บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 245 ไล่ล่าอย่างบ้าระห่ำ
บทที่ 245 ไล่ล่าอย่างบ้าระห่ำ
บทที่ 245 ไล่ล่าอย่างบ้าระห่ำ
เฉินซีกำลังหลบหนี
บัดนี้เขาได้ผสานเคล็ดวาตะเหินทะยานร่วมกับเต๋ารู้แจ้งแห่งนภาและสายลม ส่งให้ร่างกายเคลื่อนที่รวดเร็วดั่งลมพายุพัดพาห่างออกไปมากกว่าหกลี้ภายในพริบตา และเคลื่อนไปด้วยความเร็วนั้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งหายไปในห้วงทะเลทรายมรณะซึ่งกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
เหตุที่ต้องรีบหนีเพราะหลังจากที่เขาถูกส่งออกมาจากขุมทรัพย์เฉียนหยวน ตอนแรกก็คิดว่าจะได้พักหายใจหายคอบ้าง แต่ไม่คาดคิดว่าทันทีที่ทะยานลงสู่พื้นดินกลับพบพวกของหวงฝู่ฉงหมิง หลิวเฟิ่งฉือ หม่านหงและคนอื่นอยู่ไม่ไกลกันนั้นเอง
แม้แต่อันเชี่ยนอวี้ หวังเต้าซวี่ รวมทั้งเจิ้นหลิวชิงก็ปรากฏว่าอยู่ไม่ไกลออกไปเท่าใดนัก
ถ้ามีแค่คนหรือสองคน เฉินซีก็ไม่เคยนึกกลัวที่จะต่อสู้กับพวกนั้นอยู่แล้ว
แต่นี่เป็นคนทั้งกลุ่ม! อีกทั้งเป็นผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตแกนทองคำหยินหยางรุ่นเยาว์แห่งราชวงศ์ซ่งทั้งสิ้น!
ที่ร้ายยิ่งกว่าคนเหล่านี้เกลียดเฉินซีเข้ากระดูกดำและมีเจตนาแน่วแน่ที่จะฆ่าเขาให้ได้ ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ ชายหนุ่มจำต้องเลือกทางหนีเอาตัวรอดเท่านั้น
ฟิ้ววว! ฟิ้ววว! ฟิ้ววว!
เสียงท้องฟ้าถูกฉีกดังหวีดแหลมเสียดแทงแก้วหูมาจากข้างหลัง แม้ไม่หันไปมองเฉินซีก็รู้ว่าพวกหวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ ยังคงบินติดตามเขามาอย่างไม่ลดละ สถานการณ์ของเขาเวลานี้นับว่าเฉียดฉิวเป็นอย่างยิ่ง
เฉินซีรู้อยู่แก่ใจถึงสาเหตุที่กลุ่มคนไล่ตามเขาอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นนี้
เพราะสมบัติล้ำค่าตั้งมากมายที่เขาครอบครองนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ ระเบียนแดนมรณะหรือแม้แต่พู่กันพิพากษามาร แต่ละอย่างล้วนเป็นของล้ำค่าซึ่งเทียบเท่ากับวัตถุโบราณอมตะทั้งสิ้น
นอกจากนี้เขาได้กวาดเอาสิ่งของจากขุมสมบัติจำพวกโอสถเหลวหยกนภาจำนวนเกือบแสนเม็ด ค่ายกลกระบี่ที่มาจากกระบี่ระดับปฐพีขั้นสูงนับหมื่นเล่มและยังมีวัตถุหายากอีกนับไม่ถ้วน มูลค่าของสมบัติล้ำค่าเหล่านี้มีจำนวนมีมากพอที่จะทำให้ใครต่อใครแทบเป็นบ้าทีเดียว
ยังไม่กล่าวถึงระหว่างการทดสอบในขุมสมบัติทั้งสามครั้ง เขายังได้กระบวนยุทธ์ระดับเต๋าครึ่งขั้น เพลงหมัดมหาทำลายล้าง โอสถทิพย์กำเนิดเต๋าที่อัดแน่นด้วยมหาเต๋าแห่งปฐพีและสลักสวรรค์ ซึ่งมีมูลค่าสูงเกินจินตนาการ
