บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 22 นิกายกระบี่เมฆาพเนจร
บทที่ 22 นิกายกระบี่เมฆาพเนจร
บทที่ 22 นิกายกระบี่เมฆาพเนจร
พี่น้องคู่นี้เป็นมังกรในหมู่มนุษย์เสียจริง น้องชายมีพรสวรรค์อันไม่มีใครเทียบได้ในวิถีเต๋าแห่งกระบี่ ส่วนพี่ชายสามารถเพิ่มระดับการบ่มเพาะได้อย่างก้าวกระโดดในช่วงเวลาอันแสนสั้น หากตระกูลเฉินไม่ถูกทำลายล้าง อนาคตของตระกูลจะรุ่งโรจน์ด้วยมือของพี่น้องสองคนนี้อย่างแน่นอน!
เมิ่งคงชื่นชมอย่างไม่หยุดหย่อนในใจ
หากศิษย์จำนวนมากของสำนักหมอกสนรู้ว่าเมิ่งคงผู้มีชื่อเสียงในฐานะอาจารย์สุดโหดยกย่องผู้อื่นได้แบบนี้ เกรงว่ากรามของพวกเขาคงจะอ้าค้างด้วยความตกใจอย่างแน่นอน
“จะว่าไป สำนักหมอกสนห้ามมิให้ศิษย์ออกมาเที่ยวเล่นนอกสำนักไม่ใช่หรือ?” เฉินซีถามเมื่อเห็นเมิ่งคงอยู่ข้างเฉินฮ่าว เขาสัมผัสได้ราง ๆ ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น
เฉินฮ่าวพยักหน้า “ท่านพี่ ท่านลุงเมิ่งคงอยากจะพาข้าไปที่เมืองทะเลสาบมังกรเพื่อเข้าร่วมนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ข้าออกมาครั้งนี้เพื่อมาฟังความคิดเห็นของท่านก่อน”
นิกายกระบี่เมฆาพเนจร?
หัวใจของเฉินซีสั่นอย่างรุนแรงและเขาก็จ้องมองไปยังเมิ่งคง
หากนิกายถูกแบ่งออกเป็นระดับต่าง ๆ ได้ละก็… นิกายกระบี่เมฆาพเนจรที่ตั้งอยู่ในเมืองทะเลสาบมังกร ซึ่งเป็นศูนย์กลางของดินแดนทางใต้จะเป็นนิกายชั้นหนึ่งอย่างแน่นอน เนื่องด้วยนิกายนี้มีผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีดำรงอยู่หลายคน นอกจากนี้ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรที่นิกายกระบี่เมฆาพเนจรมี มันยังมีขุมกำลังน้อยใหญ่ในดินแดนทางใต้ทั้งหมดที่สามารถเปรียบเทียบได้
“ความเข้าใจของเฉินฮ่าวในหลักเต๋าแห่งกระบี่นั้นยอดเยี่ยม และสิ่งที่หาได้ยากกว่าคือหัวใจกระบี่ของเขานั้นมั่นคงยิ่งนัก ดังนั้นเขาจึงเหมาะสมกับเส้นทางของผู้ฝึกฝนกระบี่อย่างยิ่ง ข้ารู้สึกว่าเราควรอนุญาตให้เขาไปที่นิกายกระบี่เมฆาพเนจรเพื่อรับการฝึกกระบี่ที่ถูกต้องมากที่สุด ไม่ควรเสียเวลาฝึกปรือในสถานที่เล็ก ๆ เช่นเมืองหมอกสน ไม่เช่นนั้นความสำเร็จของเขาจะล่าช้า”
เมิ่งคงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “นอกจากนี้ เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเขาระหว่างทาง ข้าจะเป็นผู้ส่งเขาไปที่นิกายกระบี่เมฆาพเนจรด้วยตัวเอง”
เฉินซีกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะเมื่อเดือนที่แล้วปู่ของเขาเสียชีวิตด้วยน้ำมือของศัตรู ขณะที่ส่งน้องชายของเขาไปยังเมืองทะเลสาบมังกรเพื่อเข้าร่วมการทดสอบของสำนักพันกระบี่
ตอนนี้เมื่อเขาได้ยินว่าเมิ่งคงจะเป็นคนไปส่งเฉินฮ่าว เฉินซีก็คลายความกังวลไปได้มาก จากนั้นเขามองไปที่ดวงตาของเฉินฮ่าวขณะที่พูดอย่างจริงจังว่า “เจ้าโตขึ้นแล้ว พี่เคารพทางเลือกของเจ้า นิกายกระบี่เมฆาพเนจรนั้นแข็งแกร่งกว่าสำนักพันกระบี่อย่างเทียบกันไม่ได้ หากเจ้าตัดสินใจที่จะไปจริง ๆ เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี”
“ตกลงขอรับ!” เฉินฮ่าวแสดงออกอย่างแข็งขัน ขณะขานรับ “ท่านพี่ ไม่ต้องกังวลอันใด เมื่อข้าฝึกปรือจบและกลับมา ข้าสัญญาว่าจะฆ่าศัตรูทั้งหมดของตระกูลเฉินได้อย่างแน่นอน!”
