บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 24 คำชี้แนะ
บทที่ 24 คำชี้แนะ
บทที่ 24 คำชี้แนะ
เฉินซีหาได้เดินเตร็ดเตร่ไปมา เมื่อออกจากหอวิจิตรแล้วเขาก็รีบมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารนทีกระจ่างทันที
ผู้เฒ่าหม่าอดไม่ได้ที่จะรู้สึกพึงพอใจ เมื่อเห็นเฉินซีกลับมาภายในหนึ่งวัน “เจ้าหนูนี่ไม่เลว เขารู้วิธีใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดเพื่อพัฒนาศิลปะการปรุงอาหารของเขา…”
“ข้าต้องการปิดด่านฝึกตนภายในห้องอันเงียบสงบ” เฉินซียื่นคำขอของเขา
แม้ว่าปฏิบัติการลอบสังหารของผู้ดูแลอู๋ที่มุ่งเป้ามายังเขาจะล้มเหลวไปแล้วด้วยฝีมือของหลัวชง แต่เฉินซีหาได้รู้สึกสบายใจเลยแม้แต่น้อย กลับกันเขายิ่งรู้สึกถึงอันตรายที่สะสมขึ้นแทนที่จะลดน้อยลง
เพื่อปกป้องตัวเอง เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องละทิ้งงานสร้างยันต์ของเขา และวางแผนที่จะอยู่แต่ในร้านอาหารนทีกระจ่างนับจากนี้ เพื่อฝึกฝนศิลปะการปรุงอาหารและฝึกฝนทักษะการต่อสู้ควบคู่ไปด้วย
ผู้เฒ่าหม่ารู้สึกมีความสุขยิ่งนักยามเมื่อได้ยินถึงสิ่งนี้ จากนั้นเขาก็โบกมือเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “ย่อมได้! ข้าจะเตรียมวัตถุดิบทั้งหมดให้เจ้า และเฝ้ารอวันที่เจ้าก้าวเข้าสู่การเป็นพ่อครัววิญญาณระดับสองใบไม้!”
เฉินซีลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพยักหน้ารับ “ศิษย์จะตั้งใจฝึกฝน!”
ในเวลาไม่นาน เฉินซีก็มาถึงภายในห้องอันเงียบสงบอีกครั้ง เขาได้ไตร่ตรองในขณะที่จ้องมองไปยังวัตถุดิบรอบกายที่กองสูงเท่าภูเขา ‘ด้วยวัตถุดิบทั้งหมดเหล่านี้ไม่เพียงแต่ข้าจะสามารถฝึกฝนศิลปะการปรุงอาหาร แต่ข้ายังสามารถเติมเต็มปราณแท้ให้แก่ร่างกายของข้าได้อีกด้วย กอปรกับที่แห่งนี้เงียบสงบและปลอดภัย ข้าจึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกรบกวนจากโลกภายนอก ยิ่งกว่านั้นเวลาที่เหลือยามดึกข้าสามารถฝึกฝนทักษะการต่อสู้ที่นี่ก็ย่อมได้เช่นกัน…’
เฉินซีไม่รอช้าก่อนที่จะเริ่มแยกแยะและคัดแยกวัตถุดิบตามประเภทและรสชาติที่แตกต่างกัน
จากประสบการณ์ครั้งที่แล้ว เฉินซีสามารถทำขั้นตอนนี้ได้อย่างง่ายดายมากขึ้นและใช้เวลาไม่นานนัก ก่อนที่เขาจะเสร็จสิ้นการจัดห้องที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบ
หลังจากนั้นเขาก็เดินไปที่เบื้องหน้าเตาและเริ่มเตรียมการปรุงอาหาร
ปัจจุบันเฉินซีได้เป็นบรรลุพ่อครัววิญญาณหนึ่งใบไม้แล้ว ดังนั้นทักษะการใช้มีด การควบคุมเปลวไฟ หรือการผสมผสานของรสชาติของวัตถุดิบ เขาก็มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาต้องการก้าวไปสู่การเป็นพ่อครัววิญญาณระดับสองใบไม้ ชายหนุ่มจะต้องสามารถปรุงอาหารที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อกำเนิดได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เฉินซีรู้สึกลำบากขึ้น
