บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 25 เคล็ดวิชาหมัดถล่มทลาย
บทที่ 25 เคล็ดวิชาหมัดถล่มทลาย
บทที่ 25 เคล็ดวิชาหมัดถล่มทลาย
จี้อวี๋หาได้ใส่ใจต่อสายตาอันเร่าร้อนของเฉินซี พลันโบกมือออกไปและเก้าอี้หวายสีเขียวมรกตก็ปรากฏขึ้นเคียงข้างกายเขา จากนั้นจึงคว้าขวดน้ำเต้าสีครามที่อยู่ข้างเอวเปิดฝาและจิบ กลิ่นสุราอันเข้มข้นลอยขึ้นอบอวลไปทั่วทั้งห้อง
เขาเอนตัวนอนอย่างเกียจคร้านอยู่บนเก้าอี้หวาย จากนั้นกระดกขวดน้ำเต้ากรอกเข้าปาก กลืนสุราลงไปสองสามอึกและเรอคำโตออกมาก่อนถอนหายใจด้วยความพึงพอใจ “หลังจากแปลงร่างเป็นมนุษย์แล้ว ข้าสามารถเพลิดเพลินกับสิ่งที่ไม่เคยสนุกมาก่อนได้อย่างแน่นอน”
“ผู้อาวุโส ท่านชอบดื่มสุราหรือ?” เฉินซีถาม
“ผิดแล้ว ข้าชอบดื่มแต่สุราชั้นดีต่างหาก” จี้อวี๋กล่าวแก้ไขแล้วยิ้มบาง ๆ “ข้าไม่เพียงชอบดื่มสุราชั้นดีเท่านั้น แต่ยังชอบลิ้มรสอาหารชั้นดีอีกด้วย ถ้าเจ้าต้องการคิดติดสินบนข้า ก็ใช้สองอย่างนี้เสีย ถึงพอที่จะจูงใจข้าได้”
เฉินซีรู้สึกละอายใจอย่างยิ่ง เขาจึงกล่าวออกไปว่า “ข้าเพิ่งได้รับการฝึกฝนเกี่ยวกับศิลปะการปรุงอาหาร แม้ว่าทักษะของข้าจะด้อยกว่าพ่อครัววิญญาณรุ่นอาวุโสผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น แต่ข้ากล้ารับประกันว่าจะทำอาหารที่ถูกใจท่านได้อย่างแน่นอน สำหรับสุราชั้นดีนั้น มีสุราที่ชื่อว่าสุราหมอกสนเมามายแห่งเมืองหมอกสนซึ่งมีรสชาติกลมกล่อม ยามท่านดื่มเข้าไปก็น่าจะสามารถตอบสนองความต้องการของท่านได้เช่นกัน”
จี้อวี๋ไม่ได้มีท่าทีแปลกใจเลยสักนิดและเขาพยักหน้ารับ “เป็นเพราะข้ารู้ว่าทักษะการทำอาหารของเจ้าค่อนข้างดี ข้าจึงปรากฏตัวออกมา มันช่างช่วยไม่ได้ ตัวข้าไม่ได้สนใจสิ่งใดเป็นพิเศษในขณะที่คอยติดตามนายท่านเพื่อต่อสู้และยึดครองดินแดนตลอดทั้งชีวิต แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ข้าไม่อาจหลุดพ้นก็คือความอยากทานอาหารดี ๆ ก็เท่านั้น”
มันเป็นเช่นนี้เอง!
ในที่สุดเฉินซีก็เข้าใจในทันใด แต่เมื่อเขาคิดว่าจี้อวี๋ปรากฏตัวเพียงเพื่อดื่มสุราและลิ้มรสอาหารชั้นดี และไม่ได้มีเจตนาจะชี้แนะเขาเกี่ยวกับทักษะการต่อสู้ ชายหนุ่มก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดาย
“ผู้อาวุโสจี้อวี๋ ท่านอยากทานสิ่งใด”
“ย่อมเป็นเนื้อย่าง!”
