัวเราะ
ส่วนสองพี่น้องเถิงนั้นกลับตื่นเต้นยิ่ง ประกายในดวงตาของทั้งคู่เต็มไปด้วยความเลือดเย็น พวกเขาเตรียมพร้อมที่จะลงมือเคลื่อนไหวเพื่อฉกชิงคลังสมบัติมิติของเฉินซีมาทันทีที่เขาถูกสัตว์ร้ายฆ่า
ในบรรดาคนเหล่านี้ มีเพียงถันไถหงเท่านั้นที่เผยความกังวลใจออกมา ในใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดต่อเฉินซีจนทำอะไรไม่ถูก อย่างไรเสีย เขาก็เป็นคนพาเฉินซีมาด้วย แต่แล้วเขาจะคาดคิดได้อย่างไรว่าเรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้น?
เดิมทีเขาเพียงแค่อยากจะตอบแทนบุญคุณ ทว่า… อนิจจา หากเพื่อนคนนี้เสียชีวิตไปตนแล้วตนจะอธิบายเรื่องครานี้ให้จื่อเซวียนฟังได้อย่างไร?
ถันไถหงลอบถอนหายใจหนักอยู่ภายใน เขารู้แก่ใจดีว่าถึงตนจะเป็นผู้อาวุโสที่สุดในกลุ่ม แต่เมื่อเทียบกับเหล่าศิษย์สายหลักจากนิกายใหญ่ต่าง ๆ ที่อยู่เคียงข้างเขายามนี้แล้ว มันก็แทบจะไม่ต่างอะไรไปจากคนน่าเวทนาที่ไม่สามารถแม้แต่จะปกป้องรุ่นน้องที่อยู่เคียงข้างตนได้
ปัง!
เสียงโครมครามดังสนั่นได้ความสนใจของทุกคนไปในทันที พวกเขาเพ่งสายตามองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง เพราะเฉินซี ผู้ที่พวกเขาคิดว่าจะตายลงในพริบตากลับฆ่าปีศาจอสรพิษเพลิงด้วยการชกเพียงครั้งเดียว!
หมัดเดียวจริง ๆ มันเป็นหมัดเดียวที่ทรงพลังและหมดจด ปีศาจอสรพิษเพลิงกลับกลายเป็นกระดาษแผ่นบาง ๆ แผ่นหนึ่งที่ถูกเฉินซีฉีกทิ้งด้วยมือเปล่าอย่างสบาย ๆ
ความแข็งแกร่งของปีศาจอสรพิษเพลิงตนนี้เทียบได้กับขอบเขตเคหาทองคำขั้นสูงสุดแล้ว ในขณะที่เจ้าเด็กนี้ก็อยู่ในขอบเขตเดียวกัน แล้วเขาจัดการมันด้วยหมัดเดียวได้อย่างไรกัน?
ในใจของทุกคนปรากฏคำถามนี้ขึ้นอย่างพร้อมเพรียง แต่ความสับสนนี้ก็คงอยู่แค่ครู่เดียวเท่านั้น การโจมตีของเฉินซีนั้นโดดเด่นมากจริง ๆ แต่มันก็สมควรอยู่ เพราะนี่ไม่ใช่การต่อสู้กับปีศาจอสรพิษเพลิงเพียงตัวหนึ่ง ทว่าเป็นการต่อสู้กับปีศาจอสรพิษเพลิงนับไม่ถ้วน เป็นการโจมตีแบบกลุ่มที่แม้แต่พวกเขาก็ยังไม่กล้ารับประกันว่าจะสามารถต้านทานเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ แล้วพวกเขาจะเชื่อได้อย่างไรว่าเฉินซีจะสามารถต้านทานเอาไว้ได้?
ปัง! ปัง! ปัง!
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่พวกเขาจะทันได้ตอบสนองต่อสิ่งน่าตกใจที่พวกเขาได้เผชิญ เฉินซีก็กลายเป็นเสือร้ายกวาดหมัดของเขาไปทั่วบริเวณในมุมมองของทุกคนไปเสียแล้ว ทุก ๆ หมัดที่เขาต่อยออกไปล้วนพรากชีวิตของปีศาจอสรพิษเพลิงได้อย่างแม่นยำ ในพริบตาเดียวปีศาจอสรพิษเพลิงสิบตัวที่พุ่งตรงมาก็ถูกเขากำจัดหมด!
กวาดล้างสิ่งกีดขวางทั้งปวง
กล้าหาญและทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้
ณ ตอนนี้ ตัวเฉินซีที่ยืนอยู่ด้านหน้าของกลุ่มเป็นประหนึ่งหินแข็งที่วางขวางสายน้ำป่าไหลหลากที่เชี่ยวกราก ในขณะที่ปีศาจอสรเพลิงเป็นกระแสน้ำที่ซัดกระหน่ำตรงเข้าหาเฉินซี ร่างของเขาพร่าเลือนจากการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับกำลังถูกเหวี่ยงไปมา หมัดระรัวดุจห่าฝน ที่แฝงไว้ด้วยพละกำลังที่หนักแน่นราวกับค้อน และตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้ถอยกลับเลยแม้แต่ก้าวเดียว!
‘ฮึ่ม! มันก็เป็นเพียงการดิ้นรนอย่างโง่เขลาเท่านั้น จะหมดแรงลงเมื่อไรมันก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น เมื่อถึงยามนั้นเจ้าจะต้องตายอย่างสยดสยอง!’ หลินโม่เซวียนคำรามอย่างเย็นชาอยู่ในใจ โดยยังคงแสดงท่าทีดูถูกเหยียดหยามเฉินซีอยู่เหมือนเดิม
เ’ด็กคนนี้นับว่าไม่ได้ไร้คุณธรรมจนเกินไป การที่เขาพุ่งขึ้นไปรั้งอยู่ด้านหน้าอย่างบุ่มบ่ามช่วยคลายความกดดันที่ข้าต้องเผชิญได้อยู่ไม่น้อยทีเดียว’ หวงฝู่ฉงหมิงพยักหน้าด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของตน
‘ทักษะขัดเกลากายาเทพอย่างนั้นรึ? คนผู้นี้ถือว่าน่าสนใจ ถ้าเขาสามารถอยู่รอดได้ บางทีข้าอาจจะเป็นเพื่อนกับเขาได้?’ เซียวหลิงเอ๋อร์กะพริบตาและตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง
“พี่ใหญ่ เด็กคนนี้ซ่อนความแข็งแกร่งของเขาเอาไว้ได้อย่างแนบเนียนจริง ๆ ผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นระดับอัจฉริยะในหมู่ผู้บ่มเพาะขอบเขตเดียวกันแล้ว” เถิงหัวซวี่กะพริบตาถี่ ๆ ขณะที่กำลังส่งคำพูดผ่านกระแสเสียงปราณ
“ฮึ! มีอะไรต้องกังวลกัน? ตราบเท่าที่เขายังคงยืนขวางอยู่ข้างหน้า ไม่ช้าก็เร็วเขาคงจะหมดแรงจนไม่อาจทำอะไรได้อีก ความตายก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาสำหรับเขาเท่านั้น” เถิงหัวจีหัวเราะอย่างเย็นชา
เฉินซีไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลยสักนิด เพราะเขาไม่ได้ทำเช่นนี้เพื่อเปลี่ยนมุมมองที่คนเหล่านี้มีต่อเขา เฉินซีรู้ดีว่าคนกลุ่มนี้มีอคติต่อตนมากเสียจนอยากเห็นเขาตาย และคงไม่คิดที่จะเปลี่ยนมุมมองที่มีเพียงเพราะเขาเข้ามามีส่วนร่วมเป็นแน่
ชายหนุ่มยังรู้ดีอีกด้วยว่า สองพี่น้องเถิงนั้นกำลังจ้องมองเขาด้วยความโลภจากด้านหลัง และรอให้เขาถูกฆ่าเพื่อที่จะได้ยึดเอาคลังสมบัติมิติของเขาไป
“หลิงไป๋ ช่วยข้าจับตาดูพี่น้องเถิงพวกนั้นด้วย พวกมันคิดว่าสัตว์อสูรเหล่านี้จะสามารถบั่นทอนกำลังของข้าได้ ทว่าคงคิดไม่ถึงว่าสัตว์อสูรทุกตัวที่ข้าฆ่าทำให้ความแข็งแกร่งของข้าเพิ่มขึ้นทีละน้อยกระมัง? ข้าต้องการคว้าโอกาสนี้เพื่อเพิ่มระดับการฝึกฝนของข้า ถึงเวลานั้น มารอดูกันว่าใครยังจะกล้าสู้กับข้าอีก!” เฉินซีส่งความคิดไปยังหลิงไป๋อย่างรวดเร็ว
ปรากฏว่ากลุ่มปีศาจอสรพิษเพลิงที่กำลังถูกเขาสังหารนี้มีแก่นแท้อัคคีอยู่ และแก่นแท้อัคคีจากปีศาจอสรพิษเพลิงทุกตัวที่เขาฆ่าจะถูกดูดซับไปโดยอักขระจ้าววิญญาณแห่งดาราอัคคีที่สามของเขาและเปลี่ยนเป็นปราณจ้าววิญญาณที่เติมเต็มความแข็งแกร่งของเขาอย่างต่อเนื่อง
ความแข็งแกร่งของเขา เข้าใจว่าสัตว์อสูรส่วนใหญ่ในซากปรักหักพังห้าธาตุนี้ น่าจะเกิดมาจากแก่นแท้ของธาตุทั้งห้า มิฉะนั้น มันคงเป็นไปไม่ได้เลยที่ชีวิตใหม่จะก่อเกิดขึ้นโดยอาศัยเพียงเศษเสี้ยวของเจตจำนง เลือดเนื้อ คมศัสตราที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ของเหล่าอสูรและเทพผู้ล่วงลับเหล่านั้น
แก่นแท้ของธาตุทั้งห้าคือพลังแก่นแท้และสสารของโลกนี้ เมื่อผู้บ่มเพาะสามารถรวมมันเข้ากับสมบัติวิเศษ ก็จะสามารถเพิ่มคุณภาพของพวกมันได้ แต่สำหรับเฉินซี เขาสามารถดูดซับพวกมันเข้าสู่อักขระจ้าววิญญาณบนร่างกายและเปลี่ยนเป็นปราณจ้าววิญญาณที่ไม่มีสิ้นสุด ซึ่งจะช่วยยกระดับการฝึกฝนของเขาได้โดยตรง!
นี่คือจุดแข็งที่น่าหวั่นเกรงของเคล็ดวิชาการบ่มเพาะวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพ และยังเป็นเหตุผลพื้นฐานว่าทำไมทักษะขัดเกลากายาเทพจึงเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว
“ไม่มีปัญหา! ข้ารังเกียจเจ้าตัวพวกนี้มานานแล้ว มาฆ่าพวกมันและยึดสมบัติของพวกมันมาครอบครองกันเถิด ผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์? อัจฉริยะ? พวกมันก็แค่กลุ่มลูกคนรวยที่รอฉกชิงทรัพย์สมบัติ ของมีค่าสามารถเหลือทิ้งไว้ได้ แต่ชีวิตของพวกมันต้องหายไป!” หลิงไป๋พูดด้วยสีหน้าอาฆาตแค้น
“ถ้าพวกมันกล้าต่อกรกับข้า เราจะทำตามที่เจ้าพูด!” เฉินซีไม่ใช่คนอ่อนโยนและโลเล เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู มีเพียงการสังหารพวกมันทิ้งเท่านั้นที่จะสามารถตัดปัญหาทั้งหมดของเขาไปได้
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
ปีศาจอสรพิษเพลิงถูกกำจัดลงไปทีละตัว ๆ แก่นแท้อัคคีที่ไหลออกจากร่างกายของพวกมันถูกเฉินซีดูดซับไปอย่างสมบูรณ์ เติมเต็มปราณจ้าววิญญาณในร่างกายเขาไม่มีหยุด ภายในอักขระจ้าววิญญาณแห่งดาราอัคคีที่สามของเขา สิ่งที่มีขนาดเล็กเหมือนเมล็ดถั่วและดูเหมือนดาวค่อย ๆ ก่อตัวและขยายขนาดขึ้น
ที่ระดับการบ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ คือจุดที่จุดชีพจรดาราของอักขระจ้าววิญญาณได้มีการพัฒนาขึ้นแล้ว สะพานดาราเองก็เชื่อมต่อกันเป็นที่เรียบร้อย หากผู้ใดต้องการทะลวงขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ก็จะต้องรวมแก่นดาราภายในจุดชีพจรดาราเข้าด้วยกัน การควบรวมนี้จะช่วยเพิ่มแรงกระตุ้นให้อักขระจ้าววิญญาณ ทำให้ปราณจ้าววิญญาณหนาแน่นมากขึ้น บริสุทธิ์ขึ้น และแปรไปสู่การควบแน่นเป็นของเหลว ในตอนนี้ สิ่งที่มีขนาดเล็กเท่าเมล็ดถั่วในอักขระจ้าววิญญาณแห่งดาราอัคคีที่สามของเฉินซีคือแก่นดาราที่กำลังก่อเป็นรูปเป็นร่าง!
ตราบใดที่เฉินซียังคงสังหารสัตว์อสูรที่เกิดจากแก่นแท้ของธาตุทั้งห้าต่อไป ความแข็งแกร่งของเขาก็จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทีละนิด จนถึงจุดที่อาจจะสามารถควบแน่นแก่นดาราของธาตุทั้งห้าได้เลย ด้วยวิธีนี้ปราณจ้าววิญญาณของเฉินซีอาจจะเพิ่มขึ้นมากกว่าห้าเท่า และการทะลวงไปสู่ระดับการบ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางก็จะไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป… เฉินซีรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ของปราณจ้าววิญญาณได้ขณะที่เขากำลังต่อสู้ ความสุขเกินจะอธิบายผุดขึ้นมาในใจของเขาในทันทีทันใด ที่นี่คือเหมืองทองสำหรับการบ่มเพาะโดยแท้!