บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 259 ยันต์เทวะคืออะไร
บทที่ 259 ยันต์เทวะคืออะไร
บทที่ 259 ยันต์เทวะคืออะไร
‘มรดกสืบทอดแท้จริงของผู้อาวุโสฝูซีแห่งเคหาบ่มเพาะซุกซ่อนอยู่ในโลกแห่งดาราอันกว้างใหญ่สุดสายตาแห่งนี้อย่างนั้นหรือ?’
ขณะที่เฉินซีเพ่งมองไปยังดวงดาวมากมายและทางช้างเผือก เฉินซีรู้สึกว่าไม่อาจประมวลภาพไว้ในใจของตัวเองได้ทั้งหมด เคราะห์ดีที่จี้อวี๋พูดขึ้นมาทำให้เขาผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก ตราบใดที่มีจี้อวี๋คอยให้คำชี้แนะด้วยความเต็มใจ เขาจะได้รับการไขข้อข้องใจทั้งหมดออกไปอย่างง่ายดาย
“โลกแห่งดาราที่นายท่านของข้าทิ้งเอาไว้นั้นเป็นโลกแห่งยันต์ ประกอบด้วยยันต์เทวะที่น่าเหลือเชื่ออยู่มากมาย โดยทั่วไปมียันต์เทวะอยู่ห้าประเภท ก็คือยันต์เทวะพฤกษาคราม ยันต์เทวะผสานธาตุ ยันต์เทวะไฟโลกันต์ ยันต์เทวะคงคาทมิฬ และยันต์เทวะสยบปฐพี”
เวลานั้นดูเหมือนจี้อวี๋จะยอมรับแล้วว่าเฉินซีเป็นผู้สืบทอดของเจ้านายตน จากนั้นจึงหันมาถามเขาด้วยรอยยิ้ม “รู้หรือไม่ว่ายันต์เทวะคืออะไร”
เฉินซีมองอีกฝ่ายอย่างงงงันก่อนจะส่ายหน้าแทนคำตอบ
ความทรงจำของเขาบอกว่าเต๋าแห่งยันต์อักขระมีด้วยกันเก้าระดับ เมื่อใครก็ตามร่างเค้าโครงยันต์บนแผ่นกระดาษยันต์ขึ้นมาอย่างครบถ้วน จึงเรียกมันว่ายันต์ระดับหนึ่ง หากร่างเค้าโครงยันต์สองแบบได้อย่างครบถ้วนและประสานสอดคล้องกันเป็นอย่างดีเหมือนกับการหายใจเข้าออก จะเรียกว่ายันต์ระดับสอง จากนั้นจะดำเนินต่อไปเช่นนี้จนกระทั่งถึงยันต์ระดับเก้า
กล่าวง่าย ๆ ก็คือยันต์ระดับหนึ่งมีอักขระยันต์เพียงหนึ่งเดียว ระดับสองมีสองอักขระยันต์…และระดับเก้ามีทั้งหมดเก้าอักขระยันต์นั่นเอง
สิ้นสุดที่เลขเก้าซึ่งจะเกี่ยวข้องสอดคล้องกับสวรรค์ อะไรก็ตามที่เกิดผลจากการรวมกันของเลขเก้าจะช่วยเสริมส่งประสิทธิภาพให้พุ่งสูงขึ้นชนิดก้าวกระโดด ยันต์ระดับเก้า สองยันต์มาผสานรวมจะก่อร่างเป็นหนึ่งค่ายกลยันต์
กระดาษยันต์เพียงหนึ่งแผ่นบรรจุหนึ่งค่ายกลยันต์เมื่อนั้นจึงจะได้ชื่อว่ายันต์จิตวิญญาณ ยิ่งค่ายกลในยันต์จิตวิญญาณมากเท่าไร พลังของยันต์ก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น อีกทั้งยันต์จิตวิญญาณยังแบ่งออกเป็นขั้นสูง กลางและต่ำด้วย
ยันต์จิตวิญญาณขั้นต่ำประกอบด้วยค่ายกลไม่เกินสามค่ายกล
ยันต์จิตวิญญาณขั้นกลางมีค่ายกลไม่เกินหก
และยันต์จิตวิญญาณขั้นสูงมีไม่เกินเก้าค่ายกล
โดยทั่วไปยันต์จิตวิญญาณแบ่งเป็นสามขั้นต่างกันดังที่ได้บอกไปแล้ว พลังของยันต์ทั้งสามก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ยันต์ขั้นต่ำเปรียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลที่จู่โจมเต็มกำลัง