“ตกลง!” เฉินซียืนขึ้นและเดินไปที่วัตถุดิบต่าง ๆ จากนั้นจึงเริ่มหยิบเนื้อสัตว์อสูรที่มีเนื้อสัมผัสอันแสนโอชะ
“เนื้อย่างที่ดีเลิศนั้น ‘ความสด’ คือปัจจัยสำคัญ รสสัมผัสของเนื้อที่แล่ไปนานแล้วไม่อาจเทียบได้ ข้าจะพาเจ้าไปยังที่แห่งหนึ่ง” จี้อวี๋ลุกขึ้นจากเก้าอี้หวายในทันทีเมื่อเขากล่าวจบ แววตาของเขาทอประกายในขณะที่เขาบ่นพึมพำ จากนั้นเขาก็โบกมือเบา ๆ วิสัยทัศน์ของเฉินซีก็เลือนรางในทันใด และเพียงชั่วพริบตา เขาก็ปรากฏตัวขึ้นภายในป่าอันรกทึบ
ชายหนุ่มมองไปยังบริเวณรอบ ๆ และพูดด้วยความประหลาดใจว่า “ ที่แห่งนี้คือภายในเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้?”
ภายใต้ค่ำคืนที่มืดมิด ต้นไม้ใหญ่อันมากมายเปรียบเสมือนนักรบผู้ยืนหยัดอย่างมั่นคงตั้งแต่โบราณกาล มันมีลำต้นที่แข็งแกร่ง ใบไม้ที่อุดมสมบูรณ์และแผ่กิ่งก้านสาขา เถาวัลย์คืบคลานหนาแน่นที่มีขนาดใหญ่ราวกับปากชามอยู่บนยอดไม้ แลคล้ายร่างของงูเหลือมที่ห้อยลงมาจากหางของมัน ทิวเขาอันไกลโพ้นที่ขึ้นไล่ติดกัน ทำให้ไม่อาจมองลอดผ่านช่องว่างของใบไม้และกิ่งก้าน
โฮกกกกกกก!
เสียงคำรามของสัตว์ร้ายดังขึ้นจากระยะไกล เพิ่มบรรยากาศที่อันตรายอย่างยิ่งไปทั่วทั้งผืนป่า
ปังงงง!
จี้อวี๋ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางอากาศ จากนั้นเหวี่ยงมือออกไปอย่างไม่ใส่ใจ ทันใดนั้นหมูป่าขนครามซึ่งมีน้ำหนักราวสองร้อยห้าสิบจิน ก็เปล่งเสียงร้องโหยหวนที่น่าสยดสยองและน่าสังเวช ก่อนที่จะล้มลงกองอยู่บนพื้นดิน
“รีบไปย่างเนื้อเถอะ” เมื่อจี้อวี๋กล่าวจบ เขาก็เอนนอนบนเก้าอี้หวายอีกครั้ง จากนั้นหยิบขวดน้ำเต้าขึ้นและดื่มสุราเข้าไปสองสามคำ ชายชราปาดริมฝีปากด้วยความพึงพอใจและมีท่าทางอิสระและผ่อนคลาย ราวกับว่าเขาได้ยึดเอาป่าที่อันตรายเต็มไปด้วยสัตว์อสูร กลายเป็นสวนหลังบ้านของตัวเอง
เฉินซีไม่อาจถอนหายใจด้วยอารมณ์อีกต่อไปและหยิบมีดทำครัวขึ้นมาก่อนที่จะเริ่มเตรียมหมูป่าขนคราม
ฟู่!