ถึงกระนั้นเขาก็ยังโชคดีที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้เฒ่าหม่า ดังนั้นเฉินซีจึงไม่ต้องกังวลว่าจะต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบเลยแม้แต่น้อย ต่อให้จะล้มเหลวมากมายขณะพยายามจะปรุงอาหารเพื่อพัฒนาเต๋าของตนเอง
มีดทำครัวโบกเฉือนราวผีเสื้อกระพือปีกเพื่อเตรียมวัตถุดิบให้เรียบร้อย จากนั้นเฉินซีก็ควบคุมเปลวไฟวิญญาณ ขณะที่เขาเทส่วนผสมลงในกระทะเหล็กและเริ่มปรุงอาหารอย่างระมัดระวัง
ข้อมือของเขามั่นคง สายตาจดจ่อ ทันใดนั้น เขาก็เขย่ากระทะและทัพพีเหล็กอย่างต่อเนื่องด้วยจังหวะอันแปลกประหลาด และวัตถุดิบต่าง ๆ ก็กลิ้งไปมาภายในกระทะที่กำลังร้อนเดือด ราวกับคลื่นที่ซัดสาดทีละชั้น ช่างเป็นภาพที่น่าดูชมยิ่งนัก
เฉินซีสังเกตเห็นชัดเจนว่าการปรุงอาหารในครั้งนี้ดูราบรื่นและง่ายดายกว่าคราก่อนนัก การแปรผันทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับวัตถุดิบต่าง ๆ ภายใต้การควบคุมของตะหลิวเหล็ก ก็ซึมซับเข้าสู่หัวใจของเขา
“น่าจะเป็นเพราะการที่ข้าเฝ้ามองรูปปั้นเทพเจ้าฝูซีอยู่ตลอดเวลา ความรู้สึกเยี่ยงนี้มันคล้ายตอนที่ข้าสร้างแผ่นยันต์อักขระแบบใหม่พวกนั้น!” เฉินซีพึมพำ แล้วตอนนี้เขาก็เข้าใจถึงเหตุที่ทำให้เคล็ดวิชาจินตภาพนั้นล้ำค่ามาก
ฉ่าาาา!
ในช่วงเวลาที่อยู่ในภวังค์ วัตถุดิบในกระทะเหล็กถูกความร้อนเผาจนไหม้หมดสิ้น เฉินซีรีบฟื้นคืนสติ และมิกล้าปล่อยให้จิตใจของเขาโลดแล่นอีกต่อไป
จากนั้นชายหนุ่มก็ใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายประสบกับความผิดพลาด มันช่างช่วยไม่ได้ ภายใต้สถานการณ์ที่เขาไม่มีผู้ใดคอยชี้แนะ เขาก็ทำได้เพียงเรียนรู้จากการลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นสิ่งที่ยากมาก
จานที่ล้มเหลวทั้งหมดถูกยัดเข้าไปในกะเพาะของเขาทีละจาน ๆ ด้วยเหตุผลคือประการแรกเพื่อวิเคราะห์สาเหตุของความล้มเหลว และประการที่สอง แม้ว่าเขาจะล้มเหลวในการปรุงอาหารด้วยวัตถุดิบเหล่านี้ แต่วัตถุดิบทั้งหมดที่ปรุงล้มเหลวก็ยังคงมีปราณวิญญาณหลงเหลืออยู่ไม่มากก็น้อย ซึ่งสามารถเติมเต็มร่างกายและสกัดเป็นปราณแท้เข้าสู่ตันเถียนของเขาได้
เฉินซีหยุดปรุงอาหารเมื่อเวลาล่วงเลยไปถึงยามค่ำคืน จากนั้นจึงนั่งลงเพื่อเตรียมทำสมาธิ
การฝึกศิลปะการปรุงอาหารของเขาตลอดยามบ่ายทำให้จิตใจของชายหนุ่มเหนื่อยล้ายิ่งนัก เมื่อนั่งสมาธิผ่านไปได้พักหนึ่งจิตใจของเขาจึงกลับสู่สภาวะที่ผ่อนคลายและสงบ
ครืน! ครืน!
