บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 244 สลักสวรรค์
บทที่ 244 สลักสวรรค์
บทที่ 244 สลักสวรรค์
เฉินซีรู้สึกราวกับว่าเขาถูกตบหน้าด้วยขนมที่ตกลงมาจากฟ้า*[1] ทำให้เขารู้สึกตกใจและประหลาดใจ
เมื่อตอนที่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ซวนหนีโจมตีด้วยความเดือดดาล เฉินซีไม่มีเวลาให้คิดสิ่งใดเลยนอกจากรีบหลบออกมาให้ไกล เขาไม่เคยคิดว่าสมบัติล้ำค่าที่มีรูปลักษณ์เป็นกุญแจจะบินตรงมาหาเขา!
ไม่ว่านี่จะเป็นโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตหรือความบังเอิญครั้งเดียวในรอบพันปี แต่เขาก็ได้รับมันแล้ว ซึ่งแทบจะไม่ต่างอะไรกับความมั่งคั่งที่ตกลงมาจากสวรรค์เลยแม้แต่น้อย
สิ่งที่ทำให้เฉินซีประหลาดใจที่สุดคือ ทันทีที่เขาคว้าสมบัติรูปกุญแจนี้ เสียงอันเก่าแก่ของเจ้าของขุมสมบัติก็ดังก้องในใจของเขา
“สมบัติชิ้นนี้เรียกว่าสลักสวรรค์ มันเป็นหนทางเดียวที่ใช้เปิดห้องโถงลับในตำหนักเต๋านภาของข้า ภายในนั้นมีสมบัติอันเป็นมรดกกว่าแสนปีของตำหนักเต๋านภา อาทิ ตำราเต๋า สมบัติวิเศษ โอสถเม็ด หุ่นเชิด และของแทบทุกสิ่งอย่าง ข้าหวังว่าหลังจากที่เพื่อนตัวน้อยของข้าได้รับสมบัติภายในห้องโถงลับนี้แล้ว เจ้าจะรับศิษย์แล้วสืบทอดเต๋าและทักษะความรู้ของตำหนักเต๋านภา และสร้างตำหนักเต๋านภาอันยิ่งใหญ่ของข้าขึ้นใหม่อีกครั้ง หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็คงจะสามารถยิ้มออกได้เมื่อยามอยู่ในเก้าสวรรค์”
สลักสวรรค์? เป็นกุญแจสำคัญในการเปิดห้องโถงลับในตำหนักเต๋านภา!
เฉินซีรู้สึกตกใจไม่น้อย เมื่อเขานึกถึงบรรดาสมบัติทั้งหมดที่เขาปล้นและได้รับมาตลอดทางนับตั้งแต่เข้ามาในขุมสมบัติเฉียนหยวน โอสถเหลวหยกนภาเกือบหนึ่งแสนเม็ด ค่ายกลกระบี่มหาปราณที่สร้างขึ้นจากกระบี่ระดับปฐพีนับหมื่น วัตถุดิบวิญญาณที่หายากและประเมินค่าไม่ได้แทบทุกประเภท…
ดูจากสมบัติล้ำค่าที่น่าอัศจรรย์เหล่านี้ มันก็พอที่จะตัดสินได้ว่าความแข็งแกร่งของตำหนักเต๋านภานั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่หลิงไป๋เคยกล่าวไว้ว่า เพียงมหาค่ายกลที่น่าหวาดหวั่นบริเวณทางเข้าตำหนักที่สร้างขึ้นด้วยกระบี่ระดับสวรรค์ชั้นยอดนับหมื่นและกระบี่อมตะอีกถึงเก้าเล่ม ที่แม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนสวรรค์ก็ยังไม่อาจรอดชีวิตออกไปได้นั้นอีก
จากความมั่งคั่งมากมายในที่แห่งนี้ ก็พอจะพาให้จินตนาการได้ไม่ยากแล้วว่า ภูมิหลังและความแข็งแกร่งของตำหนักเต๋านภานั้นยิ่งใหญ่จนน่ายำเกรงขนาดไหน
“สมบัติอายุหนึ่งแสนปีของตำหนักเต๋านภาล้วนถูกซ่อนอยู่ในห้องลับ และจะต้องมีสมบัติที่น่าอัศจรรย์เก็บไว้ในนั้นอย่างแน่นอน… เจ้าของขุมสมบัติกล่าวไม่ผิดเลย สลักสวรรค์นี้เป็นสมบัติล้ำค่าที่ไม่มีใครเทียบได้จริง ๆ หากมันตกไปสู่โลกภายนอก ข้าเกรงว่ามันคงทำให้โลกแห่งการบ่มเพาะเป็นบ้าไปเลยแน่ ๆ จริงหรือไม่?” เฉินซีอดที่จะประหลาดใจไม่ได้