ยันต์จิตวิญญาณขั้นกลางเปรียบกับการจู่โจมของผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสมบูรณ์ ในขณะที่ยันต์จิตวิญญาณขั้นสูงสามารถทำอันตรายแก่ผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำได้อย่างหนักหน่วง
เหนือกว่ายันต์จิตวิญญาณคือยันต์เลิศล้ำ
ที่จริงยันต์เลิศล้ำก็คล้ายกับยันต์จิตวิญญาณ แต่เป็นการรวมเส้นลายของค่ายกลยันต์เก้าอย่างเข้ากับค่ายกลยันต์อีกเก้าอย่างเพื่อก่อร่างเป็นยันต์อีกหนึ่งยันต์
การแบ่งระดับขั้นก็เฉกเช่นเดียวกันคือมีขั้นต่ำ กลางและสูง ความรุนแรงนั้นเทียบได้กับการจู่โจมเต็มกำลังของผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นต้น ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นกลางและขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสูง
ส่วนลำดับสูงกว่ายันต์เลิศล้ำคือยันต์เร้นลับ แต่ด้วยอำนาจที่รุนแรงของยันต์ระดับนี้จึงไม่อาจใช้กระดาษยันต์ธรรมดาทั่วไปเขียนได้ ตามปกติยันต์เร้นลับจะถูกเขียนบนแผ่นหยกวิญญาณ ดังนั้นบางคนจึงเรียกยันต์เร้นลับว่ายันต์หยกเร้นลับ
ส่วนระดับของยันต์เร้นลับก็แบ่งเป็นขั้นต่ำ กลางและสูงเช่นกันตามลำดับ ความแข็งแกร่งของมันก็สอดคล้องกันคือมีอำนาจพลังเท่ากับการโจมตีเต็มกำลังของผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติขั้นต้น ขั้นกลางและขั้นสูง
ต่อจากยันต์เร้นลับคือยันต์สวรรค์ซึ่งมีอำนาจเทียบเท่ากับการโจมตีของผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาขั้นต้น ขั้นกลางและขั้นสูงตามลำดับ
พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือระดับของยันต์ทั้งหมดหากไม่รวมยันต์พื้นฐานที่แบ่งเป็นเก้าระดับแล้ว ถัดมาก็จะเป็นยันต์จิตวิญญาณ เลิศล้ำ เร้นลับและสวรรค์ และถูกแบ่งย่อยออกเป็นขั้นสูง กลางและต่ำ
ทักษะของการสร้าง พลัง รวมทั้งโครงสร้างอักขระยันต์ในยันต์ทั้งสี่ระดับนั้นมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ในการสร้างยันต์จิตวิญญาณมันเป็นเพียงการเสริมในส่วนของอักขระยันต์ลงไปซึ่งคนที่เป็นปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระทั่วไปก็สามารถทำได้
ยันต์เลิศล้ำจะมีพลังแห่งเต๋ารู้แจ้งอยู่ภายใน เช่นยันต์เลิศล้ำขั้นสูงจะมีพลังของเต๋ารู้แจ้งถึงเก้าประเภทสถิตอยู่
นอกจากการบรรจุพลังเต๋ารู้แจ้งลงในยันต์แล้ว การสร้างยันต์เร้นลับที่เป็นระดับถัดไปยังได้ดึงปราณแห่งฟ้าดินให้มาผสานลงในยันต์ คล้ายกับการที่ผู้บ่มเพาะสามารถควบคุมเขตแดนเต๋า ดังนั้นนอกจากเต๋ารู้แจ้งที่ต้องมีอย่างเพียงพอแล้ว ปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระนั้นจะต้องเข้าใจในเขตแดนเต๋าด้วยจึงจะสามารถขัดเกลายันต์เร้นลับได้
