บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 229 ขุมสมบัติลงมาสู่โลก
บทที่ 229 ขุมสมบัติลงมาสู่โลก
บทที่ 229 ขุมสมบัติลงมาสู่โลก
หวงอวี้หู่นั้นตายอย่างรวดเร็ว บางทีแม้กระทั่งถึงวาระสุดท้าย เขาเองก็คงไม่อยากเชื่อว่าจะถูกเฉินซีฆ่า แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเฉินซีเลยสักนิด เพราะเขามีหน้าที่แค่ฆ่าคนเท่านั้น
“ผู้บ่มเพาะหกคน คลังสมบัติมิติหกชิ้น และแกนทองคำหกชิ้น เฉินซีรีบรวบรวมสมบัติเร็ว!” หลิงไป๋ที่ยืนอยู่บนไหล่ของเฉินซีกล่าว ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น
ครืนนนน!
ทว่าเมื่อหลิงไป๋เพิ่งจะกล่าวจบ เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ไกลออกไปจากสุสานอสูรร้าย มีการระเบิดขนาดมหึมาที่เขย่าไปทั้งสวรรค์และผืนดิน ในเวลาเดียวกัน สวรรค์และผืนดินก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แม้จากระยะไกล เฉินซีก็ยังมองเห็นลำแสงสีทองที่ส่องผ่านท้องฟ้าราวกับเสาที่ค้ำฟ้าไว้ และภาพติดตาของตำหนักที่สูงตระหง่านและสูงส่งเหมือนภูเขาก็ถูกเผยออกมา
ทะเลเมฆเคลื่อนตัวออกเมื่อลำแสงสาดส่องออกมาเพื่อส่องสว่างทุกสิ่งในบริเวณกว้าง!
ท่ามกลางเสียงกึกก้องและเสียงโครมคราม รูปลักษณ์ที่แท้จริงของตำหนักก็ปรากฏขึ้นทีละส่วน ในขณะที่ลำแสงพร่างพราวนั้น เหมือนกับกระบี่แหลมคมที่เจาะตรงไปยังท้องฟ้า ทำให้ทะเลเมฆเคลื่อนตัวออกเหมือนเกลียวคลื่น
ราวกับว่ามันถูกปกคลุมด้วยฝุ่นนับพันปี ตำหนักที่สร้างจากหยกขาวทั้งหลังนั้นกำลังอาบด้วยแสงที่เรืองรองงดงามราวกับมันได้พบกับแสงสว่างของดวงอาทิตย์อีกครั้ง มันตั้งตระหง่านอยู่ภายในสวรรค์และโลกขณะที่มันเปล่งรัศมีอันกว้างใหญ่ที่เก่าแก่และสูงส่ง
กลิ่นอายนี้หนาแน่นและกว้างใหญ่จนทำให้ความรู้สึกเคารพบูชาผุดออกมาจากใจโดยไม่รู้ตัว
ขุมสมบัติเฉียนหยวน!
ในชั่วพริบตา หัวใจและสติของเฉินซีก็ถูกดึงดูดโดยตำหนักที่อยู่ห่างไกลออกไป เขาแน่ใจแล้วว่าตำหนักนี้ต้องเป็นขุมสมบัติที่เซียนสวรรค์ในตำนานเหลือทิ้งไว้อย่างไม่ต้องสงสัย สถานที่ซึ่งครอบครองสมบัตินับไม่ถ้วนและโอสถทิพย์กำเนิดเต๋า ที่เหล่าผู้บ่มเพาะล้วนเฝ้าใฝ่ฝันถึง!
“ไปกันเถอะ ความโกลาหลที่เกิดขึ้นจากการปรากฏตัวของตำหนักแห่งนี้น่าจะดึงดูดผู้บ่มเพาะมาจากทั่วสารทิศ ดังนั้นเราควรรีบไป มิฉะนั้น มันจะสายเกินไป!” เฉินซีไม่สนใจสิ่งอื่นใด และเขาตัดสินใจทันที จากนั้นจึงพุ่งทะยานไปที่ขุมสมบัติของเฉียนหยวนอย่างรวดเร็ว
ฟิ้ว!