“ฮ่า ๆๆ! การทดสอบทั้งสามสิ้นสุดลงแล้ว ไม่ว่าจะถูกหรือผิด สำเร็จหรือล้มเหลว สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็ย่อมจางหายไปตามกาลเวลา! เด็กดื้อเอ๋ย จงไปแสวงหาการเกิดใหม่ สานต่อชะตากับตำหนักเต๋านภาในชาติภพหน้า และใช้ชีวิตอยู่ให้ถึงวันที่โชคนำพาให้ได้สานสัมพันธ์ครูศิษย์อีกคราเถิด”
ตอนนั้นเอง เสียงอันเก่าแก่ดังก้องขึ้นและกวาดไปทั่วอย่างรวดเร็ว ดุจระฆังที่ก้องกังวานสะท้อนทั่วสวรรค์และโลกอยู่ครู่ใหญ่ ช่างเป็นน้ำเสียงที่ทำให้รู้สึกสบายใจหลังจากได้รับการปลดปล่อยจากบางสิ่ง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของทุกคนก็ตึงเครียดขึ้นในทันใด พวกเขาไม่กล้าเชื่อหูตัวเองแม้เพียงน้อย การทดสอบที่สามจบลงเพียงเท่านี้? แล้วสมบัติล้ำค่าตกไปอยู่ในมือใครกัน?
มีเพียงหวงฝู่ฉงหมิงกับอีกไม่กี่สิบคนเท่านั้นที่รู้ว่า เฉินซีกลายเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการเดินทางเพื่อค้นหาสมบัติคราวนี้!
นับตั้งแต่เข้าสู่ขุมทรัพย์เฉียนหยวน เขาค้นหาและคว้าหยิบสมบัติแทบทุกอย่างในการทดสอบสามครั้งสุดท้าย เขาได้รับกระบวนยุทธ์ระดับเต๋า โอสถทิพย์กำเนิดเต๋า และสุดท้ายก็ได้สมบัติล้ำค่าในรูปลักษณ์กุญแจมา แล้วใครจะกล้าพูดว่าเขาไม่ใช่ผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยามนี้?
“โฮก~” เมื่อสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ซวนหนีที่สูงใหญ่ดุจภูเขาได้ยินเสียงกังวานนั่น มันก็เงยหน้าขึ้นไปบนฟ้าและคำรามออกมา เสียงคำรามที่น่าสังเวชของมันก็เผยให้เห็นความเศร้าโศกและความไม่เต็มใจที่อัดแน่น ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นรู้สึกสะเทือนใจไม่ใช่น้อย
เมื่อเสียงคำรามดังก้องออกไป ทุกคนก็ได้เห็นดวงตาที่เหมือนพระจันทร์สีเลือดของซวนหนีผู้มีความแข็งแกร่งเทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนสวรรค์ ที่กวาดสังหารผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางกว่าหกสิบคนด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว กำลังหลั่งน้ำตาออกมาเป็นสายทั้งสองข้าง จากนั้นทั้งตัวของมันก็อาบไปด้วยแสงสีทองที่ลุกโซนขึ้นสู่ท้องฟ้า ร่างกายที่สูงราวร้อยจั้งได้หดตัวลงหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง จนเปลี่ยนกลายเป็นลูกบอลแสงสีทองที่พร่างพราย
ลูกบอลแสงสีทองนั้นสามารถมองเห็นถึงสิ่งที่อยู่ด้านในได้อย่างราง ๆ ภายในนั้นมีเด็กหนุ่มในชุดคลุมของนักพรต ผูกผมเป็นมวย กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ด้วยสีหน้าโศกเศร้า กลับกลายเป็นว่าเด็กหนุ่มนักพรตผู้นี้คือร่างจำแลงของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ซวนหนี!