ปราณแท้เป็นดั่งลำธารสายใหญ่ที่ไหลทะลักหมุนเวียนไม่หยุดอยู่ภายในร่างกายของเขา
ปราณแท้เหล่านี้เกิดจากการสกัดปราณวิญญาณที่แฝงอยู่ภายในวัตถุดิบที่เฉินซีได้กินตลอดยามบ่าย และเก็บสะสมอยู่ภายในร่างกายของเขา พวกมันเป็นดั่งโอสถวิญญาณจำนวนมากที่แปรเปลี่ยนเป็นปราณแท้อย่างรวดเร็วและไหลเข้าเติมเต็มจุดตันเถียนของเขา
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เฉินซีก็ตื่นขึ้นจากการทำสมาธิ และเขาอดไม่ได้ที่จะยินดีเมื่อพบว่าการบ่มเพาะของตัวเองก้าวหน้าขึ้น ถ้าเขายังคงฝึกฝนด้วยความมานะนี้ต่อไป เขาจะสามารถก้าวไปสู่ขอบเขตก่อกำเนิดขั้นที่เก้าได้ภายในหนึ่งเดือน!
หลังจากก้าวสู่ขอบเขตก่อกำเนิดขั้นเก้าแล้ว เฉินซีจำเป็นต้องสะสมปราณแท้ให้เพียงพอ เพื่อเตรียมสร้างตำหนักอินทนิลภายในตันเถียนของเขา สิ่งนี้เป็นการก่อสร้างรากฐานเพื่อกลายเป็นผู้บ่มเพาะที่แท้จริง ในภายภาคหน้าไม่เพียงแต่เฉินซีจะสามารถท่องทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ แต่ยังสามารถใช้ประโยชน์จากสมบัติวิเศษ และความแข็งแกร่งของเขาก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล!
อย่างไรก็ตาม หากข้าต้องการผ่านบททดสอบระดับแรกของสรวงสวรรค์ ข้าต้องบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลเสียก่อน แต่การขัดเกลากายาของข้ายามนี้เพิ่งบรรลุเพียงวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพขั้นที่สาม และการบ่มเพาะยังคงห่างไกลจากขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์อีกสองขั้น เมื่อใดกันที่จะก้าวผ่านจากขอบเขตก่อกำเนิดไปสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลได้…” เฉินซีครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ อยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะดึงถุงร้อยสมบัติออกมา
ถุงร้อยสมบัตินี้เป็นของที่ฉินหงเหมี่ยนมอบให้เป็นของขวัญและสั่งหลัวชงนำมาให้แก่เขา ภายในนั้นมีทักษะการต่อสู้สำหรับผู้บ่มเพาะภายนอกสิบสามแบบ อันได้แก่กรงเล็บสยบพยัคฆ์ ฝ่าเท้าลักษณ์มังกร ฝ่ามือปราบมหาปีศาจ และท่าก้าววิหคทอง ที่เฉินซีเห็นในหอวิจิตรอยู่รวมในนั้น เมื่อรวมกับหมัดถล่มทลายที่เขาใช้ศิลาวิญญาณมากกว่าหนึ่งร้อยก้อนเพื่อซื้อมาก่อนหน้านี้ ทักษะการต่อสู้สำหรับผู้บ่มเพาะภายนอกที่อยู่ในครอบครองตอนนี้จึงมีทั้งหมดสิบสี่ทักษะ
