บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 234 การทดสอบเริ่มต้นขึ้น
บทที่ 234 การทดสอบเริ่มต้นขึ้น
บทที่ 234 การทดสอบเริ่มต้นขึ้น
ในตอนนี้ เฉินซียืนอยู่ที่เบื้องหน้าประตู
นับตั้งแต่เขาเริ่มรวบรวมโอสถวิญญาณมาจนถึงตอนนี้ เขาก็ได้รับโอสถเหลวหยกนภานับแสนเม็ด ค่ายกลกระบี่พิทักษ์นิกายประกอบด้วยดาบระดับปฐพีขั้นสูงมากกว่าหมื่นเล่มและกระบี่ระดับปฐพีขั้นสุดยอดเก้าเล่ม วัตถุดิบสำหรับขัดเกลาอุปกรณ์ต่าง ๆ และวัตถุวิญญาณล้ำค่ามากมาย…
หากสมบัติทั้งหมดนี้รวมกันและแลกเปลี่ยนเป็นวารีวิญญาณ มันก็จะมีมูลค่ามหาศาล ดังนั้นเมื่ออยู่ในดินแดนทางใต้ การมีความมั่งคั่งเช่นนี้ก็สามารถสร้างนิกายขนาดกลางได้
แต่น่าเสียดาย หลังจากรวบรวมมาจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่เคยพบแผ่นหยกใด ๆ ที่มีเคล็ดวิชาการบ่มเพาะ กระบวนยุทธ์ระดับเต๋า เคล็ดวิชาการขัดเกลาศัสตรา เคล็ดวิชาการกลั่นโอสถ และเคล็ดวิชาการสร้างแผ่นยันต์อักขระ
บางทีอาจมีแผ่นหยกที่บันทึกเคล็ดวิชาเหล่านี้อยู่หลังประตูบานนี้ก็เป็นได้ เมื่อเฉินซีกำลังจะผลักประตูเข้าไป ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงคลื่นอากาศที่แยกออกจากกันที่ด้านหลังของเขา
“ไอ้หนู เจ้าอยู่ที่นี่เอง!”
“ฮ่า ๆๆ! มาดูกันว่าเจ้าจะหนีไปไหนได้ ไอ้เจ้าเด็กบัดซบ”
“ไอ้บัดซบ! เจ้าปล้นชิงสมบัติทั้งสิบแห่ง และไม่เหลือแม้แต่เศษขยะให้เราเลยสักชิ้น เจ้าทำเกินไปแล้ว!”
“สารเลว! จงมอบสมบัติมาซะ แล้วคุกเข่ารอรับความตายเสียโดยดี!”
พร้อมกับเสียงของอากาศที่แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ คลื่นเสียงคำสาปแช่งที่โกรธเกรี้ยวก็ดังขึ้น เฉินซีก็ไม่จำเป็นต้องเดาเลยด้วยซ้ำ เพราะเขารู้จักเจ้าของเสียงเหล่านั้นอยู่แล้ว และหากไม่ใช่หวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ จะเป็นผู้ใดกันเล่า?