“เด็กดื้อเอ๋ย จงไปแสวงหาการเกิดใหม่ สานต่อชะตากับตำหนักเต๋านภาในชาติภพหน้า และใช้ชีวิตอยู่ให้ถึงวันที่โชคนำพาให้ได้สานสัมพันธ์ครูศิษย์อีกคราเถิด… ” เสียงที่หลงเหลืออยู่ระหว่างสวรรค์และโลกยังคงก้องกังวานต่อไปไม่รู้จบ
ทุกคนเข้าใจในทันทีว่า สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขากำลังต่อสู้ด้วยก่อนหน้านี้คือศิษย์ผู้หนึ่งที่เจ้าของขุมสมบัติได้รับเอาไว้ ช่างเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริง ๆ
“ในกาลก่อนที่ยาวนานและห่างไกล วันเวลาผ่านไปอย่างสดใส ข้าใช้ชีวิตและเติบโตอย่างป่าเถื่อนและดุร้าย จนในที่สุดวันหนึ่งข้าก็ได้ครูที่ดีมาให้การศึกษาแก่ข้า”
“ท่านถ่ายทอดทักษะพิเศษและเต้าจ้าง*[2]ให้แก่ข้า รากฐานของปัญญาถูกวาง รากฐานของเต๋าก็เสร็จสมบูรณ์ ในที่สุดก็เป็นได้ดั่งความคาดหวังในใจของอาจารย์ ข้าหลั่งน้ำตาขอบคุณแด่บุญคุณนี้”
…
“บ้านของข้า รากเหง้าของข้า ทั้งคู่คือตำหนักเต๋านภา ในเมื่อชีวิตนี้ถึงคราสิ้นสุดแล้ว ข้าก็จะขอตอบแทนอาจารย์ในชาติภพหน้า ท่านอาจารย์ที่เคารพ ขอโปรดอย่าลืมศิษย์ไร้ประโยชน์ผู้นี้”
เสียงที่อ่อนเยาว์และกระจ่างใสดังออกมาจากภายในลูกบอลแสงสีทอง เขากล่าวคำด้วยเสียงอันทรงพลังดังกึกก้องไปทั่วโลกหล้า สีหน้าเศร้าหมองของเด็กหนุ่มนักพรตเผยให้เห็นความแน่วแน่ที่ไม่อาจลบล้าง ในขณะที่เขาลุกขึ้นยืน เปลวเพลิงสีทองอันไม่มีที่สิ้นสุดปะทุออกมาจากทั่วร่างกายของเขาอย่างฉับพลัน จากนั้นร่างกายทั้งหมดของเขาก็หลอมละลายภายในเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำก่อนจะหายไปจากโลกใบนี้อย่างสมบูรณ์
บางทีเขาอาจมุ่งไปสู่วงจรแห่งการเกิดใหม่แล้ว
เมื่อเห็นฉากนี้ ในหัวใจของทุกคนก็มีความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้เกิดขึ้น นิกายแบบใดและอาจารย์เช่นใดกันที่สามารถทำให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างซวนหนีภักดีและอุทิศตนให้ได้ถึงขนาดนี้?