หากรวมสมบัติล้ำค่าทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้ว แม้แต่เซียนสวรรค์ก็อาจมีความโลภจนถึงขั้นเกิดฆ่ากันตายเพื่อแย่งชิงมาไว้ครอบครอง นับประสาอะไรกับหวงฝู่ฉงหมิงและคนพวกนั้น
มนุษย์ยอมตายเพื่อแสวงหาโชคลาภเช่นเดียวกับสัตว์เดรัจฉานที่ยอมตายเพื่อแสวงหาอาหาร คำพูดนี้ยังใช้ได้กับทุกยุคยสมัย
เฉินซีรู้ถึงสถานการณ์ของตนในเวลานี้ดี เมื่อใดที่เขาถูกจับได้ต่อให้ไม่ตายก็คงเลี้ยงไม่โต ถึงเวลานั้นสมบัติล้ำค่าที่มีไว้ในครอบครองก็จะถูกปล้นเอาไปจนหมดไม่มีเหลือ เขาไม่มีทางยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นโดยเด็ดขาด
เพราะเหตุนี้ตอนที่พยายามหลบหลีก เขาจึงไม่กล้าผ่อนฝีเท้าแม้สักขณะ เส้นประสาทตึงเปรี๊ยะกับกรามที่ขบกันจนขึ้นสันนูน ปราณแท้ กำลังกายและจิตวิญญาณทั้งหมดในกายทะยานถึงขีดสุดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในขณะภาวะจิตกลับเย็นดุจก้อนน้ำแข็งสมองครุ่นคิดวิธีจัดการกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่
‘หวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่นเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ตราบใดที่ปราณแท้ของพวกเขามีโอสถมาเสริมพลังได้อย่างเพียงพอก็จะสามารถไล่ตามข้าต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ข้าจะต้องหาที่ซ่อนตัวโดยเร็วที่สุด มิฉะนั้น ก่อนที่กำลังของข้าจะหมดลงและอาจกลายเป็นลูกไก่ในกำมือถึงตอนนั้นสถานการณ์ของข้าจะยิ่งแย่ไปกว่านี้…’
‘แต่ข้าจะหนีไปทางไหน สุสานอสูรร้ายอย่างนั้นหรือ เข้าไปในเขตพายุฝนฟ้าคะนองจะดีกว่าไหม หรือจะออกสู่ทะเลวิญญาณมรณะดี?’
“เฉินซี…ข้าจะให้โอกาสเจ้าครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย หยุดและจงเชื่อฟัง…ส่งสมบัติล้ำค่าทั้งหมดมาแล้วข้าจะไว้ชีวิตให้แก่เจ้า มิฉะนั้นถ้าให้ข้าจับได้ อย่าว่าแต่ตัวเจ้าเลย แม้แต่ญาติสนิทมิตรสหายก็ต้องถูกฝังไปพร้อมกันกับเจ้าด้วย!” ครู่หนึ่งขณะที่เฉินซีกำลังครุ่นคิดหาวิธีหลบหนีให้พ้นนั่นเอง เสียงกล่าวอย่างเย็นชาและเหี้ยมเกรียมของหวงฝู่ฉงหมิงก็ดังไล่หลังมาทันที คำพูดนั้นแฝงเจตนาสังหารอย่างเปิดเผย
ทว่าเฉินซีกลับทำหูทวนลม และยังตั้งหน้าทะยานหนีอย่างรวดเร็วโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้งแม้แต่น้อย เขาเคยมีประสบการณ์ถูกคุกคามอย่างหนักหน่วงมาหลายครั้งหลายหน ซึ่งไม่ได้ทำให้เขากังวลใจอะไรมากนัก
แต่คำพูดท้ายประโยคที่แฝงเจตนาฆ่าอย่างแรงกล้าของหวงฝู่ฉงหมิง กลับทำให้เกิดแรงกระตุกวูบในใจของชายหนุ่มขึ้นมาทันที มีคนเคยพูดไว้ว่าอย่าให้ผู้บริสุทธิ์ต้องรับเคราะห์ คำขู่ของหวงฝู่ฉงหมิงเพื่อให้เฉินซียอมจำนนโดยคิดที่จะทำลายญาติสนิทมิตรสหายของเขา จะเป็นตราบาปที่ไม่อาจให้อภัย!