ไม่นานหลังจากนั้น กองไฟก็ลุกโหม และน้ำมันก็ไหลออกมาจากชิ้นเนื้อบนตะแกรงเหล็ก ยามที่หยดลงในกองไฟพลันส่งเสียงดังฟู่ ๆ หลังจากนั้นกลิ่นเนื้อชวนให้น้ำลายสอก็ตลบอบอวลออกมา
“ฮ่าาา หลังจากผ่านไปหลายปี ในที่สุดข้าก็ได้ลิ้มรสเนื้อย่างอีกครั้ง!” จี้อวี๋ไม่อาจยับยั้งตัวเองได้อีกต่อไป พลันรีบลุกออกจากเก้าอี้หวายเพื่อหยิบเนื้อย่างร้อน ๆ สักชิ้นก่อนที่จะกัดคำโต และยังคงถอนหายใจเปี่ยมด้วยอารมณ์อย่างไม่ลดละ
เฉินซีรู้สึกยินดีมากเช่นกันเมื่อเห็นฉากนี้ เมื่อครู่นี้เขาไม่ได้ใส่ใจเลยว่าปราณวิญญาณจะหลงเหลืออยู่ในเนื้อย่างมากน้อยแค่ไหน เขาบรรจงมุ่งแต่สร้างความอร่อยของรสชาติเพื่อสนองต่อต่อมรับรสของจี้อวี๋เพียงอย่างเดียว
“เริ่มฝึกฝนวิชาหมัดของเจ้าซะ ตั้งท่าด้วยท่าทางผ่อนคลายและปรับปราณแท้ นี่เป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการฝึกฝนทักษะหมัดและเพลงเตะ การหมกตัวฝึกฝนอยู่แต่ในห้องไม่อาจจะบรรลุผลที่ดีเลิศได้” จี้อวี๋กัดเนื้อและดื่มสุราอย่างพึงพอใจ ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลที่จะให้คำชี้แนะแก่เฉินซี
สิ่งที่ชายหนุ่มปรารถนาคือสิ่งนี้อย่างแน่นอน เขาเดินไปยังที่โล่งกว้างด้านข้าง จากนั้นนั่งลงเพื่อทำสมาธิก่อนจะทบทวนวิชาหมัดถล่มทลายอย่างรอบคอบ
หมัดถล่มทลายเป็นทักษะการต่อสู้ขั้นพื้นฐาน กระแสของแรงหมัดเคลื่อนที่ดั่งคันธนูที่น้าวสายอย่างสุดแรงและปลดปล่อยพลังระเบิดออกไปราวกับเสียงฟ้าร้อง
ท่าทางราวกับกำลังง้างสายธนูเพื่อสะสมพลังทำลาย ใช้ร่างกายเปรียบเหมือนคันธนูที่สะสมกำลังซึ่งส่งผ่านไปยังทุกข้อต่อในร่างกายอย่างเต็มที่
‘การระเบิดพลังดุจอสนีคำรน’ เป็นทักษะในการสำแดงพลัง โดยจะเน้นไปที่แรงยุบตัวก่อนที่ระเบิดพลังออกไปในชั่วพริบตา และรวดเร็วราวกับเสียงฟ้าร้อง สิ่งนี้เรียกว่าการระเบิดในชั่วพริบตา ยามที่สำแดงพลังสามารถทำลายทุกสิ่งที่กีดขวางอยู่บนเส้นทางของมัน และใช้ร่างกายเป็นแกนกลาง แรงหมัดจะควบแน่นจนสามารถทำลายภูผา
นอกจากนี้หมัดถล่มทลายดังกล่าวยังได้รับการปรับปรุงโดยจี้อวี๋ ซึ่งยามที่สำแดงพลัง อานุภาพของหมัดนั้นจึงเหนือล้ำกว่าปกติทำให้ยกระดับจากทักษะพื้นฐานไปสู่ระดับที่สูงกว่า ตามความเข้าใจของเฉินซี การฝึกฝนทักษะการต่อสู้ถูกแบ่งออกเป็นขั้นพื้นฐาน ขั้นเชี่ยวชาญ และขั้นเอกภาพ ซึ่งสอดคล้องกับระดับต่ำ ระดับกลาง และระดับสูงตามลำดับ
ยกตัวอย่างหมัดถล่มทลาย เดิมทีมันเป็นทักษะการต่อสู้ขั้นพื้นฐาน และหากฝึกฝนจนชำนาญ เฉินซีก็จะเชี่ยวชาญในเต๋าแห่งยุทธ์ขั้นต้น หากต้องการบรรลุขั้นสูง เขาต้องเลือกฝึกฝนทักษะการต่อสู้ระดับกลาง
อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้ที่มีพรสวรรค์โดยกำเนิดอันล้ำเลิศ ซึ่งอาศัยการรู้แจ้งด้วยตนเอง จากขั้นพื้นฐานไปสู่ขั้นที่สูงกว่าในเต๋าแห่งยุทธ์ แต่ตัวอย่างเหล่านั้นนับว่าหาได้ยากมากในโลกแห่งการบ่มเพาะ ในปัจจุบัน ตราบใดที่คนผู้นั้นมีกระเป๋าสตางค์ที่หนาพอหรือบางทีอาจอยู่กับนิกายที่มีทรัพยากรและทุนสำรองที่เอื้อต่อการฝึกฝน คนเหล่านั้นก็จะสามารถบรรลุทักษะการต่อสู้ระดับสูงได้อย่างง่ายดาย
ปังงงงง!