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง ที่จะได้รับทักษะการต่อสู้สำหรับผู้บ่มเพาะภายนอกถึงสิบสี่ทักษะภายในหนึ่งวัน และเขาก็เริ่มอ่านมันอย่างขะมักเขม้น
กรงเล็บสยบพยัคฆ์เป็นทักษะการต่อสู้ที่มุ่งเน้นการเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของนิ้ว กระบวนท่านั้นคล่องแคล่วรวดเร็ว อีกทั้งพลังทะลุทะลวงของมันนับว่าน่าทึ่งมาก สามารถทำลายก้อนหินและท่อนไม้หนาให้แตกสลายอย่างง่ายดายราวกับหักกิ่งไม้แห้ง
ย่างก้าวลักษณ์มังกรประกอบด้วย ย่างก้าวมังกรนิทรา ย่างก้าวมังกรล่อง ย่างก้าวมังกรดุดัน ย่างก้าวมังกรเหิน ย่างก้าวมังกรขาวมหัศจรรย์ ย่างก้าวมังกรกระโจน ย่าวก้าวแปดมังกรทองอรชร
จุดเด่นของย่างก้าวเหล่านี้มุ่งเน้นไปที่การเคลื่อนที่ไปเบื้องหน้า การกระโดด การเคลื่อนไหวไปข้างหลัง การเคลื่อนไหวไปด้านข้าง การเคลื่อนไหวแบบย้อนทิศ และการเคลื่อนไหวที่คดเคี้ยว การเคลื่อนไหวพื้นฐานทั้งแปดนี้ เรียกอีกอย่างว่าแปดก้าวของมังกรสวรรค์ ซึ่งมีทั้งการรุกและรับ เปี่ยมด้วยการแปรผันอันยอดเยี่ยมอย่างหาที่เปรียบมิได้
ฝ่ามือปราบมหาปีศาจ ใช้มือสร้างผนึก เต็มไปด้วยพลังที่แข็งแกร่งและหนาแน่น สามารถรวบรวมพลังชีวิตและโลหิตที่สำคัญ ยามใช้เคล็ดวิชาจึงทำให้มือเป็นสีแดงสดดั่งโลหิต อีกทั้งยังเพิ่มพูนพลังของฝ่ามือเพื่อระเบิดออกด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง
วิชาท่าก้าววิหคทอง โดดเด่นเรื่องความรวดเร็วราวกับสายฟ้า เป็นทักษะกระจายความคล่องแคล่ว เมื่อได้รับการฝึกฝนในขั้นสูง สามารถหลบลูกศรนับหมื่นที่ถูกยิงเข้ามาโดยปราศจากการบาดเจ็บใด ๆ
…
หลังจากทำความเข้าใจทักษะการต่อสู้อย่างต่อเนื่อง เฉินซีไม่รู้ว่าจะเลือกอย่างไรดี ราวกับว่าทักษะการต่อสู้ทุกแบบเป็นสิ่งที่เขาต้องการ และหาได้มีทักษะใดที่ไร้ประโยชน์สำหรับเขา
ความรู้สึกนี้ช่างปวดร้าวยิ่งนัก ราวกับว่าต้องเผชิญกับโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารอันโอชะ แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นคีบจากจานไหน
“เจ้ากำลังลังเลถึงสิ่งใด? ข้าขอถามเจ้าว่าอยากศึกษาสิ่งใดมากที่สุด” น้ำเสียงอันเต็มไปด้วยประสบการณ์ที่ผ่านความผันผวนของชีวิตดังก้องอยู่ภายในห้อง และเสียงก็ยิ่งดังกังวานขึ้นเรื่อย ๆ จี้อวี๋ที่มีกีบเท้าสีดำสนิทราวกับหมึกและมีเขาเพียงอันเดียวบนศีรษะก็ปรากฏขึ้นภายในห้อง
“เหตุใดท่านถึงออกมาภายนอกได้” เฉินซีตกใจมากพลันกล่าวออกไป