“เจ้ากำลังคิดว่าจะหนีได้อย่างไรสินะ ฮึ่ม! ต่อให้พระหนีได้แต่วัดไม่วิ่งตาม เจ้าก็จะหนีอย่างนั้นหรือ ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าตัวตนที่แท้จริงของเจ้าเป็นใคร ข้าจะไปจับตัวญาติพี่น้องสหายของเจ้ามาฆ่าให้หมด ทีนี้จะได้เห็นกันว่าเจ้าจะไม่ยอมให้จับและไม่ทำตามอยู่อีกไหม!” เสียงคำรามอย่างโหดเหี้ยมของหวงฝู่ฉงหมิงดังไล่หลังมาอีกครั้ง
ทันทีที่ได้ยินในใจของเฉินซียามนี้เปี่ยมล้นด้วยเจตนาสังหารที่พุ่งทะยานสุดกู่ สิ่งที่ชายหนุ่มเกลียดที่สุดและยอมไม่ได้คือใครก็ตามข่มขู่เขาโดยใช้ชีวิตสหายและคนในครอบครัวเป็นเดิมพัน เวลานี้เขามีเฉินฮ่าวเป็นญาติเพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ ถ้าเฉินฮ่าวถูกหวงฝู่ฉงหมิงจับไปฆ่า เขาจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองอย่างเด็ดขาด
“หึ!” เฉินซีสูดลมหายใจ จากนั้นจึงรวบรวมพลังที่มีทั้งหมดกำหนดตำแหน่งทิศทาง ก่อนจะทะยานออกไป
ขณะนี้ในใจของเขาไม่ได้คิดอะไรอีกนอกจากมีเพียงอย่างเดียว — เร่งกลับเมืองหมอกสนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเฉินฮ่าวและบ้านตระกูลเฉินซึ่งสร้างใหม่ก็อยู่ที่นั่นด้วย…
ถึงกระนั้นดูเหมือนว่าเขาจะลืมไปว่าบริเวณนั้นคือห้วงทะเลทรายมรณะที่อยู่ด้านข้างของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ ซึ่งห่างจากเมืองหมอกสนนับแสนลี้ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะใช้พลังบ่มเพาะในปัจจุบันทะยานรวดเดียวโดยไม่หยุดพักเพื่อให้ถึงเมืองหมอกสนโดยเร็ว เว้นเสียแต่เขาจะบรรลุขอบเขตแกนทองคำหยินหยางและมีโอสถมาเสริมปราณแท้ มิฉะนั้นต่อให้ใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีก็อาจผ่านไปได้แค่ครึ่งทางเท่านั้น
ทว่าเวลานี้เฉินซีไม่ได้คิดอะไรอีก เขาเหมือนคนหัวดื้อที่เสียสติไปแล้ว
เขาคิดอยู่อย่างเดียว ปกป้องน้องชาย…เฉินฮ่าว!
…
เจ้าบ้า เห็นแก่สมบัติจนไม่คำนึงถึงชีวิตของตัวเองจริง ๆ!
หวงฝู่ฉงหมิงคิดอย่างเดือดดาลด้วยความโกรธสุดขีดขณะกำลังไล่จี้ตามหลังเฉินซีมาติด ๆ เมื่อเห็นว่าเฉินซีแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำขู่ของตน เวลานี้เขาอยากจะจับเฉินซีให้ได้โดยเร็วและจะได้ถลกหนังมันทั้งเป็นก่อนจะเลาะเส้นเอ็นออกมา เอาเลือดมาดื่มเอาเนื้อมากินเสียให้สาสม!