“ผู้อาวุโส ข้าได้รับความโปรดปรานจากท่านในวันนี้มามากมายนัก หากในอนาคตข้าได้รับสมบัติลับของตำหนักเต๋านภามา ข้าจะก่อตั้งนิกายและสร้างตำหนักเต๋านภาขึ้นใหม่อีกครั้ง ส่งต่อเจตนารมณ์ให้เปลวเพลิงของมันคงอยู่คู่สวรรค์และโลกตลอดไป” ความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะทำบางสิ่งเพื่อตำหนักเต๋านภาก่อเกิดขึ้นในใจของเฉินซี เขาไม่ได้ต่อต้านความตั้งใจที่เกิดขึ้นมานี้ และตัดสินใจแล้วว่าเขาจะทำให้ตำหนักเต๋านภาปรากฏขึ้นในโลกอีกครั้งอย่างแน่นอน อาบมหาเต๋าแห่งสวรรค์และโลก และเจริญรุ่งเรืองชั่วนิรันดร์!
“เอ๊ะ! นี่ข้ารอดมาได้อย่างไรกัน?”
“เมื่อครู่… ไม่ใช่ว่าข้าตายไปแล้วหรอกหรือ?”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ทันใดนั้น เปลวเพลิงสีทองจำนวนมากก็ลุกโชนขึ้น และผู้บ่มเพาะจำนวนมากที่เสียชีวิตจากน้ำมือของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ก่อนหน้านี้ ก็ได้กลับมามีชีวิตด้วยเปลวเพลิงสีทองและปรากฏตัวต่อหน้าต่อตาทุกคนอีกครั้ง!
ไม่สิ บางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้ตายลงจริง ๆ พวกเขาแค่ถูกพลังเหนือธรรมชาติของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ปกปิดเอาไว้เท่านั้น
“ปรากฏว่าการทดสอบครั้งที่สาม ไม่ได้ก่อให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายขึ้นแต่อย่างใด ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าเจ้าของขุมสมบัติจะใจบุญและน่าชื่นชมขนาดนี้”
“ใช่แล้ว แม้ว่าขุมสมบัติที่ผู้อาวุโสท่านนี้ทิ้งไว้จะมีการทดสอบ แต่สมบัติก็กลายเป็นของขวัญแก่ผู้ที่ถูกลิขิตไว้ เขาไม่มีความตั้งใจที่จะทำร้ายผู้ใดแม้แต่น้อย ในโลกแห่งการบ่มเพาะเช่นปัจจุบันนี้ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เช่นนี้ช่างหาได้ยากอย่างแท้จริง”
“บางที นี่อาจเป็นนิสัยและตัวตนที่แท้จริงของนิกายที่ยิ่งใหญ่ มีเพียงจิตใจที่กว้างขวางเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเอื้อเฟื้อต่อสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จนถึงจุดที่ทำให้ซวนหนียอมจำนนต่อนิกายอย่างจริงใจได้ แม้ว่าพวกมันจะตายจากไปแต่ก็ยังรู้สึกขอบคุณ”
ผู้บ่มเพาะจำนวนมากที่อยู่ในที่แห่งนี้ต่างก็ถอนหายใจ เมื่อพวกเขาเห็นสหายเต๋าที่ ‘ตายลงแล้ว’ เหล่านี้ปรากฏตัวตรงหน้าพวกเขาอีกครั้ง ความเคารพและความชื่นชมที่มีต่อเจ้าของขุมสมบัติอย่างไม่รู้จบก็ปรากฏขึ้นในใจของพวกเขา
ยิ่งได้เห็นเช่นนี้ เฉินซีก็ยิ่งอยากรู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับตำหนักเต๋านภามากขึ้นไปอีก
ครืน! ครืน!
จังหวะต่อมา ท้องฟ้าและโลกต่างก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงราวกับว่าพวกมันกำลังจะพากันถล่มประหนึ่งโลกถึงกาลอวสาน พื้นที่อันไร้ขอบเขตและรกร้างว่างเปล่าเริ่มเผยให้เห็นรอยร้าวที่มีความยาวหลายพันจั้งจำนวนมากขึ้น ภาพโดยรอบในเวลานี้นับว่าน่ากลัวอย่างยิ่ง
“เกิดอะไรขึ้น? ขุมสมบัติกำลังจะพังทลายและหายไปอย่างนั้นหรือ?”