‘น่าเสียดายที่คนเหล่านี้ไล่ตามข้ามาเร็วเกินไป และข้าเกรงว่าจะไม่มีโอกาสได้รับผลประโยชน์ทั้งหมดในภายหน้าอีกแล้ว’ เฉินซีคิดเช่นนี้ในใจ แต่การเคลื่อนไหวของเขากลับไม่ได้ช้าลงเลยแม้แต่น้อย ในทันใดที่เขาได้ยินเสียงอากาศแยกออกจากกัน เขาก็ไม่ลังเลที่จะผลักประตูและพุ่งเข้าไปในห้องโถงที่กว้างขวาง
เมื่อเขาเห็นภาพโดยรอบอย่างชัดเจน เขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
มันแตกต่างจากพื้นที่หลังประตูก่อนหน้านี้ ห้องโถงนี้ลึกและกว้างขวาง มีดวงดาวนับไม่ถ้วนประดับอยู่บนท้องฟ้าและพื้นดินปกคลุมด้วยภูเขาและแม่น้ำที่กว้างใหญ่ ทิวทัศน์งดงามเช่นนี้ต้องทำให้ผู้คนต้องตกตะลึง
มันเป็นมิติมหัศจรรย์ที่กว้างใหญ่จนไม่รู้จักจุดจบ ดังนั้นพวกเขาจึงมองไม่เห็นขอบเขตและจุดจบของมัน นอกจากนี้ ตรงจุดที่ท้องฟ้าและพื้นดินเชื่อมต่อกันมีรูปปั้นตั้งตรงอยู่
รูปปั้นของคนผู้นี้สูงตระหง่านยิ่งนัก เขามีใบหน้าที่เย็นชาและอำมหิต ศีรษะของเขาเชิดขึ้นฟ้าขณะที่ขาของเขาหยั่งลงผืนดิน เขายืนตระหง่านอยู่ระหว่างสวรรค์และปฐพี เสมือนกับยืนอยู่ตรงนั้นมาอย่างยาวนานจนไม่อาจประเมินได้และจะคงอยู่ต่อไป ไร้การขยับเขยื้อนไปชั่วนิรันดร์
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนรูปปั้นนี้จะสังเกตเห็นการมาถึงของเฉินซี ทันใดนั้น กลิ่นอายโบราณและกว้างใหญ่ได้พวยพุ่งออกมาจากรูปปั้นขนาดมหึมาอย่างกะทันหัน และในเวลาเดียวกัน แสงสีทองพร่างพรายสายแล้วสายเล่าก็พุ่งออกมาจากจุดชีพจรทั้งหมดบนตัวรูปปั้นขนาดมหึมา
ครืน! ครืน!
เสียงฟ้าร้องดังก้องราวกับกระแสน้ำซัดสาดออกไป ในขณะที่พลังทำลายล้างบนรูปปั้นขนาดมหึมานั้นไหลเวียนออกมาจากทุกจุดชีพจรบนร่างกายของมัน และเฉินซีก็ได้ยินเสียงบทสวดอันยิ่งใหญ่ที่คล้ายกับภาษาสันสกฤต กำลังสวดอย่างแผ่วเบามาจากสวรรค์
ท้องฟ้าและผืนดินดูเหมือนจะเต็มไปด้วยร่างของรูปปั้นขนาดมหึมานี้ แสงสีทองที่เจิดจ้ามากมายและพลังที่ไร้ขอบเขตได้ถูกแผ่ออกมาในขณะนี้ ทำให้รูปปั้นดูเหมือนกับเป็นเทพเจ้าโบราณที่ฟื้นคืนชีพจากความตาย และมันทำให้ผู้คนรู้สึกว่าตนเองนั้นต่ำต้อยราวกับมดปลวก
ในขณะเดียวกัน หวงฝู่ฉงหมิง และคนอื่น ๆ ก็พุ่งเข้ามาในห้องโถงอย่างต่อเนื่อง
“ไอ้สารเลว! เจ้าหนีเร็วจริง ๆ ให้ข้าดู…” เสียงนั้นหยุดกะทันหันเช่นเดียวกับเฉินซี จิตใจและวิญญาณทั้งหมดของพวกเขารู้สึกตกตะลึงกับรูปปั้นสูงส่งเสมือนยืนค้ำสวรรค์อยู่
“หืม? เกิดอะไรขึ้น…” ไม่นานหลังจากที่หวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ เข้ามา อันเชี่ยนอวี้ หวังเต้าซวี่ และเจิ้นหลิวชิงต่างก็กะพริบตาถี่ แต่เมื่อพวกเขาเห็นรูปปั้นขนาดมหึมานี้อย่างชัดเจน รูม่านตาของพวกเขาก็หดตัวด้วยความตกตะลึงอย่างพร้อมเพรียง
พร้อมกับรูปปั้นหินที่เผยให้เห็นปรากฏการณ์ที่น่าตกใจนี้ การเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงเกิดขึ้นไปทั่วทั้งขุมสมบัติเฉียนหยวน ผู้บ่มเพาะเหล่านั้นที่ยังคงถูกคุมขังอยู่ที่ด้านนอกของค่ายกลแปดวิถีผนึกทองคำในขณะนี้ ได้ถูกเคลื่อนย้ายมาที่นี่ด้วยพลังที่ไร้รูปร่าง และพวกเขาล้วนตกตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้าทันทีที่พวกเขาหายจากอาการตกใจ
ในเวลานี้ ด้วยการมาถึงของเฉินซี ซึ่งเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำที่ได้เข้าไปในขุมสมบัติเฉียนหยวนก่อนหน้านี้ โดยอาศัยไข่มุกเร้นนิรันดร์ลับดารา ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางทั้งหมดที่ได้เข้าสู่ขุมสมบัติได้ถูกรวบตัวเข้ามาไว้ในพื้นที่ไร้ขอบเขตนี้ จิตใจและความคิดของพวกเขารู้สึกหวาดกลัว สับสนและไร้คำพูด
ครืนนน!