ในทางตรงข้ามการสร้างยันต์สวรรค์จะมีหลายสิ่งที่ต้องมุ่งเน้นมากกว่า นอกจากจะประกอบด้วยเต๋ารู้แจ้งและเขตแดนเต๋าแล้ว ยังได้รับพลังแห่งฟ้าดินและเมื่อใดที่พลังนี้ปรากฏขึ้น จะแปรเปลี่ยนเป็นพลังสายฟ้าทันที ยกตัวอย่างพลังที่อยู่ภายในยันต์สวรรค์พฤกษาครามที่สองอาจพัฒนาเป็นพลังสายฟ้าพฤกษาที่สองได้นั่นเอง
ด้วยเหตุนี้เองปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระที่สร้างยันต์สวรรค์ได้จึงถูกกล่าวขานว่าเป็นปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระ
สำหรับยันต์หยกเซียนปฐพีที่ในอดีตผู้ใช้คือชิงซิ่วอี้นั้นไม่ใช่ยันต์อักษระเสียทีเดียว มันเป็นสมบัติวิเศษชนิดที่ใช้ครั้งเดียวโดยที่ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีใช้แก่นโลหิตของตนเองในการสร้างมันขึ้นมา ซึ่งการสร้างแบบนี้จะส่งผลให้อายุขัยของคนผู้นั้นลดลงด้วย
ทั้งหมดที่กล่าวมาคือความเข้าใจในเต๋าแห่งยันต์อักขระของเฉินซี แต่ด้วยความสามารถและระดับการบ่มเพาะของเขาในตอนนี้ถ้าเขาคิดจะสร้างยันต์ขึ้นมา เขาคงยังไม่สามารถสร้างยันต์ระดับสูงได้
สำหรับยันต์เร้นลับและยันต์สวรรค์ หากมิได้มีความเข้าใจในเขตแดนเต๋า รวมทั้งพลังแห่งฟ้าดินอยู่แล้ว เขาก็คงสร้างไม่ได้
“ที่เรียกว่ายันต์เทวะเพราะเหนือกว่ายันต์สวรรค์ นอกจากเต๋ารู้แจ้ง เขตแดนเต๋าและพลังแห่งฟ้าดินแล้ว ยังต่อเนื่องไปถึงพลังเทพแห่งฟ้าดิน ด้วยเหตุที่มันมีต้นกำเนิดมาจากเทพนั่นเอง!” เมื่อผู้พูดเห็นว่าเฉินซีนิ่งเงียบไปซึ่งเป็นดังที่เขาคาดไว้แล้ว จี้อวี๋จึงตอบให้ด้วยตัวเอง “อย่างเช่นการสร้างยันต์เทวะพฤกษาคราม จะผนึกและก่อให้เกิดภาพลักษณ์แห่งเทพท้องฟ้าและเทพีพฤกษาในยุคแห่งทวยเทพ ในทำนองเดียวกับยันต์เทวะผสานธาตุ มันจะผนึกและก่อให้เกิดภาพลักษณ์แห่งองค์เทพบริสุทธิ์และเทพีธาตุ สมัยก่อน คำว่า ‘เทพ’ ที่ปรากฏในยันต์เทวะหมายถึงพลังของเหล่าทวยเทพและมีเพียงแต่พลังทวยเทพดังกล่าวเพิ่มเข้าไปเท่านั้น จึงได้ชื่อว่ายันต์เทวะแท้จริง”
เฉินซีตระหนักรู้ในทันทีและรู้สึกจิตใจไหววูบในเวลาเดียวกัน การผนึกและก่อให้เกิดภาพลักษณ์องค์เทพภายในยันต์ การบ่มเพาะพลังเต๋าแห่งยันต์อักขระเพื่อให้สามารถสร้างยันต์ชนิดนี้ขึ้นมาได้จะน่ากลัวสักเพียงใด
“เต๋าแห่งยันต์อักขระมิใช่สิ้นสุดอยู่เพียงเท่านี้ทว่าเป็นแค่บทเริ่มต้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ต่อไปภายภาคหน้าเจ้าจะเข้าใจได้เอง เมื่อเจ้าได้เรียนรู้ยันต์เทวะทั้งห้าประเภทนี้จนชำนาญแล้ว” จี้อวี๋กล่าวพร้อมรอยยิ้ม
บทเริ่มต้นใหม่เท่านั้นสินะ
ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านิ่งอึ้งด้วยความพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ตอนนี้แม้แต่ยันต์เร้นลับหรือยันต์สวรรค์ก็ยังขัดเกลาไม่ได้ด้วยซ้ำอย่าว่าแต่ยันต์เทวะเลย เมื่อยิ่งมาได้ฟังจี้อวี๋พูดถึงยันต์เทวะว่าเป็นเพียงบทเริ่มต้นของเต๋าแห่งยันต์อักขระ จะไม่ให้เจ้าตัวถึงกับอึ้งอย่างไรได้
“ผู้อาวุโสจี้อวี๋ ถ้าเทียบพลังของยันต์เทวะจะเท่ากับการจู่โจมของผู้บ่มเพาะขั้นใดหรือขอรับ” จำเป็นอย่างยิ่งที่เฉินซีจะต้องค้นหาให้ได้ว่าพลังของยันต์เทวะมีมากน้อยเพียงใด
“ถ้าอยากจะทำให้เซียนปฐพีได้รับผลกระทบอย่างสาหัสนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แค่ใช้ยันต์เทวะเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เซียนสวรรค์อาจถึงตายได้ด้วยซ้ำ” จี้อวี๋ตอบกลับง่าย ๆ ราวกับเห็นเป็นเรื่องธรรมดา
หากเมื่อคำพูดนั้นดังเข้าหูของเฉินซีกลับไม่ต่างจากเสียงฟ้าคำราม จนผู้ฟังถึงกับงันงงไปชั่วขณะ ยันต์เทวะหนึ่งเดียวทำให้ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีถึงขั้นปางตาย ถ้าเช่นนั้นไม่ใช่ว่ามันเทียบเท่ากับยันต์หยกเซียนปฐพีงั้นหรือ
เขาเองพอจะสังเกตได้บ้างว่าการขัดเกลายันต์หยกเซียนปฐพีนั้นต้องอาศัยการผลาญแกนพลังของผู้บ่มเพาะเซียนปฐพี ขณะที่ยันต์เทวะนั้นต่างออกไป ด้วยทดสอบความสามารถในการสร้างของปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระเท่านั้น แต่มันจะไม่กลืนกินอายุขัยหรือผลาญแกนพลังของใครทั้งสิ้น
เขาพลันฉุกคิดถึงปัญหาขึ้นมาทันทีและเอ่ยถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ผู้อาวุโสจี้อวี๋ ไม่ใช่ว่าท่านจะให้ข้าทำความเข้าใจยันต์เทวะห้าชนิดตอนนี้ ใช่ไหมขอรับ”
เสียงจี้อวี๋ตอบมาว่า “ทำไมกัน? มันก็แค่ยันต์เทวะพื้นฐานห้าชนิดของโลกแห่งดาราเท่านั้น ถ้าเจ้าควบคุมมันไม่ได้ แล้วอย่างนี้จะสืบทอดยันต์เทวะอื่นได้อย่างไร”
เฉินซีถามต่อด้วยสีหน้าข้องใจ “ท่านคงไม่ได้จะให้ข้าเป็นผู้สืบทอดยันต์เทวะแท้จริงทั้งหมดของผู้อาวุโสฝูซีใช่ไหมขอรับ?”
“ใช่” คนถูกถามพยักหน้าหงึกหงัก
ชายหนุ่มฟังแล้วได้แต่อึ้งทันที ‘มันจะไม่เกินความสามารถของข้าเกินไปสักหน่อยหรือ?’
จี้อวี๋ดูเหมือนจะเข้าใจความคิดของเฉินซีในตอนนั้น เขาจึงส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ “ข้าไม่ได้บอกว่าจะให้เจ้าควบคุมยันต์เทวะพื้นฐานทั้งห้าประเภทให้ได้ภายในชั่วประเดี๋ยวเดียวนี่นา อีกอย่างเจ้ายังเข้าไม่ถึงเขตแดนเต๋ากับพลังฟ้าดินเลย เพราะฉะนั้นเจ้าจะหยั่งรู้ยันต์เทวะอย่างลึกซึ้งได้อย่างไร”
ชายหนุ่มเกาหัวแกรก ๆ “แล้วจะให้ข้าทำอย่างไรเล่า”