ขณะที่ความหวาดกลัวปรากฏขึ้นในหัวใจของทุกคน กลุ่มแสงที่ส่องประกายแวววาวก็พุ่งออกมาห่อหุ้มทุกคนไว้ ก่อนที่จะหายไปจากโลกนี้อย่างรวดเร็ว
…
ด้านนอกขุมสมบัติที่มีผู้บ่มเพาะหลายพันคนกำลังจับจ้อง
ในหมู่พวกเขาส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเสียมาก แต่โชคไม่ดีที่เมื่อยามขุมสมบัติเฉียนหยวนเปิดออก พวกเขามาช้าไปหนึ่งก้าวและไม่สามารถเข้าไปได้แล้ว ในขณะที่ผู้บ่มเพาะส่วนน้อยที่เหลือหากไม่อยู่ในขอบเขตเคหาทองคำ ก็อยู่ในขอบเขตจุติ จึงทำให้พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าไปในขุมสมบัติได้เช่นเดียวกัน
อาจดูน่าประหลาดใจ ทว่าถันไถหงเองก็ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนนี้
เมื่อยามขุมสมบัติเฉียนหยวนเปิดขึ้น เขาก็เดินตามหวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ เพื่อเข้าไปในขุมสมบัติเหมือนคนอื่น ๆ ทั้งยังได้ผ่านค่ายกลแปดวิถีผนึกทองคำไปเรียบร้อยแล้ว ทว่าเมื่อเขาก้าวเข้าไปในประตูบานสุดท้าย ขณะที่ทุกคนผ่านไปได้อย่างราบรื่น เขากลับถูกพลังไร้รูปร่างพาตัวออกมาจากขุมสมบัติ
หลังจากสังเกตเป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็เข้าใจในสาเหตุ ผู้บ่มเพาะที่จะเข้าสู่ขุมสมบัติเฉียนหยวนได้นั้น จะต้องอยู่ที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางไม่สูงหรือต่ำไปกว่านี้ ยิ่งกว่านั้น หลังจากที่ผ่านค่ายกลแปดวิถีผนึกทองคำไปได้แล้ว หากอายุของพวกเขาเกินข้อกำหนด พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าสู่ประตูสุดท้ายได้อยู่ดี เพราะเขาเห็นคนวัยกลางคนจำนวนมากที่อยู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเช่นตัวเขาเอง ถูกผลักออกจากขุมสมบัติเพราะประตูสุดท้ายในผ่านค่ายกลแปดวิถีผนึกทองคำ
ครานี้ ถันไถหงยอมแพ้โดยสมบูรณ์
แต่เขายังคงคิดว่าหวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ จะแบ่งปันสมบัติบางอย่างให้กับเขาหลังจากที่พวกเขาออกมาจากขุมสมบัติแล้ว เพราะในความคิดของเขา ด้วยแผนที่ของสมบัติอยู่ในมือหวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ ย่อมจะสามารถเข้าไปในขุมสมบัติและไขความลึกลับของค่ายกลแปดวิถีผนึกทองคำ เพื่อเข้าสู่ภายในได้อย่างราบรื่นอยู่แล้ว
เขาจึงยังรั้งรออยู่ไม่ยอมจากไป
ไม่เหมือนกับถันไถหง เหตุผลที่ผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ยังคงเฝ้ารออยู่นอกขุมสมบัติไม่ยอมไปไหนนั้นก็มีด้วยกันสองเหตุผล นั่นคือพวกเขาไม่เต็มใจที่จะกลับจากภูเขาที่เต็มไปด้วยสมบัติทั้งมือเปล่า อีกประการคือพวกเขามีความคิดที่จะฆ่าผู้อื่นเพื่อฉกชิงสมบัติของอีกฝ่ายมา
ถ้าพวกเขาสามารถเข้าไปในขุมสมบัติเฉียนหยวนได้แล้วมันอย่างไร? หากข้าสังหารพวกเขาหลังจากที่พวกเขาออกมาและยึดสมบัติมาเสีย ข้าก็สามารถครอบครองสมบัติจากในนั้นได้เช่นกันมิใช่หรือ?