“ใครบอกเจ้ากันว่าข้าออกมาไม่ได้? อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือเจ้าต้องการเรียนรู้สิ่งใดกันแน่” จี้อวี๋ส่ายศีรษะอย่างเกียจคร้าน จากนั้นแสงสีดำก็ส่องประกาย และเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นชายชราที่มีใบหน้าซูบตอบและมีท่าทางสง่างาม
เฉินซีตกตะลึงแล้วก็ดำดิ่งภายในห้วงความคิด
จี้อวี๋ไม่ได้รบกวนเขา เนื่องจากการเลือกทักษะต่อสู้ที่จะฝึกฝนนั้นสัมพันธ์กับระดับของความแข็งแกร่งยามที่ต้องต่อสู้ บางคนเชี่ยวชาญในการใช้ดาบ บางคนอาจเชี่ยวชาญในการใช้กระบี่ และสิ่งสำคัญคือต้องดูว่าทักษะการต่อสู้ประเภทนี้เหมาะสมกับตัวเองหรือไม่
หลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนาน เฉินซีก็กล่าวในทันทีว่า “ข้าต้องการเรียนรู้ทักษะการต่อสู้ที่เปี่ยมไปด้วยการโจมตีที่แข็งแกร่งและความสามารถในการหลบหลีกอันรวดเร็วที่สุด”
จี้อวี๋รู้สึกประหลาดใจจากนั้นพลันยิ้มอย่างจาง ๆ “เจ้าอยากฟังความคิดเห็นของข้าหรือไม่”
เฉินซีพยักหน้าและยอมรับความคิดของเขาอย่างเปิดเผย เพราะการรับฟังรายละเอียดจากคนที่อาวุโสกว่าก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย โดยเฉพาะคนที่ตรงไปตรงมาอย่างจี้อวี๋
“ไม่เลว” จี้อวี๋กล่าวคำชมที่หายากยิ่ง จากนั้นการท่าทีของเขาก็เคร่งขรึมขึ้น และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “จริง ๆ แล้ววิชาการต่อสู้ทุกแขนงแทบไม่ต่างกัน เพียงแต่ว่าในแง่ของอำนาจการโจมตีกระบี่จะได้เปรียบที่สุด”
“ตัวเจ้าผู้ซึ่งเป็นผู้ขัดเกลากายาเทพ อันดับแรกควรฝึกฝนทักษะควบคุมพลังธรรมชาติ ตัวอย่างเช่นพลังฟ้าดิน เปลี่ยนฝ่ามือเป็นประหนึ่งขุนเขา แปรร่างให้เป็นดั่งทองคำ ควบคุมพลังธรรมชาติให้เพลิงเผาผลาญภูเขาได้ ต้มมหาสมุทรให้เดือดพล่าน สิ่งเหล่านี้ผู้บ่มเพาะปราณแท้ภายในไม่สามารถเรียนรู้ได้ หรือจะมีก็แต่ผู้ที่บ่มเพาะทั้งปราณภายในและบ่มเพาะกายาเทพควบคู่กันไปด้วยเท่านั้นจึงจะสามารถมีได้ ส่วนเรื่องที่เจ้าต้องการความเร็วและพลังการโจมตีที่เฉียบขาด ตรงนี้เจ้าสามารถแก้ไขได้โดยการบ่มเพาะปราณแท้ภายใน ซึ่งการเลือกใช้กระบี่เป็นอาวุธในข้อนี้ย่อมเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด”
“สุดท้าย นอกเหนือจากการใช้กำลังห้ำหั่นอีกฝ่ายหรือไม่มีความแข็งแกร่งมากพอจะต่อกรกับศัตรูได้ เจ้าจำเป็นต้องเรียนรู้วิชาตัวเบา เพื่อเอาไว้ใช้ในยามเอาตัวเองให้รอดจากการต่อสู้
“ตอนนี้เจ้ารู้แล้วว่าควรฝึกฝนอย่างไรใช่หรือไม่?”