ขณะที่เฉินซีกำลังตั้งใจฝึกฝน จี้อวี๋ก็ส่งเสียงเรียกเขา และไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง จากนั้นจึงออกหมัดชก ทันใดนั้นหินแข็งก็เปลี่ยนเป็นเศษเล็กเศษน้อยในทันใด ขนาดของเศษหินมีขนาดเท่าลูกลำไย และรูปร่างของพวกมันก็คล้ายคลึงกัน ยามกระจัดกระจายไปทั่วผืนดินราวกับกองก้อนกรวด
“นี่เป็นขั้นที่หนึ่งของหมัดถล่มทลาย ทำลายหินให้สลายกลายเป็นก้อนกรวด”
ชายชราเดินมายังเบื้องหน้าก้อนหินใหญ่อีกก้อนหนึ่งและชกหมัดของเขาออกไป ก้อนหินนั้นกลายเป็นฝุ่นผงในทันที จากนั้นเป่ามันเบา ๆ ฝุ่นผงก็ลอยฟุ้งไปทั่วก่อนที่จะสลายหายไปตามสายลม
“นี่เป็นขั้นที่สอง การทำลายหินให้สลายกลายเป็นผง”
จี้อวี๋เดินไปยังก้อนหินใหญ่ก้อนที่สาม และใช้หมัดของเขาชกออกไป จากนั้นเศษหินทั้งหลายก็ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นเข็มแหลมคมปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า เมื่อเขาก็สะบัดแขนเสื้อเบา ๆ เข็มหินเหล่านั้นก็ส่งเสียงหวีดหวิวอันเสียดหู ก่อนที่จะพุ่งเจาะต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียง ต้นไม้นั้นถูกเข็มเล็ก ๆ นับไม่ถ้วน เจาะทะลุผ่านไปเป็นรูพรุน!
“นี่คือขั้นที่สามของหมัดถล่มทลาย เรียกว่าการทลายหินให้เป็นเข็มอันแหลมคม”
“ตอนนี้ จิตวิญญาณของเจ้าแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ย่อมไม่ยากที่จะฝึกฝนสิ่งเหล่านี้ หากเจ้าสามารถฝึกฝนหมัดถล่มทลายจนบรรลุถึงขั้นที่สามได้ ความว่องไวและการสำแดงพลังของตัวเจ้าน่าจะเพียงพอต่อการฝึกฝนทักษะควบคุมพลังธรรมชาติ เคล็ดวิชากระบี่ และวิชาตัวเบา” หลังจากเขาพูดจบ จี้อวี๋ก็เอนตัวนอนบนเก้าอี้หวายกัดกินเนื้อและร่ำสุราอย่างมีความสุขอีกครั้ง และไม่แม้แต่จะเหลือบมองเฉินซีอีกต่อไป
เวลาเดียวกัน เฉินซีก็ได้รับการกระตุ้นจากการสาธิตพลังหมัดทั้งสามของจี้อวี๋ มันยิ่งทำให้เขารู้สึกกระตือรือร้นและเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ เมื่อเขาได้ยินจี้อวี๋กล่าวถึง ชายหนุ่มไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะตั้งท่าและเริ่มฝึกฝนตั้งแต่ต้น
เช่นเดียวกับที่จี้อวี๋กล่าว จิตวิญญาณของเฉินซีนับว่าแข็งแกร่งขึ้นและเติบโตอย่างรวดเร็วยิ่งยวด เนื่องจากได้ศึกษารูปปั้นเทพเจ้าฝูซีทั้งวันทั้งคืน ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ การเปลี่ยนแปลงในทุกกระบวนท่าและทุกรูปแบบของหมัดถล่มทลายเป็นเหมือนกระแสน้ำไหลรินเข้าสู่จิตใจของเขาและปราศจากข้อผิดพลาด