ดังนั้นพวกเขาจึงเฝ้ารอผู้บ่มเพาะที่เข้าขุมสมบัติเฉียนหยวนให้ออกมา เพื่อลงมือตามความคิดน่าไม่อายของพวกเขา
ครืน!
นับตั้งแต่ที่เฉินซีและคนอื่น ๆ เข้าไปในขุมสมบัติเฉียนหยวนก็ผ่านไปหลายชั่วยามแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครออกมา ในขณะที่ทุกคนเริ่มหมดความอดทนจากการรอคอย เสียงดังก้องที่ราวกับเสียงฟ้าร้องก็ดังสนั่นมาจากขุมสมบัติที่ลอยอยู่กลางอากาศ กังวานทะลุท้องฟ้า จนเกือบทำให้แก้วหูแตก
หลังจากนั้น ทุกคนก็เห็นว่าโครงสร้างของขุมสมบัติทั้งหมด เกิดรอยแตกระแหงที่บิดเบี้ยวนับไม่ถ้วนราวกับผืนดินที่แห้งแล้งไร้ซึ่งน้ำล่อเลี้ยง ก่อนที่มันจะพังทลายลงในที่สุด! ฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกฟุ้งกระจายในอากาศ ขณะที่ตัวขุมสมบัติเฉียนหยวนกลายเป็นพังทลายฝุ่น คลื่นอากาศที่เกิดจากการยุบตัวทำให้ผู้คนโดยรอบต้องล่าถอยกลับออกมาอย่างรวดเร็ว ด้วยความกลัวว่าพวกเขาจะจมอยู่ในนั้น
ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ ขุมสมบัติเฉียนหยวนที่หมุนเวียนไปด้วยกลิ่นอายของสมบัติ และปราณมงคลจำนวนมาก ได้แปรสภาพเป็นซากฝุ่นที่ไม่มีที่สิ้นสุดและหายไปจากสวรรค์และโลก!
ผู้คนสำลักฝุ่นฟุ้งกระจาย พวกเขามองไปที่กลุ่มควันและฝุ่นที่ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า และเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
หายไปแล้ว?
เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นในขุมสมบัติ?
แล้วคนที่เข้าไปในขุมสมบัติอยู่ที่ไหนกัน?
เขาตายอยู่ในนั้นพร้อมกับขุมสมบัติที่พังลงด้วยหรือ?
คำถามที่ไม่มีที่สิ้นสุดพรั่งพรูเข้ามาในใจของพวกเขา สีหน้าของทุกคนมีแต่ความสงสัยและประหลาดใจ จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่กล้าเชื่อว่าขุมทรัพย์เฉียนหยวนจะพังทลายและกลายเป็นเพียงความว่างเปล่า
“เฉินซี ไอ้สารเลว ส่งสมบัติล้ำค่าชิ้นสุดท้ายมาให้ข้าซะ!!”
ในขณะที่ทุกคนยังคงประหลาดใจและสงสัย ทันใดนั้นเสียงร้องโหยหวนและโกรธเกรี้ยวพุ่งทะลุท้องฟ้า ดังก้องขึ้นไปทั่วบริเวณ ก่อนที่ร่างหนึ่งจะพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ที่แท้ก็เป็นเยว่ฉี
เมื่อพวกเขาเห็นเยว่ฉีมีใบหน้าบิดเบี้ยวจากความโกรธอย่างมาก ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นก็งุนงงอย่างยิ่ง ไม่มีใครรู้ว่าคนผู้นี้เป็นใคร เพราะรูปร่างหน้าตาของเพื่อนคนนี้ธรรมดาเกินไป ทำให้ไม่มีใครคาดเดาตัวตนของเขาออกจริง ๆ
แต่คำพูดของเยว่ฉีได้ดึงดูดความสนใจของทุกคนไปแล้ว
สมบัติล้ำค่าชิ้นสุดท้าย?