เขาออกจะฉงนงงงันนัก จู่ ๆ ตนเองได้รับและกระตุ้นใช้งานสมบัติสืบทอดที่แท้จริงของปรมาจารย์แห่งเคหาบ่มเพาะ จนมาถึงยังโลกแห่งดารา ก่อนจะได้มารู้และเข้าใจยันต์เทวะ เดิมทีเขาคิดว่าตนเองจะได้รับสิ่งที่อาจยังเป็นประโยชน์ชนิดเหนือความคาดหมายหรืออย่างน้อยก็เป็นพวกตำรับตำราและทักษะยันต์เทวะที่ส่งต่อมา แต่จากคำบอกของจี้อวี๋ได้ทำให้เขานิ่งงันไม่รู้จะว่าอย่างไร
“เจ้าจำคำตอบที่เคยบอกกับข้าได้หรือไม่ ตอนที่ถามว่าเจ้าต้องการฝึกบ่มเพาะพลังอะไร” จี้อวี๋ไม่ได้ตอบคำถามของเขาตรง ๆ ทว่ากลับย้อนถามคนตรงหน้าแทน
เฉินซีชะงักกึกพลันหวนนึกย้อนไปเป็นนานก่อนเอ่ยตอบขณะหัวคิ้วขมวดมุ่น “ข้าบอกว่า…ข้าอยากฝึกเรียนรู้ทักษะด้านจู่โจมที่รุนแรงที่สุดและหลบหลีกได้อย่างว่องไว”
จี้อวี๋พยักหน้าและถามว่า “ข้าตอบว่าอะไร”
“ทักษะกระบี่ พลังอิทธิฤทธิ์ ทักษะเคลื่อนไหว!” คนถูกถามตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาจะลืมไปได้อย่างไร เป็นเพราะคำพูดของจี้อวี๋ที่ทำให้เขายืนหยัดอยู่บนเส้นทางเต๋าแห่งการต่อสู้เช่นนี้
ผู้ขัดเกลาปราณภายในจะมีฝีมือในเชิงทักษะกระบี่ด้วยการจู่โจมรุนแรงที่สุด ผู้ขัดเกลากายาจะมีฝีมือในพลังอิทธิฤทธิ์ที่จู่โจมแข็งแกร่งที่สุด ตรงกันข้ามกับทักษะเคลื่อนไหวที่โดยทั่วไปจะใช้ในการต่อสู้และหลบหนี
แต่การบ่มเพาะพลังช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขามักจะใช้คัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบกับเคล็ดวาตะเหินทะยานส่วนฝ่ามือมหาดาราซึ่งเป็นพลังอิทธิฤทธิ์เขากลับไม่ค่อยได้ใช้
“ในการฝึกทักษะกระบี่เจ้าต้องครอบครองกระบี่ที่ดี กระบี่ที่เจ้าจะใช้ได้อย่างอิสระราวกับควบคุมแขนของตัวเอง เห็นด้วยกับข้าไหม” จี้อวี๋ย้อนถามหน้าเฉย
“เข้าใจแล้ว” คนตอบกล่าวเสียงเบาพร้อมถอนหายใจเล็กน้อย แม้ว่าตอนที่อยู่ในเมืองห้วงทะเลทรายมรณะ ท่านหญิงสุ่ยฮวาจะมอบกระบี่ระดับล้ำลึกขั้นสุดยอดให้เขาถึงสิบเล่ม ไหนจะสิ่งที่ยิ่งใหญ่และมีความหลากหลายอย่างเต๋ารู้แจ้งแห่งธาตุทั้งห้า หยิน หยาง ลม สายฟ้าและดวงดาวอีกเล่า
ส่วนใหญ่เขาจะใช้เพียงทักษะกระบี่อัสนีนภา โดยแทบไม่ได้แตะกระบี่ที่เหลืออีกเก้าเล่มเลย ถึงอย่างไรในการต่อสู้แต่ละครั้งทุกวินาทีหมายถึงความเป็นตายใครจะมีเวลาเปลี่ยนกระบี่บ่อย ๆ กันเล่า
“ช่างเถอะ เอาไว้ข้าจะสอนการขัดเกลากระบี่ เจ้าจะได้สร้างกระบี่ที่สามารถควบคุมได้เสมือนแขนของตัวเองเชียวล่ะ มิหนำซ้ำยังมีพลังเหนือกว่าสมบัติล้ำค่าที่เกิดขึ้นเองเสียอีก” จี้อวี๋พูดหน้านิ่ง
เฉินซีรู้สึกใจหล่นวูบจึงโพล่งถามออกไป “ผู้อาวุโสจี้อวี๋ แล้วจะเกี่ยวกับยันต์เทวะทั้งห้านี้หรือไม่”