เฉินซีเป็นเหมือนสายลมกระโชกในขณะที่เขาใช้เคล็ดวาตะเหินทะยานด้วยพลังทั้งหมดของเขาและหายไปทันที
“อืม? นั่นคือ…”
“ขุมสมบัติเฉียนหยวน!”
“ตำนานนั้นมีอยู่จริง! สมบัตินับไม่ถ้วนที่รวบรวมโดยเซียนสวรรค์ถูกเก็บไว้ในนั้น ข้าไม่คิดไม่ฝันว่ามันจะปรากฏขึ้นจริง ๆ!”
“ไปกันเถอะ! เรามิอาจปล่อยให้คนอื่นแซงหน้าเราไปได้!”
เหล่าผู้บ่มเพาะที่ร่อนเร่พเนจรอยู่ภายในห้วงทะเลทรายมรณะ ต่างก็ถูกดึงดูดโดยตำหนักอันสูงส่งที่โผล่ออกมาจากกลางอากาศ พวกเขาทั้งหมดต่างก็แสดงสีหน้าที่เร่าร้อน และดวงตาก็เต็มไปด้วยเปลวไฟที่ลุกโชนขณะหายใจถี่รัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว
พวกเขาไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะมุ่งหน้าไปเช่นเดียวกับเฉินซี
หากมีผู้ใดมองลงมาจากท้องฟ้า ก็จะสังเกตเห็นดวงแสงจำนวนนับไม่ถ้วน มุ่งสู่ตำหนักจากทั่วทุกสารทิศเป็นแถวที่น่าเกรงขาม
หลังจากผ่านไปราวหนึ่งเค่อ
เฉินซีเป็นคนแรกที่มาถึงบริเวณที่ตำหนักแห่งนี้ปรากฏขึ้น ก่อนหน้านี้เห็นได้ชัดว่า สถานที่แห่งนี้เคยเป็นทะเลทรายรกร้างและไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ แต่พร้อมกับการเกิดขึ้นของตำหนักเซียน ชั้นทรายบนพื้นถูกยกขึ้น เผยให้เห็นถึงหุบเหวและรอยแยกขนาดมหึมามากมาย ที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนที่ค่อย ๆ ลุกโชนเหมือนเมฆแห่งเปลวเพลิง
เปลวเพลิงเหล่านี้เป็นเพลิงวิญญาณที่หาได้ยากยิ่งของสวรรค์และผืนดิน พวกมันหลอมรวมเข้าด้วยกันจนดูเหมือนมังกรเพลิงจำนวนมากที่ร่ายรำอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เฉินซีเห็นอีกาสีทองสามขาขนาดมหึมาจำนวนมากกระพือปีกภายในหุบเขาเหล่านี้ และทุก ๆ การกระพือปีกของพวกมันก็ปล่อยเปลวไฟที่ไร้ขอบเขต ยิ่งไปกว่านั้น เปลวเพลิงที่แผดเผาภายในนั้นเพียงพอที่จะละลายทุกสรรพสิ่งในสวรรค์และพิภพ!
“ทะเลเปลวเพลิงวิญญาณ!”