เป็นไปได้ไหมว่าสมบัติชิ้นสุดท้ายในขุมสมบัตินั้นได้ถูกสหายที่ชื่อ ‘เฉินซี’ เอาไปแล้ว?
แต่ใครคือเฉินซี?
ในบรรดาผู้คนที่อยู่ในที่นี่ มีเพียงถันไถหงเท่านั้นที่รู้ว่าเฉินซีคือใคร ดังนั้นเมื่อเขาพบว่าอีกฝ่ายคือผู้ที่ได้รับสมบัติชิ้นสุดท้ายไป สีหน้าของเขาก็ซับซ้อนขึ้นทันที
เขาไม่เคยคิดว่าชายหนุ่มผู้ช่วยชีวิตลูกสาวของเขา และถูกเขาพาเข้ามาในทะเลทรายด้วยกันจะโชคดีขนาดนี้
เมื่อถันไถหงคิดว่าตนได้ร่วมมือกับหวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ เพื่อฆ่าเฉินซี และพยายามแย่งชิงสมบัติอมตะทั้งสามชิ้นที่อีกฝ่ายครอบครองอยู่มา ถันไถหงก็รู้สึกเสียใจอยู่พักหนึ่ง
การทำร้ายชายหนุ่ม ผู้ที่แม้จะถูกผู้บ่มเพาะจำนวนมากเคลื่อนไหวต่อต้านเขาพร้อมเพรียงกันก็ยังรอดจากการถูกสังหารไปได้ ในขณะเดียวกันก็มีโชคลาภมหาศาลและศักยภาพที่ไร้ขอบเขต ถือเป็นหายนะอย่างยิ่ง!
“เอ๊ะ ที่แท้ก็เป็นสหายผู้นี้ ข้าเห็นชัดเต็มสองตาว่าเขาได้รับกระบวนยุทธ์ระดับเต๋ากับโอสถทิพย์กำเนิดเต๋าไป! ฆ่า! ฆ่าเขาแล้วยึดสมบัติมาซะ!”
“ใช่ ข้าก็จำสหายผู้นี้ได้เหมือนกัน เขาชื่อเยว่ฉี! มีปีกหงส์ดำคู่หนึ่งซึ่งเป็นสมบัติหายากอยู่ มาลงมือแย่งมันมาด้วยกันเถอะ!”
เกือบจะในทันทีที่เยว่ฉีคำรามขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความโกรธ ริ้วแสงอีกสองสามเส้นที่พุ่งตามติดขึ้นไปบนท้องฟ้า และพวกเขาคือผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางรุ่นเยาว์ที่เข้าสู่ขุมสมบัติ
เมื่อพวกเขาเห็นเยว่ฉี พวกเขาก็เริ่มลงมือเคลื่อนไหวเพื่อปล้นและฆ่าอีกฝ่ายอย่างไร้ความปรานีทันที พวกเขาช่างชั่วร้ายยิ่ง
หลังจากทุกคนที่รออยู่ด้านนอกเพื่อฆ่าผู้อื่นและยึดสมบัติของอีกฝ่าย เห็นฉากนี้พวกเขาก็ตื่นเต้นและร้องตะโกนออกมาก่อนจะพุ่งเข้าหาเย่วฉี
ทันใดนั้นทั่วทั้งบริเวณก็เต็มไปด้วยความวุ่นวาย
ถันไถหงไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร เขาเพียงกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ขณะที่เขาพึมพำอยู่ในใจ “หวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ ออกมาแล้วหรือไม่? แล้วเฉินซีล่ะ? ยามนี้เขาไปอยู่ที่ใดแล้ว?”
————————————
[1] 天上掉馅饼 tiānshang diào xiànbîng – ขนมตกลงมาจากฟ้า หมายถึง การได้สิ่งที่อยากได้โดยไม่ต้องออกแรง
[2] เต้าจ้าง คือ คัมภีร์เต๋าซึ่งรวมรวบความรู้เกี่ยวเต๋าหลายแขนงเอาไว้ด้วยกัน และจำแนกตามหมวดหมู่