“องค์ชายหวงฝู่…อย่าได้วิตกไป เจ้านั่นมันมีพลังขอบเขตเคหาทองคำเท่านั้น ไม่เหมือนพวกเราที่สามารถกักเก็บปราณแท้ไว้ได้เท่าที่ยังมีโอสถจิตวิญญาณในปริมาณที่มากพอ ส่วนเจ้านั่นเมื่อมันใช้ปราณแท้จนหมด ก็จะถูกจับได้และทำตามคำสั่งของเราทุกอย่างเอง ใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ” หลิวเฟิ่งฉือกล่าวทำนองปลอบใจอีกฝ่าย ขณะนั้นเขาสวมผ้าคลุมสีน้ำทะเลกำลังยืนเด่นเป็นสง่าอยู่บนกระบี่ใสแจ๋วดั่งน้ำประหนึ่งเหยียบอยู่บนระลอกคลื่นที่กำลังไหววูบและเร่งความเร็วเต็มพิกัด
อันที่จริงแล้วไม่ใช่มีเพียงเขาเท่านั้น แต่มีหม่านหง หลินโม่เซวียน เซียวหลิงเอ๋อร์ รวมถึงคนอื่นหลายคนต่างก็นำสมบัติวิเศษที่ใช้เหาะเหินเดินอากาศด้วยความเร็วอย่างชนิดที่ไม่มีใครน้อยหน้าใครออกมา หากไม่ใช่เพราะเคล็ดวาตะเหินทะยานที่รวมเข้ากับเต๋ารู้แจ้งแห่งนภาและสายลมของเฉินซี คนพวกนั้นคงตามมาทันเสียนานแล้ว
แต่หลายคนก็ยังอดรู้สึกตกตะลึงในความเร็วของชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าไม่ได้ พลังของมันแค่ขอบเขตเคหาทองคำ แต่มีทักษะที่น่าอัศจรรย์นัก ขนาดพวกเรายังทำได้มากที่สุดเพียงไล่ตามไปอย่างกระชั้นชิดเท่านั้น แต่จนแล้วจนรอดก็ยังตามไม่ทันอยู่ดี เมื่อใดที่เขาบรรลุขั้นขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแล้วละก็ มันจะไม่ยิ่งโดดเด่นมากกว่านี้หรือ
“รู้น่า…ก็แค่โมโหบ้าง เจ้านั่นมันลื่นอย่างกับปลาไหล เจอสถานการณ์เลวร้ายเมื่อไรมันกลับโชคดีสามารถเอาตัวรอดได้ทุกครั้งสิน่า ถ้าครั้งนี้พวกเรากำจัดมันไม่ได้ เกรงว่าต่อไปข้าคงกินไม่ได้นอนไม่หลับอีกเลยตลอดชีวิต” หวงฝู่ฉงหมิงพูดพลางสั่นศีรษะพร้อมกับถอนใจเบา ๆ
สีหน้าของคนอื่น ๆ ต่างแสดงออกว่าเห็นด้วยอย่างชัดเจนกับคำพูดของหวงฝู่ฉงหมิง
“แต่องค์ชายหวงฝู่ เจ้าอันเชี่ยนอวี้ หวังเต้าซวี่และเจิ้นหลิวชิงที่กำลังตามหลังพวกเรามาติด ๆ นั้น ถ้าพวกมันแส่เข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ด้วย ข้าเกรงว่าจะยิ่งยุ่งไปใหญ่” หลิวเฟิ่งฉือกล่าวพลางนิ่วหน้า
แววตาของหวงฝู่ฉงหมิงฉายประกายแวบวาบอย่างแรงกล้าขณะเค้นเสียงหัวเราะเยาะ “ไม่ต้องสนใจคนพวกนั้น ถ้ามันยุ่งยากนักก็ฆ่ามันให้หมด ข้าว่าพวกเราทุกคนคงไม่มีใครอยากให้สมบัติที่อยู่ในมือเฉินซีถูกสามคนนั้นแย่งไปหรอก จริงไหม”
“รับทราบ” คนอื่นเองไม่มีใครลังเลแม้แต่น้อย
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราไม่ต้องสนใจพวกมัน ลำพังพลังที่เรามีก็มากพอที่จะจัดการพวกมันพร้อมกันทั้งสามคน ถ้าพวกเราลงมือตอนนี้ คนของนิกายเบื้องหลังพวกมันจะต้องเคลื่อนไหวออกมาต่อต้านพวกเราได้ ฮึ่ม! เพื่อสมบัติล้ำค่าพวกเราไม่ต้องใส่ใจอะไรทั้งนั้น!” ดวงตาของหวงฝู่ฉงหมิงหรี่แคบลงขณะที่เจ้าตัวพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าวอย่างน่าสยดสยอง
…
ผ่านไปสองวัน
ตอนนี้เฉินซีรู้สึกว่าหูสองข้างอื้อไปหมด ร่างกายก็อ่อนล้าโรยแรง แขนขาชาราวกับร่างผีที่เพิ่งถูกลากขึ้นมาจากท้องน้ำ ผิวหนังเจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วทุกรูขุมขน