“ข้าไม่นึกเลยว่า ขุมสมบัติเฉียนหยวนจะซุกซ่อนอยู่ภายในทะเลเปลวเพลิงวิญญาณ!” เฉินซีอดทนต่ออุณหภูมิที่แผดเผารอบตัวเขาอย่างรุนแรง ขณะกวาดมองตำหนักที่ทอดยาวไปทั่วสวรรค์และผืนดิน เขาก็อ้าปากค้างด้วยความชื่นชมอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในใจของเขา
ทะเลเปลวเพลิงวิญญาณเป็นเหมือนซากปรักหักพังห้าธาตุ สุสานอสูรร้าย และเขตพายุฝนฟ้าคะนอง พวกมันล้วนเป็นบริเวณที่อันตรายในห้วงทะเลทรายมรณะ นอกจากนี้ ตามตำนานยังเล่าว่า ทะเลเปลวเพลิงวิญญาณครอบครองเพลิงวิญญาณที่รุนแรงที่สุดในโลก อีกทั้งยังคงอยู่ชั่วนิรันดร์โดยไม่ดับสูญ และแม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพี ก็ไม่กล้าย่างกรายเข้าไปง่าย ๆ ทำให้มันน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเผชิญกับทะเลเปลวเพลิงวิญญาณที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้ เฉินซีเพียงแต่เคลื่อนตัวไปรอบ ๆ พรมแดนและไม่กล้าเข้าไปลึกยิ่งกว่านี้ เพราะเขาอาจจะถูกเผาจนสิ้นซากจากความประมาทเลินเล่อเพียงเล็กน้อย
โชคดีที่ตำหนักตั้งอยู่ระหว่างสวรรค์และผืนดิน ตราบใดที่เขาระมัดระวังและหลีกเลี่ยงเพลิงวิญญาณนับไม่ถ้วนที่ล่องลอยเหมือนหิ่งห้อย เขาอาจจะสามารถเข้าใกล้และเข้าไปในขุมสมบัติได้
แต่ในขณะนี้ ตำหนักที่ครอบคลุมพื้นที่ในระยะสองลี้ กำลังอาบแสงที่งดงาม และดูเหมือนจะมีสนามพลังไร้รูปร่างที่แยกทุกสิ่งรอบตัวออกจากมันและไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าใกล้มัน
“ขุมสมบัตินั้นยังไม่ถึงเวลาเปิด เราได้แต่รออยู่ใกล้เคียง” หลิงไป๋กล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
‘หืม? มีคนกำลังใกล้เข้ามา!’ ขณะที่เฉินซีกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงคลื่นเสียงที่ดังแหวกอากาศมาจากทางด้านหลังที่ห่างออกไปราวสองลี้ เฉินซีจึงรีบโคจรอักขระจ้าววิญญาณแห่งเปลวเพลิงที่สามของเขา ทำให้ร่างของเขาเปลี่ยนเป็นเงาไฟ ซึ่งผสมผสานกับเปลวเพลิงวิญญาณที่ไร้ขอบเขตและปกปิดร่องรอยของเขาอย่างสมบูรณ์
แน่นอนว่าหลังจากที่เฉินซีปกปิดตัวเอง คลื่นปราณแท้ที่ทรงพลังก็พุ่งมาจากระยะไกล และพลังที่น่าเกรงขามของพวกมันก็ฉีกความว่างเปล่าออกจากกัน เมื่อพวกมันปรากฏตัวใกล้กับจุดที่เฉินซีอยู่ก่อนหน้านี้
แต่ที่น่าตกใจคือ พวกมันคือหวงฝู่ฉงหมิง ถันไถหง หลินโม่เซวียน และเซียวหลิงเอ๋อร์
“บัดซบ! เดิมทีข้าคิดที่จะอาศัยแผนที่ที่ยังไม่สมบูรณ์ซึ่งเราครอบครองอยู่ เพื่อเข้าสู่ขุมสมบัติของเฉียนหยวน โดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น เพราะตอนนี้มันสร้างความปั่นป่วนอย่างมากมาย ข้าเกรงว่าผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนจะถูกความโลภครอบงำ” หวงฝู่ฉงหมิงกล่าวด้วยสีหน้ามืดมน