ท่ามกลางเสียงสวดมนต์ที่สั่นสะเทือนทั้งสวรรค์และโลก ดวงตาของรูปปั้นหินที่ดูเย็นชาและอำมหิตก็ฉายแสงประหลาดที่สว่างและพร่างพราวออกมา ตาขวาของมันค่อย ๆ ส่องประกาย ราวกับดวงอาทิตย์ส่องแสงเพื่อนำความมีชีวิตชีวามาสู่สรรพสิ่งและโลกใบนี้ ในขณะที่ตาซ้ายของมันกลับเป็นสีดำสนิทเสมือนกับท้องฟ้ายามค่ำคืนและหมุนเวียนอย่างไร้ขอบเขต ความมืดมิดของมันเต็มไปด้วยพลังทำลายล้าง ความตาย ความหนาวเย็น และการเข่นฆ่า
หนึ่งดำและหนึ่งขาว หนึ่งใสและหนึ่งขุ่น ดวงตาทั้งสองของมันทำให้หัวใจของผู้คนนับไม่ถ้วนสั่นไหวด้วยความกลัวและรู้สึกเคารพ เสมือนกับเป็นเทพเจ้าที่มองลงมายังโลกและเฝ้าดูทุกสรรพสิ่ง ซึ่งสิ่งนี้ได้ส่งผลกระทบต่อจิตใจและดวงวิญญาณของผู้คนอย่างรุนแรง
“เต๋าแห่งนภาประณามความอยุติธรรมถึงแก่นแท้ของฟากฟ้าและพิพากษาความยุติธรรมในนามของสวรรค์ เต๋าแห่งการเริ่มต้นหวนคืนสู่ความเงียบสงบของความว่างเปล่า โดยปกปิดความชั่วร้าย ส่งเสริมความดี และสยบเหล่าบาปทั้งมวล นามของข้าชื่อเฉียนหยวน ข้าเหาะเหินสู่สวรรค์เพื่อทำความเข้าใจแก่นแท้แห่งนภาและลงมายังโลกเพื่อเฝ้าดูความชั่วร้ายทั้งมวล ข้าทิ้งขุมสมบัตินี้ไว้เพื่อให้คนมีชะตาต้องกัน และถือได้ว่าเป็นการทำบุญที่มีอานิสงส์ครั้งใหญ่” ทันใดนั้น ก็เกิดเสียงเสมือนระฆังดังกึกก้องไปทั่วสวรรค์และปฐพี มันดูเหมือนเสียงสวดภาษาสันสกฤตดังมาจากสวรรค์
ท่ามกลางเสียงสวดมนต์นี้ ทุกคนที่อยู่ที่นั่นรู้สึกว่าร่างกายและจิตใจของพวกเขาได้รับการชำระล้างอย่างหมดจด
“เต๋าถูกมอบให้กับผู้ที่มีโชคชะตา ข้าได้สร้างบททดสอบทั้งสามโดยเฉพาะ และผู้ที่ผ่านบททดสอบจึงจะได้รับสมบัติ และผู้ที่ล้มเหลวจะต้องถอนตัวไป พวกเจ้าต้องระลึกไว้เสมอ จงทำอย่างสุดความสามารถ อย่าปล่อยให้ความโลภมาแผดเผาจิตใจและหาทางลัดใด ๆ” ทันทีที่สิ้นเสียงกล่าว รูปปั้นที่ยืนค้ำท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นลำแสงเจิดจ้านับไม่ถ้วน พวกมันหมุนวนขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนจะหายวับไป บรรยากาศโดยรอบก็ฟื้นคืนสู่ความเหน็บหนาวและความเงียบงันก่อนหน้านี้ในทันที
ทุกคนรู้สึกราวกับว่าพวกเขาได้เข้าไปในมิติที่เต็มไปด้วยสีขาวในทันที และสภาพแวดล้อมก็เงียบสงบเป็นอย่างมาก จากนั้นพวกเขาต่างก็แยกกันอยู่ตามลำพัง
…
บริเวณโดยรอบนั้นขาวโพลนไปหมด ราวกับหมอกและควันที่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เฉินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอกหลังจากที่มองไปรอบ ๆ ก็พบว่าตนเองถูกแยกออกมาจากคนอื่น ๆ แล้ว และเขาก็ไม่ต้องกังวลว่าพวกของหวงฝู่ฉงหมิงจะรุมเข้ามาโจมตีเขาอีกต่อไป
‘นี่คือมิติสำหรับทดสอบที่เจ้าของขุมสมบัติทิ้งไว้หรือ หืม?’ เฉินซีนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นและตั้งใจจะบอกให้หลิงไป๋ระวังตัวมากขึ้น ทว่าเขากลับพบว่าสหายตัวน้อยได้ถูกกักขังอยู่ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ จึงไม่ได้ยินที่เขากล่าวใด ๆ นอกจากนี้ ชายหนุ่มก็ไม่อาจอัญเชิญหลิงไป๋ออกจากเจดีย์บำเพ็ญทุกข์เช่นกัน
‘หรือว่าที่นี่มีข้อจำกัดที่ลึกลับและแปลกประหลาด?’ เฉินซีรู้สึกวิตกอยู่ในใจ ในขณะนี้ เขาเห็นแสงสีขาวที่พร่างพรายรอบ ๆ ตัวเขากระเพื่อมเหมือนน้ำ ก่อนที่มันจะเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปในทันใด
วูบ!
จู่ ๆ ร่างแสงที่สวมชุดสีขาวก็ปรากฏขึ้นจากในแสงสีขาว กระดูกสันหลังของร่างนั้นตั้งตรงเหมือนกระบี่ และเมื่อเฉินซีไตร่ตรองอย่างละเอียดแล้ว ก็พบว่าร่างแสงนี้มีส่วนคล้ายกับเขาราวกับฝาแฝด
แต่เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่า ร่างแสงนี้ไม่ใช่ตัวเขาอย่างแน่นอน และมันก็ก่อตัวขึ้นจากแสงสีขาวพร่างพราวที่อยู่รอบ ๆ
อันที่จริง ไม่ใช่แค่เฉินซีเท่านั้น ในขณะนี้ คนอื่น ๆ เช่น หวงฝู่ฉงหมิง หลินโม่เซวียน เซียวหลิงเอ๋อร์ หลิวเฟิ่งฉือ หม่านหง อันเชี่ยนอวี้ หวังเต้าซวี่ เจิ้นหลิวชิง และคนอื่น ๆ ล้วนอยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับเฉินซี พวกเขาอยู่ในมิติที่ตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง และต้องเผชิญหน้ากับร่างแสงของตนเองที่ถูกควบแน่นจากแสงสีขาวพร่างพราว
“บททดสอบแรก ‘สังหารตนเอง’ หากสามารถฆ่าคู่ต่อสู้ได้ก็ถือว่าผ่านบททดสอบ จงจำไว้ว่ามีเพียงสิบสองคนแรกเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์สืบทอดกระบวนยุทธ์ระดับเต๋า” ทันใดนั้น พลันเกิดเสียงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณโดยรอบขึ้นอีกครั้ง ถึงแม้น้ำเสียงของมันไม่ชัดเจน แต่กลับเย็นยะเยือกและหนักแน่น ปราศจากความรู้สึกใด ๆ
‘กระบวนยุทธ์ระดับเต๋า? มีเพียงสิบสองคนแรกเท่านั้นที่จะได้รับมันไปอย่างนั้นหรือ?’ เฉินซีคิดในใจ
ฟิ้ว!
ร่างแสงที่อยู่เบื้องหน้าเขาได้ก้าวมาข้างหน้า และมาถึงตรงหน้าเฉินซีอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ จากนั้นมันก็แทงกระบี่อันคมกริบของมันออกมา
เคล็ดวาตะเหินทะยาน!
คัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบ กระบี่สวินแห่งวายุ!
ฐานการบ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำขั้นสมบูรณ์!
ทันใดนั้น เฉินซีก็สังเกตได้ทันทีว่าเคล็ดวิชาต่อสู้ เคล็ดวิชาตัวเบา และความแข็งแกร่งของร่างแสงนี้เหมือนกับเขาทุกประการ!
‘สังหารตนเอง… บางทีบททดสอบนี้อาจเป็นการทดสอบที่ต้องเอาชนะตนเอง…’ ขณะที่ความคิดแวบเข้ามาในหัวของเขา การเคลื่อนไหวของเฉินซีก็ไม่ได้ช้าลงเลยแม้แต่น้อย ทันทีที่กระบี่ลมเฉือนออกจากฝัก ก็โจมตีออกไปอย่างดุร้าย
เมื่อครั้งที่เขาอยู่ในหอขุมทรัพย์สวรรค์ของเมืองห้วงทะเลทรายมรณะ ท่านหญิงสุ่ยฮวาเคยสั่งให้ข้ารับใช้หญิงมอบกระบี่ระดับล้ำลึกขั้นสุดยอดให้เฉินซีสิบเล่ม และ ‘กระบี่ลมเฉือน’ ก็เป็นหนึ่งในกระบี่เหล่านั้น มันประกอบขึ้นเป็นชุดกระบี่อัสนีนภา เขายังมีกระบี่ห้าธาตุอีกชุดหนึ่ง ชุดกระบี่หยินหยางอีกหนึ่งชุด และกระบี่ดาราจักรอีกหนึ่งชุด
“กระบี่สวินแห่งวายุ!” ข้อมือขวาของเฉินซีสั่นสะท้าน ขณะที่กระบี่ลมเฉือนดูเหมือนเศษเสี้ยวของเทพธิดาแห่งสายลมที่ว่องไว ขณะทะยานออกไปสกัดกั้นการโจมตี
สัญลักษณ์สวินเป็นตัวแทนของสายลม และสายลมก็เป็นตัวแทนของอิสรภาพโดยปราศจากเหนี่ยวรั้งใด ๆ เมื่อมันรุนแรง มันก็ทำให้ทะเลแยกและภูเขาแตกเป็นเสี่ยง ๆ แต่เมื่อมันอ่อนโยน มันก็เหมือนกับใบหลิวลู่ลม ในบรรดากระบวนท่ากระบี่ทั้งแปดของคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบ เฉินซีเชี่ยวชาญกระบี่สวินแห่งวายุที่สุด ยิ่งกว่านั้น เมื่อเขาใช้มันกับศัตรูในขณะนี้ มันก็แสดงอานุภาพออกมาได้อย่างน่าตื่นตะลึง
หลังจากผ่านการไตร่ตรอง บททดสอบแรกที่เจ้าของขุมสมบัติเฉียนหยวนกำหนดขึ้นนั้นเป็นการทดสอบเพื่อเอาชนะตนเอง ถ้าผู้ใดอยากเอาชนะใจตัวเอง ก็ต้องสู้และสยบอีกฝ่ายในทุกด้านเสียก่อน จึงจะถือว่าเอาชนะใจตัวเองได้อย่างแท้จริง หากมีผู้ใดพยายามใช้เล่ห์กล คนผู้นั้นย่อมไม่อาจผ่านการทดสอบนี้ได้ตลอดไป
สาเหตุของการเอาชนะใจตนเองคืออะไร?
ก็เพื่อประโยชน์ในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับเส้นทางสู่เต๋า โดยไม่เกรงกลัวต่ออดีต อนาคต และไม่ยอมแพ้ในหนทางสู่มหาเต๋าอันกว้างใหญ่ สิ่งนี้ไม่ใช่การวัดระหว่างเคล็ดวิชากับความแข็งแกร่ง แต่มันเป็นการทดสอบดวงจิตแห่งเต๋า และความแข็งแกร่งของดวงจิตแห่งเต๋าก็เป็นแกนหลักของการทดสอบนี้
ฟ่อ~ ฟ่อ~ ฟ่อ~
กระบวนท่า ‘กระบี่สวินแห่งวายุ’ ปะทะเข้ากับกระบวนท่า ‘กระบี่สวินแห่งวายุ’ กระบี่ทั้งสองราวกับเป็นสายลมที่โหมกระหน่ำอย่างไร้จุดจบขณะโรมรันกัน พวกมันสาดปราณกระบี่ออกไปโดยรอบ และดูเหมือนว่าพวกมันไม่ได้คิดจะปะทะกันด้วยกำลัง แต่ราวกับกำลังค้นหาจุดอ่อนของอีกฝ่าย
โอม!
เมื่อร่างแสงเห็นว่าไม่อาจทำอะไรกับเฉินซีได้เลยสักนิด มันก็ตัดสินใจเปลี่ยนกระบวนท่าเป็นกระบี่หลีแห่งอัคคีในทันที เวลานั้น เปลวเพลิงแผดเผาได้ถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรง
เฉินซีเองก็เปลี่ยนไปใช้กระบี่หลีแห่งอัคคีในทำนองเดียวกัน และพุ่งเข้าใส่ร่างแสงที่อยู่เบื้องหน้า
ในขณะที่พวกเขาต่อสู้กัน กระบวนท่าทั้งแปดของคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบได้ถูกใช้สลับไปมา และพวกเขาต่างก็ติดพันอยู่ในการต่อสู้ไปสักระยะหนึ่ง
แต่อย่างไรก็ตาม เพียงชั่วพริบตา!
ฟู่! ฟู่!
ร่างแสงนั้นส่งเสียงดังอู้อี้ขึ้น เวลาเดียวกัน บนลำคอของมันปรากฏรูเจาะด้วยคมกระบี่ จากนั้นมันก็แตกสลายเป็นแสงสีขาวอีกครั้งก่อนที่จะหายไป
‘แม้ว่าความแข็งแกร่งของมันจะเท่ากับข้า แต่วัตถุที่ไม่มีชีวิตก็คือไม่มีชีวิตในท้ายที่สุด ตราบใดที่ดวงจิตแห่งเต๋าของข้ายังมั่นคง ยามนี้ข้าได้ตัดขาดความลุ่มหลงทั้งหมด ตัดอัตตาของข้า และขจัดใจมารแล้ว เมื่อนั้นก็ไม่มีสิ่งใดจะทำอะไรข้าได้ ดังนั้นมันจะเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้อย่างไร?’
เฉินซีส่ายศีรษะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาประสบในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้ทำให้ดวงจิตแห่งเต๋าของเขาได้รับการขัดเกลาจนเฉียบแหลมเหมือนคมมีดและแข็งแกร่งเหมือนหินผา เขาจะถูกทำร้ายด้วยร่างเงาของตนเองได้อย่างไร?
“ถ้าผู้บ่มเพาะมัวแต่ฝึกฝนแต่ยังไม่อาจควบคุมจิตใจได้ แล้วจะอยู่เหนือสรรพสัตว์ได้อย่างไร? ถ้าผู้ใดแสวงหาเต๋า แต่ไม่สามารถยับยั้งจิตใจได้ ก็ไม่ควรค่าที่จะกลายเป็นเซียน” เสียงอันไพเราะดังขึ้นอีกครั้ง “ขอแสดงความยินดีกับการเป็นผู้ผ่านการทดสอบคนที่สี่ โปรดเลือกหนึ่งในเก้ากระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่เหลือและยอมรับมัน”