แม้จะมีร่างกายแข็งแรงเป็นทุนเดิม ทว่าการต้องทะยานด้วยความเร็วเต็มพิกัดอย่างต่อเนื่องถึงสองวันสองคืนนั้นหนักเกินไปสำหรับเขา ประกอบกับการที่เขาไม่มีสมบัติวิเศษที่ใช้เหาะเหินเดินอากาศ จึงต้องอาศัยความแข็งแกร่งของร่างกายเพียงอย่างเดียว ยิ่งทำให้สูญเสียพลังแกร่งกล้าไปอย่างน่าตกใจด้วย
ในบรรดาความอ่อนล้าที่เกิดขึ้นในร่างกาย การสูญเสียปราณแท้เป็นเรื่องที่น่าหนักใจที่สุดสำหรับเขา ด้วยเวลานี้ภายในท้องทะเลแห่งลมปราณเหลือปราณแท้เพียงหนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น ถ้ายังทะยานด้วยความเร็วเช่นนี้คาดว่าปราณแท้จะเหือดหายไปภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามเป็นแน่
ส่วนปราณจ้าววิญญาณที่พลุ่งพล่านตามเนื้อตัวของเขาขณะนี้ ชายหนุ่มยังไม่คิดที่จะใช้มันแต่อย่างใดเพราะเขาตั้งใจจะใช้ป้องกันตัวในยามคับขันเท่านั้น ด้วยยามใดที่เขาใช้มันย่อมไม่ต่างอะไรกับต้องคำพิพากษาเทวทูตชั่วกัปชั่วกัลป์ เมื่อเป็นเช่นนั้นความพยายามหลบหนีในครั้งนี้จะสูญเปล่าทันที
เคราะห์ยังดีอยู่หน่อยที่ขณะนี้เขาได้พ้นเขตห้วงทะเลทรายมรณะออกมาแล้ว และก่อนหน้าก็เพิ่งจะผ่านบริเวณที่เป็นชายแดนของเมืองทะเลหมอกด้วย จากที่เขาคาดคะเนหากพยายามอดทนต่ออีกสักวันก็น่าจะถึงเมืองหมอกสนแล้ว
ความจริงเฉินซีรู้อยู่แล้วว่าเมื่อใดที่เขาหันเหทิศทางและมุ่งหน้าไปยังเมืองทะเลสาบมังกรในตอนนี้จนไปถึงนิกายกระบี่เมฆาพเนจร คนที่กำลังตามไล่หลังเหล่านี้จะไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามต่อหน้าคนที่เป็นพี่ใหญ่…ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีอย่างเป่ยเหิงอย่างแน่นอน
แต่เขาทำเช่นนั้นไม่ได้ คนของหวงฝู่ฉงหมิงล้วนแล้วแต่ผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์ที่มีภูมิหลังชั้นเลิศของทุกหนแห่งบนแผ่นดินซ่ง ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เป่ยเหิงรวมทั้งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรจะต้านทานได้ ถ้าเขาเข้าไปที่นั่นและขอความคุ้มครองย่อมทำได้ แต่มันจะสร้างปัญหาใหญ่ให้กับนิกายกระบี่เมฆาพเนจร หากนิกายกระบี่เมฆาพเนจรจะต้องถูกตามจองล้างจองผลาญโดยกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังหวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น เฉินซีก็ยอมให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้เหมือนกัน
‘ถ้าไปต่อไม่ไหวจริงละก็ ข้าจะใช้โอสถเหลวหยกนภา ข้าน่าจะใช้ทักษะแปรสภาพร่างกายต้านทานพลังอิทธิฤทธิ์ที่มากมหาศาลของยาได้…’ เฉินซีกัดฟันแน่นขณะตัดสินใจแน่วแน่ ถ้าเขาหนีไม่พ้นจากการไล่ล่าของพวกหวงฝู่ฉงหมิงได้ก่อนที่ปราณแท้ของตนจะแห้งเหือดไป ชายหนุ่มก็จะกินโอสถเหลวหยกนภา โดยไม่สนใจว่ามันจะทำอันตรายแก่รากฐานแห่งเต๋าของเขาหรือไม่อีกต่อไป
ความอับจนหนทางบีบบังคับให้ต้องทำเช่นนี้ นับตั้งแต่เริ่มบ่มเพาะพลังมาจนถึงตอนนี้ ไม่มีสักครั้งที่เขาจะตกอยู่ในอารมณ์ที่เจ็บปวด ท่ามกลางอันตรายและยังไร้กำลังเช่นนี้…
อีกอย่างเขาเกลียดชังหวงฝู่ฉงหมิงและพวกของมันจนเข้ากระดูกดำ และตัดสินใจอย่างเฉียบขาดแล้วว่าเมื่อใดที่หนีรอดออกไปจากภัยพิบัติในวันนี้ได้ เขาจะตามจองล้างจองผลาญคนชั่วเหล่านี้ทุกคน!