ใช้เวลาเพียงไม่นาน เฉินซีก็เข้าสู่สภาวะลืมเลือนตัวตน และดำดิ่งอยู่กับการฝึกฝนทักษะหมัดของเขาโดยไม่รู้ตัว
เสียงโลหิตที่ไหลเวียนอยู่ภายในกายของเฉินซีรุนแรงราวกับแม่น้ำใหญ่ แต่ตรงกันข้ามกับโลหิตในกาย การเต้นของหัวใจของเขาเต้นช้าลงเรื่อย ๆ ทว่ากลับเปี่ยมไปด้วยพลัง มันดังกังวานดั่งเสียงกลองศึก และทำให้เลือดเนื้อและผิวหนังสั่นไหวไปทั่วทั้งร่างกาย
ฟุ่บ!
เฉินซีไม่ได้สังเกตถึงตอนที่ตนเองกำลังดำดิ่งสู่ห้วงวิชาหมัด ดาวสีครามท่ามกลางดารานับไม่ถ้วนบนท้องฟ้า กำลังรีดเค้นพลังดาราวารีอันเย็นยะเยือกเข้าสู่โลหิตและเนื้อหนัง และค่อย ๆ นวดเส้นเอ็นไปทั่วทั้งร่างกายของเขาอย่างช้า ๆ…
จู่ ๆ เฉินซีก็ลืมตาขึ้นในอีกหนึ่งชั่วยามครึ่งต่อมา และร่างของเขากระโจนขึ้นจากพื้นก่อนจะชกกำปั้นลงบนก้อนหินใกล้เคียงในทันใด
ตูม!
ก้อนหินที่แข็งดั่งโลหะ บนพื้นผิวของมันมีรอยแตกพอสมควรและเศษหินจำนวนมากก็แตกกระจายออก
“สมกับเป็นก้อนหินภูผา แต่พลังหมัดของข้าก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน ด้วยระดับความเร็วนี้ ข้าควรจะก้าวไปถึงขั้นแรก โดยทำให้ก้อนหินแตกเป็นก้อนกรวดได้ภายในเจ็ดวัน”
เฉินซีถอนกำปั้นออก และตอนนั้นเองที่ตัวเขารู้สึกถึงเสียงสูบฉีดของโลหิตที่ราวกับกำลังเดือดพล่านไปทั่วร่างกาย และเส้นเอ็นในร่างของเขาก็เริ่มยืดหยุ่นมากขึ้นจนน่าประหลาด “ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพ จะทำให้ระดับการบ่มเพาะภายนอกผ่านระดับที่สามและก้าวไปสู่ระดับที่สี่ภายในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้”
ความก้าวหน้าในการขัดเกลากายาที่ไม่ค่อยรุดหน้านั้นเป็นปมในใจของเฉินซีเสมอมา เนื่องจากเขาขาดประสบการณ์ ชายหนุ่มจึงทำได้แต่ฝึกฝนวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพอย่างหมั่นเพียร และไม่เคยคิดที่จะใช้วิธีการอื่นเพื่อเสริมให้ความแข็งแรงทางกายเลย ดังนั้น ประโยชน์ที่ได้รับจากการฝึกฝนหมัดถล่มทลายวันนี้ จึงช่วยให้เขาค้นพบวิธีการที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
“หลักการนั้นง่ายมาก นี่คือความล้ำเลิศของทักษะการต่อสู้ มันสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับการฝึกฝนหลักเต๋าแห่งยุทธ์ เพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายและใช้การไหลเวียนของการบ่มเพาะในร่างกายดึงปราณแห่งดาราจักรออกมาได้” จี้อวี๋เงยหน้าขึ้นและพูดอย่างเฉยเมย
โครกกกกกก!