ความเกลียดชังฝังแน่นเข้ากระดูกดำ?
ร่องรอยของความกังวลบังเกิดขึ้นในใจของเมิ่งคงอย่างช่วยมิได้ เมื่อยิ่งมีความคิดที่แน่วแน่มากเท่าใด ก็ยิ่งมีความดื้อรั้นดื้อดึงมากขึ้นเท่านั้น หากหัวใจกระบี่ของเฉินฮ่าวถูกบดบังด้วยความเกลียดชัง มีความเป็นไปได้สูงมากที่เด็กน้อยผู้นี้จะประสบกับสภาวะธาตุไฟเข้าแทรกในอนาคต
เฉินซีขมวดคิ้วและตำหนิ “อย่าพูดถึงเรื่องการแก้แค้นอีกในอนาคต! ถ้าข้าพบว่าเจ้าออกตามหาศัตรูของเราเพียงลำพัง ก็อย่าเรียกข้าว่าพี่ชายอีกต่อไป!”
“อืม…” เฉินฮ่าวก้มศีรษะลงเมื่อเห็นเฉินซีโกรธ แต่แววตาของเขานั้นยังคงดื้อรั้นไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย
“เอาแบบนี้เป็นอย่างไร เมื่อเจ้าบรรลุถึงขอบเขตเคหาทองคำ เจ้าสามารถทำอะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการและข้าจะไม่เข้าไปยุ่ง” เฉินซีมีหรือจะไม่เข้าใจความคิดของเฉินฮ่าว เขารู้ว่าเขาใช้กำลังบังคับไม่ได้ แต่ต้องค่อย ๆ เกลี้ยกล่อมเด็กคนนี้ ดังนั้นเขาจึงต้องประนีประนอมหาทางออกให้อีกฝ่ายแทน
“ข้อเสนอนี้ดียิ่งนัก!” เฉินฮ่าวเงยหน้าขึ้นด้วยความตื่นเต้นแล้วกล่าวออกมา “ท่านพี่รอไว้เถิด ข้าจะบรรลุขอบเขตเคหาทองคำอย่างรวดเร็ว และในเวลานั้นท่านก็ไม่ควรหยุดข้าอีกต่อไป”
“ตกลงแล้วนะ”
“ตกลง!”
สองพี่น้องจับมือกันแน่นเป็นสัญญา
เมิ่งคงยิ้มเบา ๆ และกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเขาหันไปมองไกล ๆ
ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี เงาแวบวาบอย่างรวดเร็วราวกับสายลมพุ่งเข้ามา สีหน้าของผู้มาใหม่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัว
“เฉินซี!” เงาที่กำลังวิ่งอย่างบ้าคลั่งหยุดลงและร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ ในขณะที่เขาจ้องมองที่เฉินซีซึ่งยืนอยู่ในระยะไกล
ตอนนี้เองที่เฉินซีและเฉินฮ่าวจำคนผู้นี้ได้ในที่สุด เขาคือผู้ดูแลอู๋ของตระกูลหลี่นั่นเอง!