…
“บัดซบ! เจ้าเด็กเวรนั่นร่างกายมันเป็นเหล็กหรือไร สองวันผ่านเข้าไปแล้ว ปราณแท้ของมันยังไม่หมดอีกหรือวะ” ยามนี้หวงฝู่ฉงหมิงไม่อาจรักษากิริยาวาจาขององค์ชายหวงฝู่จึงผรุสวาทออกมาโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมอีกต่อไป ทั้งสีหน้าหมองคล้ำเคร่งเครียดอย่างหนัก
เขาเกิดความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าภายหลังจากผ่านสองวันสองคืนที่ไล่ตามเฉินซี ร่างกายรู้สึกอึดอัดและไม่สบายเนื้อตัวอย่างมาก หากมิใช่เพราะความโลภอยากจะได้สมบัติล้ำค่าที่เฉินซีครอบครองละก็ ป่านนี้เขาคงหันหลังกลับไปนอนตีพุงให้สบายเสียนานแล้ว
ตอนนี้พวกเขาแต่ละคนนัยน์ตาแดงก่ำกันหมดแล้ว หน้าตาท่าทางย่ำแย่และภายในใจร้อนระอุด้วยเปลวเพลิงแห่งความโทสะที่พุ่งถึงขีดสุดแล้วเช่นกัน
ทุกคนล้วนแต่เป็นศิษย์สายหลักของนิกายใหญ่ซึ่งเคยแต่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายและมีแต่คนนับหน้าถือตา แต่ดูตอนนี้สิ พวกเขาไม่ต่างอะไรกับผู้พิทักษ์ไร้สมองที่กำลังไล่ตามจอมโจรบนโลกมนุษย์ ได้แต่ไล่ล่าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่มีหยุดพักไม่ว่าจะอยู่ในสภาพไหน โดยไม่มีการกินหรือดื่มอะไรทั้งสิ้น…
ต่อให้ทุกคนจะมีโอสถวิญญาณที่เสริมความแข็งแกร่งปราณแท้โดยไม่ต้องกังวลว่าปราณแท้ของพวกเขาจะไม่เพียงพอ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เหมือนการถูกทรมานอย่างหนึ่ง ด้วยทั้งจิตใจและร่างกายของทุกคนได้รับความทุกข์ทรมานถึงที่สุด
ช่วงสองวันมานี้พวกเขาเอาแต่ช่วยกันคิดหาวิธีการทรมานคนอื่นนับพันวิธี รออย่างเดียวที่จะได้จับตัวเฉินซีมาทรมานเพื่อเป็นการระบายความแค้นและชิงชังในใจของทุกคน
“เฮ้ย! โน่น! เจ้าหมอนั่นดูเหมือนจะไปไม่รอดแล้ว! ทุกคนเร็วเข้าตามมันไปเร็ว!” หลิวเฟิ่งฉือพลันตะโกนบอกทุกคนเสียงดัง น้ำเสียงของเขามีทั้งประหลาดใจระคนยินดีอย่างชัดเจน
เพียงเท่านั้น เหมือนจิตวิญญาณของทุกคนตื่นเต้นกระปรี้ประเปร่าขึ้นมาทันที และก็เป็นดังที่คาดเมื่อพวกเขาสังเกตเห็นว่ากลิ่นอายของคนที่อยู่ห่างออกไปไกลกว่าร้อยจั้ง เกิดความผิดปกติบางอย่างแม้เพียงเล็กน้อยจนแทบจะมองไม่เห็นก็ตาม!
สวรรค์มีตา! ในที่สุดโอกาสก็มาถึง!
ภาพที่ปรากฏยังคงทำให้ความตื่นเต้นพุ่งขึ้นในหัวใจของทุกคนจนสุดที่จะยับยั้งได้ หลายคนถึงกับน้ำตาเอ่อท่วมท้นไหลอาบใบหน้าด้วยความปีติ