ท้องของเฉินซีส่งเสียงร้องอย่างหิวโหย การฝึกฝนวิชาหมัดก่อนหน้านี้ได้ใช้พลังงานในร่างกายของเขาไปจนหมดสิ้น มีหมูป่าขนครามเหลืออยู่ครึ่งตัว ชายหนุ่มหาได้สนใจสิ่งอื่นใด พลันนั่งไขว่ห้างและเริ่มกลืนกินด้วยการกัดคำใหญ่ ๆ
“ดื่มสุราซะ!” ชายชรายกมือขึ้นและโยนน้ำเต้าที่มีผิวสีครามให้กับเฉินซี
เฉินซีไม่ได้ปฏิบัติต่อจี้อวี๋เยี่ยงคนแปลกหน้าเลยแม้แต่น้อย ตอนที่เขาถือขวดน้ำเต้าสีครามและดื่มเข้าไปไม่กี่คำ สุราแสบร้อนก็กลายเป็นกระแสธารอันร้อนแรงที่แสนกลมกล่อมและสดชื่นในทันทีที่มันผ่านเข้าสู่ลำคอ จากนั้นก็ไหลทะลักไปยังทุกส่วนภายในร่างกาย
ปังงงง!
ราวกับก้อนศิลาระเบิดภายในร่างกายของเขา และพลังบริสุทธิ์มหาศาลก็แผดเสียงออกมายามมันปะทะกันภายในร่างกาย ราวกับแปรงเหล็กจำนวนมากที่ชำระล้างโลหิต เนื้อหนัง และอวัยวะภายในของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ใบหน้าของเฉินซีแดงวูบในทันที และความเจ็บปวดอันรุนแรงก็เกิดขึ้นทั่วทั้งร่างกายทำให้ท่าทางของเขาบิดเบี้ยวและน่าสยดสยอง
“ข้าลืมไปว่ามวลพลังในสุรานี้น่าสะพรึงกลัวเกินไป และไม่เหมาะสำหรับเจ้าที่จะดื่มในตอนนี้” จี้อวี๋ตกตะลึง พลันตบหน้าผากของเขาก่อนที่จะตะโกนออกมาอย่างเร่งรีบว่า “รีบโคจรเคล็ดวิชาบ่มเพาะ รักษาจิตใจให้ปลอดโปร่งและจงควบคุมสติให้ได้!”
เฉินซีไม่อาจลังเลพลันรีบกัดฟันของเขาในขณะที่เขาโคจรเคล็ดวิชาบ่มเพาะของตัวเอง
ปัง! ปัง!
รู้สึกเหมือนมีฝูงวัวคลั่งนับไม่ถ้วน ปะทะกันภายในเส้นโลหิตและเนื้อหนัง พลังงานมหาศาลจากสุราอันเข้มข้นนี้แปรเปลี่ยนเป็นความรุนแรงและยากที่จะทำให้สงบ ยิ่งกว่านั้น มันยังร้อนแรงแผดเผาและยากจะทานทน เฉินซีได้แต่พึ่งพากำลังใจของเขาอย่างเต็มที่ในการดูดซับพลังทั้งหมดนี้ตลอดหลายชั่วยาม
ในเวลานี้ ใกล้จะรุ่งสาง
เมื่อเฉินซีลุกขึ้นยืน แสงแรกแห่งรุ่งอรุณก็ได้ลอดผ่านใบไม้และกิ่งก้านอันหนาทึบลงมา
เขามีใบหน้าที่ดูเด็ดเดี่ยวและมีรูปร่างผอมสูง กล้ามเนื้อขนาดพอเหมาะปรากฏขึ้นชัดภายใต้ร่มอาภรณ์
ภายใต้แสงอรุณที่โปรยปราย เฉินซีดูเหมือนได้เกิดใหม่และไม่ได้มีท่าทางที่อ่อนแออีกต่อไป
“ระดับการบ่มเพาะขอบเขตก่อกำเนิดแห่งการขัดเกลากายา?” เฉินซีรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายและหัวใจของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง