บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 250 อานุภาพของค่ายกลกระบี่ทะลวงสู่ท้องฟ้า
บทที่ 250 อานุภาพของค่ายกลกระบี่ทะลวงสู่ท้องฟ้า
บทที่ 250 อานุภาพของค่ายกลกระบี่ทะลวงสู่ท้องฟ้า
กระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจนเกิดเสียงดังกึกก้องราวกับกระแสน้ำถาโถม!
ทันทีที่ค่ายกลกระบี่มหาปราณถูกสร้างขึ้นสำเร็จ ก็เกิดปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดาไปทั่วท้องฟ้า เสมือนกับจอมกระบี่ที่ไม่มีใครเทียบได้ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ เพียงแค่กลิ่นอายอันแหลมคมที่แผ่ออกมาจากค่ายกลกระบี่ก็ทำให้รู้สึกถึงความหนาวเย็นไปถึงกระดูกสันหลัง ราวกับว่าได้ตกลงไปในบ่อน้ำแข็งอันเยือกเย็น
เมื่อมองจากระยะไกล ท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเฉินถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายกระบี่และปราณกระบี่ที่พาดผ่านท้องฟ้า และพวกมันดูเหมือนมังกรหิมะสีขาวจำนวนมากที่ควบแน่นจากปราณกระบี่ที่แหวกว่ายไปบนท้องฟ้าพร้อมกับส่งเสียงร้องคำรามดังกึกก้องไปทั่วฟ้าดิน
ครืน!
บรรยากาศทั่วท้องฟ้าและผืนดินถูกเปลี่ยนไปทันทีเมื่อมวลเมฆดำทะมึนปกคลุมท้องฟ้า ทำให้ท้องฟ้าที่สดใสแต่เดิมจมดิ่งสู่ความมืดมิด ยิ่งไปกว่านั้น พระจันทร์เต็มดวงที่สว่างพร่างพรายได้ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเฉิน และแสงจันทร์สีเงินที่ส่องแสงเจิดจ้าก็สาดลงมาปกคลุมจวนตระกูลเฉินทั้งหมดด้วย
ค่ายกลกระบี่มหาปราณได้ชักนำพลังของดวงจันทร์เพื่อสร้างปรากฏการณ์ที่น่าอัศจรรย์ไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก!
ครืน!
ผู้คนในเมืองหมอกสนที่เห็นปรากฏการณ์นี้ต่างก็อ้าปากค้าง ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็รู้สึกว่าหนังศีรษะชาหนึบ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ห่างจากค่ายกลนี้กว่าสองร้อยห้าสิบลี้ แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกเหมือนมีคมมีดจ่ออยู่ที่แผ่นหลัง และปราณกระบี่ก็พร่างพราวเสียจนพวกเขาแทบลืมตาไม่ขึ้น
“บัดซบ! นี่มันค่ายกลกระบี่อะไรกัน? เหตุใดมันถึงน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้! ข้าเกรงว่าแม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาก็ไม่อาจต้านทานได้!” หวงฝู่ฉงหมิงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่อันตรายอย่างยิ่งจากก้นบึ้งหัวใจ และเขาไม่ลังเลที่จะปล่อยหลิงไป๋ที่อยู่ในมือ ก่อนจะล่าถอยห่างออกไปอย่างต่อเนื่อง
“กระบี่ระดับปฐพีขั้นสูงนับหมื่นเล่มและกระบี่ระดับปฐพีขั้นสุดยอดเก้าเล่มภายในค่ายกลเดียว และมันยังทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่น่าอัศจรรย์ไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก! นี่… นี่… แม้แต่ค่ายกลหมื่นฉลามทะเลหยกที่คอยปกป้องเกาะฉลามมังกรแห่งทะเลตะวันออกของข้าก็ดูเหมือนจะด้อยกว่าค่ายกลนี้!”
“รีบถอยไปเร็วเข้า! พลังระดับนี้สามารถทำลายล้างผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาได้ เราไม่อาจติดอยู่ภายในนั้น มิฉะนั้น ชีวิตของพวกเราจะหาไม่!”
หลิวเฟิ่งฉือ หม่านหง หลินโม่เซวียน เซียวหลิงเอ๋อร์ และคนอื่น ๆ ล้วนมีสีหน้าตึงเครียดขณะที่ความหวาดกลัวอันไร้ขอบเขตได้ผุดขึ้นในใจ ดังนั้นพวกเขาจึงรีบล่าถอยอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าหวงฝู่ฉงหมิงเสียอีก
เพียงชั่วพริบตา ทุกคนต่างถอยหนีอย่างไร้จุดหมาย ราวกับกำลังหลบหนีสัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงกลัว
เฉินซีฉวยโอกาสนี้คว้าทั้งร่างของหลิงไป๋กับเฉินฮ่าวมาไว้ข้างกาย จากนั้นเขาจึงจ้องมองไปยังศัตรูเหล่านั้นที่ล่าถอยออกไปอย่างเย็นชา ก่อนจะหันหลังกลับและหายไปในค่ายกลกระบี่
ในขณะนี้ หากใครมองไปยังบริเวณโดยรอบของจวนตระกูลเฉิน จะเห็นเพียงปราณกระบี่ที่ไร้เทียมทานจำนวนนับไม่ถ้วนที่เคลื่อนไปมา และพวกมันก็ก่อตัวเป็นม่านกำแพงกระบี่ที่เต็มไปด้วยจิตสังหารและพลังทำลายล้าง ซึ่งเปรียบเสมือนกับชามข้าวที่ครอบลงมารอบจวนอย่างแน่นหนา นอกจากนี้ แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาที่ม่านกำแพงกระบี่ก็ดูเหมือนกับภาพวาดของแดนสวรรค์ที่เต็มไปด้วยหมู่เซียนเริงระบำ
เมื่อเฉินซีเหินลงมาที่พื้น เขาก็ไม่ลังเลที่จะหยิบโอสถเหลวหยกนภานับหมื่นเม็ดใส่ลงไปในกระเป๋าสมบัติมิติก่อนจะมอบให้เฉินฮ่าว “ค่ายกลกระบี่มหาปราณนี้สามารถกำจัดยอดฝีมือขอบเขตสถิตกายาได้ อีกทั้งการโจมตีของยอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพีก็ไม่อาจเจาะทะลุค่ายกลนี้แม้แต่น้อย ด้วยการปกป้องที่ทรงพลังเช่นนี้ ตระกูลเฉินของเราจะอยู่รอดปลอดภัย แต่ค่ายกลกระบี่นี้ต้องใช้ปราณวิญญาณในการคงสภาพมหาศาล ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องใช้โอสถระดับปฐพีขั้นสุดยอดนับหมื่นเม็ดคอยเติมปราณวิญญาณให้แก่ค่ายกล หลายวันนับจากนี้เจ้าจงรั้งอยู่ในค่ายกลไปก่อนและคอยเติมพลังให้ค่ายกลนี้อย่าได้ขาด”
ครืนนน!
เสียงของเฉินซียังไม่ทันหายไปจากอากาศ เขากลับไม่สามารถพยุงตัวเองได้อีกต่อไป ก่อนจะหมดสติล้มลงไปกองกับพื้น
สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันมานี้ทำให้เขาเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน เขาวิ่งทะยานโดยไม่หยุดหย่อนเป็นเวลาถึงสามวันสามคืน เพื่อหลบหนีจากห้วงทะเลทรายมรณะมายังเมืองหมอกสน ร่างกายของเขายังได้ผลกระทบอย่างรุนแรงจากการกินโอสถเหลวหยกนภาเข้าไป และการฝืนรีดเค้นปราณแท้ของเขาอย่างต่อเนื่อง เมื่อรวมกับแก่นโลหิตนับไม่ถ้วนที่ถูกใช้ไปเพื่อสร้างค่ายกลกระบี่ เขาได้ใช้พลังชีวิตมากเกินไป ทำให้ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลสาหัสทั้งภายในและภายนอก หากไม่ใช่เพราะเจตจำนงอันแรงกล้าที่คอยสนับสนุนเขาอยู่ เขาคงไม่สามารถยืนหยัดได้จนถึงตอนนี้
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงหมดสติในทันทีที่จิตใจผ่อนคลาย และไม่อาจรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกภายนอกได้อีกต่อไป
หลิงไป๋เองก็หมดสติไปเช่นเดียวกัน เนื่องจากเขาได้ต้านทานการโจมตีของหวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ โดยไม่เสียดายอายุขัยของตัวเองเลย ดังนั้นอาการบาดเจ็บของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเฉินซีเลยสักนิดเดียว
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาทั้งคู่จึงหมดสติอยู่ในสภาพที่ไม่น่าดู แต่กลับไม่มีใครหัวเราะเยาะพวกเขาสักคน
ยิ่งไปกว่านั้น ความเคารพอย่างลึกซึ้งก็ผุดขึ้นในใจของข้ารับใช้ตระกูลเฉิน และแม้ว่าพวกเขาจะยังคงนิ่งเงียบ แต่ความเคารพนี้ก็เอ่อล้นอยู่ในใจของพวกเขาทุกคนอย่างต่อเนื่อง
เป็นเพราะคนทั้งสองได้พยายามพลิกสถานการณ์และช่วยตระกูลเฉินในช่วงเวลาที่คอขาดบาดตายอย่างเต็มที่ ถ้าไม่ใช่เพราะทั้งสองคนนี้ พวกเขาก็คงถูกทำลายไปพร้อมกับการล่มสลายของตระกูลเฉิน อีกทั้งยังต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกเข่นฆ่า
ในขณะนี้ ทุกคนในตระกูลเฉินต่างก็รู้สึกภาคภูมิใจที่มีผู้พิทักษ์ตระกูลเช่นนี้ ‘หากมีคนเช่นเขาอยู่ เหตุใดจึงต้องกังวลว่าตระกูลเฉินจะไม่พบกับความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรือง?’
“เหลิ่งชุ่ย เจ้าจงพาพี่ชายของข้ากับหลิงไป๋ไปพักผ่อน และใช้โอสถทิพย์ชั้นเลิศเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของพวกเขา ปล่อยหน้าที่ดูแลค่ายกลกระบี่นี้ให้แก่ข้า ส่วนคนอื่นจงทำในสิ่งที่ควรทำ และห้ามออกจากค่ายกลโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นอันขาด!” เฉินฮ่าวกล่าวด้วยเสียงทุ้มหนัก ซึ่งทำลายบรรยากาศอันเงียบงัน ไม่มีใครได้สังเกตเห็น เมื่อเขาละสายตาจากร่างของเฉินซี น้ำตาสองสายก็ไหลลงมาจากดวงตาทั้งสองข้างของเขา แต่มันก็ระเหยหายไปในอากาศทันที
จิตใจของเขามั่นคงยิ่งขึ้นและปราศจากความกลัวใด ๆ สีหน้าของเขาก็แน่วแน่ยิ่งขึ้น ทำให้เขาดูเหมือนกับเป็นภูเขาที่สูงตระหง่านและสง่างามยิ่งขึ้นหลังจากประสบกับการโหมกระหน่ำของพายุและสายฝน
“รับทราบ!” ทุกคนขานรับอย่างแข็งขัน จากนั้นพวกเขาก็ล่าถอยไปอย่างเป็นระเบียบ
“เจ้าก็ระวังตัวด้วย” เฟยเหลิ่งชุ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล จากนั้นนางก็ประคองเฉินซีไว้บนแผ่นหลังของนางและอุ้มหลิงไป๋ขึ้นด้วยมือทั้งสองข้างก่อนจะจากไปอย่างระมัดระวัง
เมื่อทุกคนออกไปแล้ว เฉินฮ่าวจึงนั่งขัดสมาธิที่ศูนย์กลางของค่ายกลกระบี่ ในขณะที่สายตาซึ่งเป็นดั่งคบเพลิงของเขากวาดไปรอบ ๆ อย่างเฉยเมย เปลวเพลิงที่ร้อนแรงได้ลุกโชนขึ้นในใจของเขา และเขาก็ไม่กล้าที่จะผ่อนคลาย เนื่องจากพี่ชายของเขาได้ช่วยเหลือเขามามากเกินไปแล้ว มันทำให้เขารู้สึกผิด ไม่สบายใจ และไร้ความสามารถ…
ในขณะนี้ เขาจะไม่ยอมให้ความสงบสุขที่แลกด้วยชีวิตของผู้คน จะต้องถูกศัตรูของพวกเขาทำลายอย่างแน่นอน!
…
ห่างจากค่ายกลกระบี่มหาปราณประมาณสามลี้
หวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ จ้องมองไปยังจวนตระกูลเฉินซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยแสงจันทร์สีเงินและปราณกระบี่อันหนาแน่นอย่างแน่วแน่ด้วยสีหน้าที่มืดหม่น ดวงตาของพวกเขาแสดงออกถึงความไม่เต็มใจ ความสับสน ความประหลาดใจ และความโกรธเกรี้ยว
ครั้งนี้ เฉินซีได้รอดพ้นจากหายนะอีกครั้ง!
พวกเขาแทบจำไม่ได้ว่าเฉินซีรอดพ้นจากหายนะมากี่ครั้งแล้ว เจ้าเด็กคนนี้เป็นเหมือนฝันร้ายในชีวิตของพวกเขา เพราะมันมักปรากฏตัวตรงหน้าอยู่เสมอ แต่อนิจจา พวกเขากลับไม่สามารถฆ่าได้สำเร็จเลยสักครั้ง
“องค์ชายหวงฝู่ พวกเราจะทำอย่างไรต่อไปดีพ่ะย่ะค่ะ?” หลิวเฟิ่งฉือถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ซึ่งแฝงด้วยความเกลียดชังที่ลึกล้ำและไม่เต็มใจ พวกเขาอยู่ห่างจากการทำลายล้างเฉินซีและยึดสมบัติทั้งหมดที่อยู่ในความครอบครองของอีกฝ่ายเพียงก้าวเดียว ทว่าความแตกต่างเพียงเล็กน้อยนี้กลับทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ดังนั้นเขาจะยอมจำนนต่อชะตากรรมเช่นนี้ได้อย่างไร?
“พวกเราจะทำสิ่งใดได้อีก? พวกเจ้าทุกคนสามารถฝ่าค่ายกลกระบี่ที่น่ารังเกียจเช่นนี้ได้หรือ? ฮึ่ม!” หวงฝู่ฉงหมิงไม่อาจอดกลั้นโทสะในใจของเขาได้อีกต่อไป ทำให้เขาสูญเสียการควบคุมและคำรามออกมาอย่างดุเดือด
ทุกคนต่างก็เงียบลง ความคับข้องและความโกรธเกรี้ยวในใจของพวกเขาเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าหวงฝู่ฉงหมิง แต่พวกเขาจะทำสิ่งใดได้อีก แม้ว่าพวกเขาจะไม่เต็มใจเลยก็ตาม? เนื่องจากพลังของค่ายกลกระบี่นั้นเพียงพอที่จะสังหารผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น จะไปนับประสาอะไรกับพวกเขาที่เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์
“บัดซบ! ไม่เพียงแต่พวกเราจะไม่ได้สิ่งใดเลย กระบี่เต๋าสวรรค์ปฐพีของข้าก็ติดอยู่ในค่ายกลของมันเช่นกัน เจ้าคนผู้นี้ช่างสมควรตายอย่างแท้จริง!” หลินโม่เซวียนขมวดคิ้วขณะที่เขาตะคอกออกมาด้วยความโกรธ
“ฮึ่ม! พูดราวกับว่ากระบี่เพลิงวิญญาณของข้าไม่ได้ถูกมันพรากไป!” เซียวหลิงเอ๋อร์คำรามอย่างเย็นชา
“หยุดโต้เถียงกันได้แล้ว! ศัสตราวิเศษของพวกเราทุกคนล้วนถูกเจ้าเด็กบัดซบแย่งชิงไป พวกเจ้าจะมาทะเลาะกันเองเช่นนี้มันจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา!” หลิวเฟิ่งฉือขมวดคิ้วพร้อมกับตวาดเพื่อหยุดพวกเขา
เมื่อครั้งที่พวกเขาอยู่ในห้วงทะเลทรายมรณะ คนเหล่านี้ได้ร่วมมือกันโจมตีเฉินซีเพื่อหวังยึดสมบัติอมตะทั้งสามชิ้นที่อยู่ในความครอบครองของอีกฝ่าย
เดิมทีชัยชนะได้อยู่ในกำมือของพวกเขาแล้ว แต่เฉินซีกลับอาศัยเจตจำนงจากผู้ยิ่งใหญ่ในการสำแดงพลังของเขตแดนเต๋าแห่งปารมิตา เขตแดนเต๋าแห่งการลืมเลือน และเขตแดนเต๋าแห่งจุดจบ เพื่อสลายการโจมตีทั้งหมดของพวกเขาและแม้กระทั่งสมบัติที่พวกเขาใช้ในการโจมตีก็ถูกยึดไป ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทุกคนโกรธแค้นและไม่พอใจจนถึงขั้นที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกับเฉินซีได้อีก
อย่างไรก็ตาม ศัสตราวิเศษเหล่านั้นล้วนอยู่ในระดับปฐพีขั้นสุดยอด และเป็นสมบัติวิเศษล้ำค่าที่นิกายของพวกเขามอบให้ แต่ในขณะนี้ พวกเขากลับสูญเสียสมบัติวิเศษเหล่านี้ไป ทำให้พวกเขาไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องนี้กับนิกายอย่างไรดี
“แล้วเจ้าคิดว่าเราควรทำอย่างไรดี? อย่าได้บอกข้าว่าเจ้ามีดีแค่ฝีปาก!” หลินโม่เซวียนกล่าวด้วยท่าทางไม่เป็นมิตร
เดิมทีกลุ่มของพวกเขาเกิดจากการร่วมมือกันชั่วคราว และพวกเขาล้วนเป็นผู้โดดเด่นจากสถานที่ที่พวกเขาจากมา จึงทำให้พวกเขาหยิ่งผยองและไม่ไว้หน้าผู้ใด ดังนั้นจึงไม่มีใครหวาดเกรงต่อความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย เมื่อหลินโม่เซวียนกล่าวออกมาในเชิงสบประมาท มันก็อาจเป็นชนวนสร้างความไม่พอใจที่อัดแน่นอยู่ในอกของทุกคนให้ปะทุขึ้นมาได้
แต่โดยไม่คาดคิด หลิวเฟิ่งฉือกลับไม่ได้แสดงท่าทีโกรธเคืองใด ๆ แต่เขากำลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ข้าย่อมมีวิธีแน่นอน และเมื่อเทียบกับความสูญเสียของเราแล้ว นี่เป็นวิธีเดียวที่จะแก้ปัญหานี้ได้”
“จงว่ามา!” ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความตกตะลึง
“รายงานเรื่องนี้ไปยังนิกายของเรา!” หลิวเฟิ่งฉือไม่ได้คิดอ้อมค้อมและค่อย ๆ กล่าวคำสองสามคำออกมาช้า ๆ
“ฮะ ให้รายงานไปยังนิกายของเราหรือ?”
“ถูกต้อง ตอนนี้เราไม่สามารถยึดสมบัติที่อยู่ในความครอบครองของเจ้าเด็กบัดซบคนนั้นได้ ดังนั้นเหตุใดเราถึงไม่รายงานเรื่องนี้ไปยังนิกาย และปล่อยให้กลุ่มผู้อาวุโสระดับสูงของนิกายจัดการกับเรื่องนี้แทน ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นเรื่องสำคัญ หลังจากที่เรารายงานเรื่องนี้ไปแล้ว เราก็จะได้รับรางวัลมากมายจากนิกายของเราโดยปริยาย ดังนั้นเหตุใดถึงไม่ทำแบบนั้นเสียล่ะ?”
“ใช่แล้ว แผนนี้แยบยลมาก เพื่อสมบัติต่าง ๆ ที่อยู่ในความครอบครองของเจ้าเด็กคนนี้ กลุ่มผู้อาวุโสระดับสูงของนิกายเราจะต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน ไม่เพียงแต่เราจะสามารถฆ่าเจ้าเด็กคนนี้ทางอ้อมและระบายความเกลียดชังของเราได้เท่านั้น แต่เรายังสามารถเอาสมบัติที่ถูกยึดไปกลับคืนมาพร้อมกับรับรางวัลมากมายจากนิกายของเรา ดังนั้นวิธีนี้เหมาะสมที่สุดแล้ว”
ไม่มีใครเป็นคนโง่ในกลุ่มพวกเขา ตรงกันข้าม พวกเขาทั้งหมดมีความเฉลียวฉลาดและเฉียบแหลม ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะแน่นอน ในขณะนี้ เมื่อพวกเขาได้ยินคำกล่าวของหลิวเฟิ่งฉือพวกเขาก็เข้าใจความมหัศจรรย์ของแผนการนี้ทันที
“หากพวกเราทำถึงขั้นนั้น มันจะไม่เป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตนหรอกหรือ?” หวงฝู่ฉงหมิงขมวดคิ้ว อันที่จริง เขาก็เห็นด้วยกับวิธีการของหลิวเฟิ่งฉืออย่างมาก แต่เมื่อคิดถึงการที่นิกายที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงมากมายจะต้องส่งผู้อาวุโสมาจัดการกับเด็กน้อยที่มีฐานการบ่มเพาะเพียงขอบเขตเคหาทองคำ มันอาจจะทำให้พวกเขาต้องกลายเป็นที่หัวเราะเยาะของผู้คน
“ไม่ต้องกล่าวถึงสมบัติที่เจ้าเด็กคนนี้ได้รับจากขุมสมบัติเฉียนหยวน เพียงสมบัติอมตะสามชิ้นที่มันครอบครองอยู่ก็สามารถทำให้เหล่าตัวประหลาดเฒ่าต้องคลุ้มคลั่งได้แล้ว ดังนั้นการทำเช่นนี้ก็ไม่ผิดและไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับคำติเตียน ข้ามั่นใจได้เลยว่าหากข่าวนี้รั่วไหลออกไป จะมีผู้คนมากมายที่ไม่สนใจสถานะของพวกเขาเดินทางมาที่นี่เพื่อฆ่าไอ้เจ้าเด็กคนนี้อย่างแน่นอน” หลิวเฟิ่งฉือกล่าวด้วยใบหน้าที่เปี่ยมด้วยมั่นใจ
“ตกลง เราจะดำเนินการตามแผนนี้!” หวงฝู่ฉงหมิงตัดสินใจทันที จากนั้นสายตาของเขากวาดผ่านทุกคน ก่อนที่จะกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “แต่ข้าขอเตือนพวกเจ้าทุกคนว่า เรื่องนี้จะต้องรายงานไปยังกลุ่มผู้อาวุโสระดับสูงของนิกายพวกเจ้าเท่านั้นอย่าได้แพร่งพรายไปถึงผู้อื่น ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงไม่อยากให้ข้อมูลที่สำคัญเช่นนี้หลุดลอดไปสู่บุคคลภายนอกใช่หรือไม่?”
“แน่นอน” ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยเพราะพวกเขาจะไม่ให้ข้อมูลเรื่องนี้รั่วไหลไปสู่คนอื่นโดยเด็ดขาด และพวกเขาก็ไม่ได้รั้งอยู่ที่เมืองหมอกสนอีกต่อไปและเหินทะยานกลับไปยังนิกายของตน
ในขณะนี้ แผนการร้ายอันน่าสะพรึงกลัวซึ่งมุ่งเป้าไปที่เฉินซีได้เปิดม่านขึ้นแล้ว