“ทักษะควบคุมพลังธรรมชาติ วิชากระบี่ วิชาตัวเบา!” เฉินซีตอบโดยไม่ลังเล หลังจากได้ยินการวิเคราะห์ของผู้อาวุโสเฒ่า เขาก็เข้าใจปัญหาที่เขารู้สึกสับสนในทันใด ราวกับว่าเปี่ยมไปด้วยปัญญา ทำให้เขาเข้าใจในทันทีว่าต้องการสิ่งใด
เขาฝึกฝนทั้งทักษะควบคุมพลังธรรมชาติเพื่อขัดเกลากายา และฝึกฝนวิชากระบี่เพื่อบ่มเพาะปราณเป็นหลัก ในขณะที่วิชาตัวเบานั้นถูกใช้เพื่อรับประกันชีวิตของเขาแทน
สัตว์ประหลาดเฒ่าพยักหน้าและพูดว่า “ไม่เลว แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเจ้าตอนนี้คือการฝึกฝนทักษะพลังกายของเจ้า เนื่องจากนี่เป็นพื้นฐานของวิชาการฝึกฝนทั้งหมด”
ขณะที่เขากล่าว ชายชราก็เดินไปอยู่เบื้องหน้าเฉินซี จากนั้นก็ก้มลงหยิบวิชาหมัดเปลี่ยนมหาภูผา จากแผ่นหยกสิบสี่อันขึ้นมา
“ทักษะการต่อสู้เหล่านี้ช่างไร้ประโยชน์จริง ๆ มีเพียงทักษะการต่อสู้นี้เท่านั้นที่ค่อนข้างใช้ได้ แต่ก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง ข้าจะช่วยเจ้าปรับปรุงมันให้ดีขึ้น” จี้อวี๋ในขณะที่ขมวดคิ้วพลันตัดสินใจได้ จากนั้นเหยียดนิ้วออกเพื่อสัมผัสแผ่นหยก หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็โยนแผ่นหยกให้แก่เฉินซี “เมื่อเจ้าฝึกฝนวิชาหมัดนี้จนถึงขั้นที่สามารถใช้มันได้ดั่งใจ เวลานั้นเจ้าจะสามารถควบคุมการถ่ายเทพลังไปยังทุกข้อต่อภายในร่างของเจ้าได้อย่างไร้ที่ติ”
เฉินซีได้รับแผ่นหยกมาและยังไม่ได้รีบอ่านมัน แต่กลับชี้ไปที่แผ่นหยกอื่น ๆ บนพื้นและถามว่า “แล้วทักษะการต่อสู้พวกนั้นล่ะ? ข้าไม่จำเป็นต้องเรียนรู้หรอกหรือ?”
“พวกมันมีค่าเพียงเล็กน้อย ไม่สำคัญว่าจะฝึกหรือไม่” จี้อวี๋ตอบอย่างเด็ดขาดอย่างยิ่ง
เฉินซีลังเลเล็กน้อยเนื่องจากทักษะการต่อสู้ทั้งหมดเหล่านี้ได้รับเป็นของขวัญจากฉินหงเหมี่ยน และเป็นทักษะการต่อสู้ทั้งหมดที่เขามีอยู่ในปัจจุบัน การโยนพวกมันทิ้งไปเช่นนี้นับว่าน่าเสียดายนัก
ที่สำคัญที่สุด แม้ว่าเขาจะสามารถกำหนดทิศทางการฝึกฝนของตัวเองแล้ว แต่ชายหนุ่มยังไม่มีตำราการบ่มเพาะที่เหมาะสม เมื่อคิดว่าเขายังคงต้องใช้ศิลาวิญญาณเพื่อซื้อทักษะควบคุมพลังธรรมชาติ วิชากระบี่ และวิชาตัวเบา เขาก็รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า
การไร้เงินตราในกระเป๋า เยี่ยงนี้ช่างน่าปวดใจเสียเหลือเกิน!
อ่า จริงสิ! ในเมื่อมีสัตว์ประหลาดโบราณที่อยู่มานับล้านปีอยู่เคียงข้างข้า เหตุใดต้องมาปวดเศียรด้วยเล่า?
ดวงตาของเฉินซีส่องประกายเหมือนระลึกได้ถึงบางสิ่งขณะที่เขาเงยหน้ามองจี้อวี๋