ไม่ใช่แค่เขา คนอื่น ๆ ก็มีสีหน้าหดหู่เช่นกัน ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าขุมสมบัติของเฉียนหยวนจะลงมาสู่โลก และมันทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ในสวรรค์และผืนดิน
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
หลังจากที่กลุ่มของพวกเขามาถึง กลุ่มของหลิวเฟิ่งฉือจากเกาะฉลามมังกรแห่งทะเลตะวันออก และกลุ่มของหม่านหงจากภูเขานภาลัยแห่งแดนเถื่อนทางตอนเหนือก็มาถึงเช่นกัน ส่วนที่ตามหลังทั้งสองกลุ่มคือ เผยจงและเซวี่ยเฉินจากนิกายกระเรียนพิสุทธิ์ มีเพียงชิงซิ่วอี้เท่านั้นที่หายไป
“ข้าไม่นึกเลยว่าคนเหล่านี้จะมาถึงที่นี่แล้ว ถ้าข้าต้องการได้รับประโยชน์มากมายจากขุมสมบัติของเฉียนหยวน ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องระวังคนเหล่านี้…” เฉินซีซ่อนตัวอยู่ในเปลวเพลิงวิญญาณที่หนาแน่นในบริเวณใกล้เคียง และเขาครุ่นคิดเกี่ยวกับวิธีจัดการกับคนเหล่านี้ ในขณะที่เขาจ้องมองไปยังศัตรูที่เคยรุมโจมตีเขา
แต่ชิงซิ่วอี้กลับไม่ปรากฏตัวพร้อมกับพวกเขา ซึ่งมันเกินความคาดหมายของเฉินซีมาก แต่เป็นเช่นนี้ดีแล้ว ถ้ากล่าวถึงศัตรูที่เขาเกรงกลัวที่สุด ก็คงจะเป็นหญิงสาวคนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย สำหรับคนอื่น ๆ ตอนนี้เขาไม่ได้เกรงกลัวอีกต่อไป แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกกังวลในใจนั้นคือ หากคนเหล่านี้เข้าร่วมมือกัน การรับมือกับพวกมันก็จะลำบากอยู่บ้าง
“ขุมสมบัติปรากฏขึ้นแล้ว แต่เหตุใดแม่นางชิงถึงยังไม่มาอีก” หวงฝู่ฉงหมิงขมวดคิ้วขณะเขากวาดสายตามองไปยังคนรอบข้าง ก่อนที่จะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “ข้าคิดว่าทุกคนได้เห็นสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว การปรากฏตัวของขุมสมบัติเฉียนหยวนจะต้องดึงดูดความโลภของผู้คนนับไม่ถ้วนอย่างแน่นอน ข้าแนะนำให้พวกเราทุกคนร่วมมือกันชั่วคราว หลังจากที่เราเข้าไปในขุมสมบัติและยึดสมบัติทั้งหมดแล้ว เราจะแบ่งมันเท่า ๆ กัน สำหรับคนอื่น ๆ… ตราบใดที่พวกเขาต้องการที่จะแย่งชิงสมบัติกับเรา เราก็จะฆ่ามัน ทุกคนคิดว่าอย่างไร”
“ตกลง!”
“แผนนี้เหมาะสมที่สุด”
“พวกเราก็เห็นด้วยเช่นกัน”
คนเหล่านี้ล้วนไม่ได้โง่เขลา และหลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย พวกเขาก็พยักหน้าและตกลงตามคำแนะนำของหวงฝู่ฉงหมิง
‘อย่างที่คาดไว้ พวกมันต้องร่วมมือกัน…’ เฉินซีขมวดคิ้วเมื่อเห็นฉากนี้
“เฉินซี เข้าไปข้างในกันเถอะ เจ้าครอบครองไข่มุกเร้นนิรันดร์ลับดารามิใช่หรือ? มันจะมีประโยชน์ในเวลานี้นี่แหละ!” จู่ ๆ หลิงไป๋ก็กล่าวผ่านการกระแสปราณ
“ไข่มุกเร้นนิรันดร์ลับดาราหรือ?” เมื่อเฉินซีนึกออก เขารู้สึกดีใจในทันที และครุ่นคิดกับตัวเองว่า ‘ข้าลืมสมบัติชิ้นนี้ไปได้อย่างไร?’