ผู้ดูแลอู๋อยู่ในสภาพน่าสังเวชอย่างยิ่ง ใบหน้าที่ซูบตอบของเขาซีดนัก ร่องรอยของความขมขื่นและความหวาดกลัวยังคงปรากฏให้เห็น กลุ่มของเฉินซีอดไม่ได้ที่จะอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่าย
เหตุใดคนผู้นี้ถึงปรากฏตัวในเขตสามัญชนโดยไม่มีเหตุผล?
และอีกฝ่ายไปเจอสิ่งใดมาถึงอยู่ในสภาพที่น่าสงสารเช่นนี้?
สายตาของผู้ดูแลอู๋แวบผ่านเมิ่งคงและเขาอดไม่ได้ที่จะตะลึง เมื่อครู่เขาเพิ่งเจอกับหลัวชงและตอนนี้กลับมาเจอกับเมิ่งคงอีก เป็นไปได้หรือไม่ว่าทั้งหมดนี้จะเป็นกับดัก?
ผู้บ่มเพาะอันดับหนึ่งภายใต้การบัญชาการของท่านแม่ทัพคอยเฝ้าประตูบ้านเฉินซี ยิ่งไปกว่านั้นผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งอันดับต้นในสำนักหมอกสนยังมาดักเฝ้ารอพร้อมกันเฉินซีอยู่ตรงนี้ ถ้านี่ไม่ใช่กับดักแล้วมันคือสิ่งใด?
“เฉินซี เจ้าบังอาจนัก! ลอบโจมตีข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าช่างเป็นแผนที่เลวร้ายจริง! รอไว้เถิด! ตระกูลหลี่ของข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปโดยเด็ดขาด!” ผู้ดูแลอู๋ไม่กล้าหยุดสักครู่หลังจากขู่คำรามอย่างดุเดือด จากนั้นเขาก็หันหลังและหนีไป
เขาหมายถึงอะไร?
ไม่ใช่แค่เฉินซี แม้แต่เฉินฮ่าวและเมิ่งคงก็สับสนอย่างเห็นได้ชัด
พวกเขาไม่รู้ว่าขณะนี้ผู้ดูแลเฒ่าปักใจเชื่ออย่างสมบูรณ์แล้ว ว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นคืนนี้เป็นกับดักที่เฉินซีวางไว้เพื่อจัดการกับเขาและสามพี่น้องตระกูลหลี่
“ฮึ่ม ก็แค่สุนัขรับใช้ของตระกูลหลี่ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก” เมิ่งคงเอ่ยอย่างเย็นชาด้วยน้ำเสียงที่ดูถูกเหยียดหยาม
“ท่านพี่ หมาแก่นั่นมาหาเรื่องท่านตอนที่ข้าฝึกที่สำนักหมอกสนอย่างนั้นหรือ?” เฉินฮ่าวกัดฟันกรอด ใบหน้าของเขาสะท้อนเจตนาฆ่าชัดเจน
เฉินซีส่ายหัว “เรารีบกลับบ้านกันเถิด เหตุผลที่สุนัขเฒ่าอู๋หนีด้วยสภาพที่น่าสังเวชแบบนั้น สาเหตุอาจเกิดจากบางอย่างที่อยู่ใกล้บ้านของเรา”
เมิ่งคงถอนหายใจด้วยความชื่นชม เพียงแลเห็นสภาพของผู้ดูแลอู๋ในช่วงเวลาสั้น ๆ เฉินซีก็สามารถคาดเดาสาเหตุที่ผู้ดูแลอู๋หลบหนีในสภาพที่น่าสังเวชได้แล้ว ปัญญาและความคิดเช่นนี้แทบจะเรียกได้ว่าใกล้เคียงกับปีศาจ!
…
“เมิ่งคง!”
“หลัวชง!”
เมื่อกลุ่มของเฉินซีเดินไปถึงหน้าบ้าน พวกเขาต่างเห็นฉินหงเหมี่ยนนั่งอยู่บนขั้นบันได และหลัวชงที่ยืนเคียงข้างนางด้วยความเคารพ เมิ่งคงตกใจอย่างยิ่งพร้อมกับอุทานด้วยความประหลาดใจ
พร้อมกับที่เมิ่งคงอุทาน ดวงตาของหลัวชงเบิกกว้างก่อนอุทานด้วยความประหลาดใจในเวลาเดียวกัน
แน่นอนว่าจากฉากนี้ทั้งสองคนน่าจะคุ้นเคยกันดี ส่วนความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นอย่างไรนั้นเฉินซีไม่สามารถตัดสินได้ อย่างไรก็ตาม ในที่สุดเขาก็ยืนยันบางอย่างได้ การหลบหนีของผู้ดูแลอู๋ย่อมมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับผู้บ่มเพาะอันดับหนึ่งภายใต้คำสั่งของท่านแม่ทัพผู้นี้
“เมิ่งคง ในที่สุดเจ้าก็เต็มใจที่จะก้าวออกจากสำนักหมอกสนแล้วหรือ? แต่ก็ดีนัก! วันนี้เจ้ากล้าสู้กับข้าหรือไม่!” หลัวชงเป็นเหมือนเด็กที่ได้เห็นของเล่นชิ้นโปรด เขาจ้องไปยังเมิ่งคงด้วยสายตาเร่าร้อน ปราณแท้ปะทุออกจากร่างด้วยเจตนาการต่อสู้อันดุเดือด!
“ข้ายุ่งอยู่” เมิ่งคงส่ายหัวด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ น้ำเสียงของเขาทื่อราวกับไม่หวาดกลัวว่าหลัวชงจะโจมตีเขาเลยแม้แต่น้อย
ที่จริง เมิ่งคงปวดหัวเล็กน้อยเมื่อเห็นหลัวชง
ในสายตาของคนอื่น ๆ หลัวชงเป็นผู้ใต้บัญชาของท่านแม่ทัพที่มีความสามารถและเป็นที่เคารพนับถือ แต่ในสายตาของเมิ่งคง ชายคนนี้ไม่ต่างจากคนบ้าที่เสพติดการต่อสู้ ตราบใดที่ไอ้คนผู้นี้เชื่อว่าคู่ต่อกรที่เหมาะสมของมันปรากฏขึ้น มันจะตามคนผู้นั้นแจราวกับเป็นเห็บปลิงจนกว่าอีกฝ่ายจะสู้กับมัน เพื่อตัดสินรู้แพ้ชนะและมันจึงจะปล่อยคนผู้นั้นไป
เมิ่งคงไม่กลัวที่จะสู้กับหลัวชง แต่ในฐานะผู้ฝึกฝนกระบี่ เขาจะใช้กระบี่ของตนเองเพื่อฆ่าสังหารเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อการประลองสนองตัณหาความสุข และเขาก็ไม่ต้องการให้กระบี่ของตัวเองกลายเป็นหินลับคมให้กับคนอื่น ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมต่อสู้กับหลัวชงมาโดยตลอด
“ไม่ได้! เจ้าต้องตกลงในวันนี้แม้ว่าจะไม่ต้องการก็ตาม การเจอเจ้าแต่ละครั้งมันยากนัก ข้าไม่สามารถปล่อยเจ้าไปได้โดยง่าย!” ในขณะนี้หลัวชงก็ไม่ต่างจากคนบ้า เขาชักดาบยาวแคบสีดำสนิทออกจากฝักซึ่งส่งเสียงกังวาน ปราณดาบแผ่ออกเข้ากดดันเมิ่งคงในทันที
“ถ้าเจ้ากล้าโจมตี ข้าจะใช้ชื่อสำนักหมอกสนเพื่อแจ้งท่านแม่ทัพ ในฐานะผู้ใต้บัญชาของท่านแม่ทัพ หากเจ้าเป็นผู้ก่อความวุ่นวายซะเอง ท่านแม่ทัพจะต้องลงโทษเจ้าอย่างรุนแรงแน่นอน!” การแสดงออกของ เมิ่งคงยังคงไม่สะทกสะท้าน ขณะเอ่ยคำอย่างไม่เร่งร้อน
“เจ้า… มันไร้ยางอาย!” หลัวชงถูกจี้จุดอ่อนจึงบันดาลโทสะ
“ฮึ”
“เจ้ามันไร้ยางอายเกินไป!”
“ฮึ”
“เจ้ามันไร้ยางอายอย่างไร้เหตุผล!”
“ฮึ”
…
เมื่อเห็นหลัวชงกับเมิ่งคงทำตัวเหมือนเด็กทะเลาะกัน เฉินซีและเฉินฮ่าวต่างมองหน้ากัน โดยที่พูดอะไรไม่ออก
พวกเขาเป็นผู้บ่มเพาะอันสูงส่งที่มีแต่ผู้นับหน้าถือตาไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงทำตัวราวกับเด็กไร้เหตุผลแบบนี้?
“เจ้าคือเฉินซีหรือ?” ทว่ามีใครบางคนที่ยังคงความสงบได้มากกว่าเฉินซีและเฉินฮ่าวโดยไม่สนใจกระทั่งหลัวชงและเมิ่งคงได้ แน่นอนคนผู้นั้นคือองค์หญิงน้อยแห่งจวนแม่ทัพผู้ชื่นชอบเต๋าแห่งยันต์เสียจนแทบคลั่ง ฉินหงเหมี่ยน…
“เอ่อ… ข้าเอง” เฉินซีฟื้นจากอาการงุนงงและตอบกลับฉินหงเหมี่ยน ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะสงสัยเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเป็นหญิงสาวที่ดูเรียบร้อยและหน้าตางดงาม เหตุใดนางถึงมาอยู่หน้าประตูบ้านเขาในเวลากลางค่ำกลางคืนแบบนี้? และนางยังมีผู้เชี่ยวชาญอย่างหลัวชงคอยปกป้องที่นี่…
ประเดี๋ยวก่อน!
เป็นไปได้หรือไม่ว่านางคือองค์หญิงน้อยแห่งจวนแม่ทัพที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมาก ฉินหงเหมี่ยน?
“ในที่สุดข้าก็พบเจ้าแล้ว” ฉินหงเหมี่ยนหัวเราะอย่างมีความสุข จากนั้นนางก็ดึงแผ่นยันต์ปึกหนึ่งออกจากถุงร้อยสมบัติขนาดเล็กและพูดอย่างรวดเร็วว่า “นี่คือยันต์ทั้งหมดที่เจ้าสร้างขึ้น ข้าซื้อพวกมันมาจากร้านค้าสกุลจาง โครงสร้างของยันต์ที่เจ้าทำขึ้นนั้นแปลกใหม่และลึกลับอย่างยิ่ง และอำนาจของพวกมันยังเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า ข้าอยากรู้หลักการเบื้องหลัง ข้าสงสัยว่าเจ้าช่วยให้ข้าเข้าใจได้หรือไม่?”
แทบทุกคนในเมืองหมอกสนรู้ว่าองค์หญิงน้อยฉินหงเหมี่ยนหมกมุ่นในเต๋าแห่งยันต์ ดังนั้นเมื่อเฉินซีได้ยินหญิงสาวคนนี้พูดถึงยันต์และโครงสร้างที่แปลกใหม่ซึ่งเขาทำขึ้น เขาจึงอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างเพราะตระหนักรู้ได้ว่าหญิงสาวที่เรียบร้อยและงดงามตรงหน้าเขาคือใคร
“ข้าเป็นแค่นักสร้างยันต์ฝึกหัด คงไม่สามารถช่วยเหลือเจ้าได้หรอก”
ดวงตาของฉินหงเหมี่ยนเบิกกว้าง ขณะที่นางพูดด้วยความผิดหวัง “แต่ยันต์เหล่านี้ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นโดยเจ้า เจ้าจะช่วยข้าไม่ได้ได้อย่างไร?”
“ข้า…” เฉินซีไม่รู้จะตอบอย่างไรเมื่อต้องเผชิญกับคำถามนี้ของเด้กสาวที่คลั่งไคล้ในเต๋าแห่งยันต์ และมีความคิดที่ไร้เดียงสาอ่อนต่อโลก เฉินซีคิดครู่หนึ่งแล้วยื่นมือไปหยิบยันต์จากมือของฉินหงเหมี่ยนก่อนจะตรวจสอบ และพบว่ามันคือยันต์เกราะดินที่เขาสร้างขึ้นหลังจากทำความเข้าใจรูปปั้นศักดิ์สิทธิ์ฝูซี
“ข้าเองก็ไม่สามารถอธิบายเหตุผลเบื้องหลังได้ ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากบอกเจ้า แต่ว่าข้าเองก็ไม่รู้ว่าทำไมข้าถึงสามารถสร้างโครงสร้างแบบนี้ได้”
“จริงหรือ?” ฉินหงเหมี่ยนจ้องมองด้วยนัยน์ตาที่ชัดเจนและไร้เดียงสา นางดูสับสนและงงงวย
เฉินซีพยักหน้า เขาไม่ได้หลอกลวงฉินหงเหมี่ยนจริง ๆ ยันต์แบบใหม่เหล่านี้เป็นผลมาจากสภาวะลืมตัวตนในขณะที่เขาสร้างยันต์ และเขาก็ยังไม่ทราบสาเหตุเฉพาะว่าเหตุใดเขาจึงทำขึ้นมาได้ ดังนั้นเขาจะกล้ายอมรับคำขอของฉินหงเหมี่ยนได้อย่างไร?
“มันจะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร…” ฉินหงเหมี่ยนเอ่ยเสียงเบา จากนั้นดวงตาของนางกลายเป็นสีแดงพร้อมกับน้ำตาเริ่มหยดไหล
เฉินซีตะลึงค้าง
“ไอ้เจ้าเด็กบ้า! เจ้ารู้ไหมว่าองค์หญิงน้อยของท่านแม่ทัพรอเจ้าอยู่ที่นี่มาทั้งวันแล้ว!”
ทันใดนั้นหลัวชงก็รีบก้าวเข้ามาเมื่อเห็นฉินหงเหมี่ยนร้องไห้และด่าด้วยเสียงต่ำ “ข้าอุตส่าห์ช่วยเจ้าฆ่านักฆ่าสามคนที่ตระกูลหลี่ส่งมา แต่ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าเจ้าจะเป็นเด็กเนรคุณไม่รู้จักตอบแทนเช่นนี้!”
“ลุงหลัวมันไม่ใช่ความผิดของเขาหรอก ข้าผิดเอง” ฉินหงเหมี่ยนเกลี้ยกล่อมด้วยเสียงต่ำขณะที่นางร้องไห้ ทว่าด้วยรูปลักษณ์ที่ดูบอบบางอ่อนโยน มันทำให้ไม่ว่าใครก็ตามยิ่งอยากจะปกป้องนาง
หลัวชงยิ่งโกรธมากขึ้นเมื่อเห็นสิ่งนี้ เขาจ้องเขม็งที่เฉินซีและพูดด้วยเสียงเย็นชา “หากเจ้าไม่เห็นด้วยกับคำขอของคุณหนูข้า วันนี้ข้าจะมัดเจ้าและพาเจ้ากลับไปที่จวนแม่ทัพกับเรา!”
“เจ้ากล้า!” เฉินฮ่าวที่ไม่ได้พูดมาตลอดตวาดลั่นทันที ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาเต็มไปด้วยโทสะ ขณะที่เขาจ้องที่หลัวชง “พี่ชายของข้าไม่ได้ล่วงเกินคุณหนูของเจ้าแม้แต่น้อย แต่เจ้ากลับขู่ว่าจะจับตัวพี่ชายข้าไปรับโทษที่จวนแม่ทัพ นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกัน!”
เฉินซีหยุดน้องชายของเขาและส่ายหัวเพื่อไม่ให้เฉินฮ่าวพูดอีกต่อไป จากนั้นเขาก็มองไปที่ฉินหงเหมี่ยนและพูดด้วยเสียงโอนอ่อน “ข้าไม่รู้ว่าข้าทำไปได้อย่างไรเหมือนกัน แต่ข้าสามารถให้คำแนะนำแก่เจ้าได้”
ดวงตาของฉินหงเหมี่ยนเป็นประกายทันทีเมื่อได้ยินคำนี้ นางรีบเช็ดน้ำตา
“การฝึกฝนด้วยวิธีจินตภาพจะทำให้วิญญาณของเจ้าแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งมันจะมีประโยชน์ต่อการฝึกฝนเต๋าแห่งยันต์อย่างมาก” เฉินซีครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดช้า ๆ
“จินตภาพ?” หลัวชงและเมิ่งคงต่างอุทานด้วยความประหลาดใจในเวลาเดียวกันเมื่อได้ยินคำพูดของเฉินซี ใบหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความยากจะเชื่อ!