“แน่ล่ะ” คนถูกถามยิ้ม ๆ “พื้นฐานของการขัดเกลากระบี่ที่ข้าจะสอนให้นี้ต้องใช้ยันต์เทวะทั้งห้า ไม่ได้มีข้อกำหนดในการขัดเกลาศัสตรามากนักตราบใดที่ไม่ใช่วัตถุเทวะ ซึ่งไม่ได้ประกอบด้วยธาตุทั้งห้าอย่างธุลีโกลาหล เจ้าจะต้องสลักยันต์เทวะทั้งห้านั้นลงไปบนกระบี่”
หลังจากได้ยินดังนั้น ทำให้เฉินซีถอนหายใจอย่างโล่งอก การจารึกอักขระยันต์สามารถทำให้ประสบผลสัมฤทธิ์โดยง่ายโดยไม่เกี่ยวข้องกับเต๋ารู้แจ้ง เขตแดนเต๋า พลังฟ้าดินและไม่ได้ต่อเนื่องไปยังเทพแห่งฟ้าดินเพื่อก่อให้เกิดภาพแห่งองค์เทพ ปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระจึงสามารถทำให้ประสบผลสำเร็จ
“ในการนี้จะช่วยให้เจ้าเป็นปรมาจารย์ยันต์เทวะพื้นฐานทั้งห้าประเภทได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เมื่อใดที่บรรลุทักษะกระบี่แล้ว จะส่งผลเชื่อมโยงทั้งการรู้ซึ้งและประสิทธิภาพของเต๋าแห่งยันต์อักขระของเจ้าก็จะเพิ่มขึ้นด้วย”
แสดงว่าจี้อวี๋มีการคิดและตัดสินใจมาแล้วเป็นอย่างดี โดยสังเกตได้จากคำพูดคำจาที่รวดเร็วและไม่รีรอเลยสักนิด “อีกอย่างเจ้าก็น่าจะเห็นแล้วว่ากระบี่นี้แข็งแกร่งกว่ากระบี่ในระดับเดียวกันทั้งหลาย กระบี่มีการพัฒนาอย่างไร้ขีดจำกัด การที่จะขึ้นไปเป็นศัสตราอมตะหรือแม้กระทั่งเหนือศัสตราอมตะจึงใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
กระบี่มีการพัฒนาอย่างไร้ขีดจำกัดอย่างนั้นหรือ
ชายหนุ่มเงียบงันด้วยความตกตะลึง โลกของผู้บ่มเพาะภายหลังจากฝึกฝนจนพลังทะยานสูงขึ้นแล้ว ศัสตราวิเศษที่เคยใช้ก่อนหน้านี้มิได้เป็นตัวแทนของความแกร่งกล้าของเขาผู้นั้นอีกต่อไป ผู้บ่มเพาะจำต้องดิ้นรนขวนขวายเพื่อให้ได้มาซึ่งศัสตราวิเศษชิ้นใหม่ ด้วยความยากลำบาก ซึ่งอาจทั้งสิ้นเปลืองและต้องใช้ความพยายามอย่างมาก
ในบางครั้งเพื่อครอบครองศัสตราวิเศษที่ตนคิดว่ามีความเหมาะสม อาจก่อให้เกิดความขุ่นเคืองและไม่พอใจกับคนอีกหลายคน ยิ่งกว่านั้นบางคนยังครอบครองสมบัติล้ำค่ามากมายแล้วใช่ว่าทุกคนจะพอใจ โดยเฉพาะผู้บ่มเพาะขอบแขตแกนทองคำหยินหยาง เพราะผู้บ่มเพาะแต่ละคนหยั่งรู้ในเต๋ารู้แจ้งแตกต่างกัน ความต้องการศัสตราวิเศษของคนเหล่านี้จึงยิ่งจำเพาะเจาะจงทั้งในด้านคุณลักษณะและประสิทธิภาพเข้าไปใหญ่ ดังนั้นเพื่อตอบสนองความพึงพอใจของตนเอง พวกเขาจึงต้องเผชิญกับชะตากรรมที่ยุ่งยากด้วยประการทั้งปวง
แน่ละ ที่พูดถึงนี้คือผู้บ่มเพาะทั่วไป สำหรับนิกายโบราณและยิ่งใหญ่ ต่างก็มีสมบัติล้ำค่าที่สืบทอดกันมาจะเป็นสมบัติที่มีการพัฒนาอย่างกว้างไกล ผู้บ่มเพาะเหล่านั้นเพียงค้นหาวัตถุบางอย่างสำหรับใช้ขัดเกลาอาวุธอีกครั้งภายหลังจากที่พลังของเขาพุ่งทะยานแล้ว ซึ่งจะส่งผลต่อประสิทธิภาพของอาวุธด้วย เหตุนี้ ศิษย์ของนิกายที่ปราศจากอาวุธที่คู่ควรจึงตกอยู่ในสถานการณ์น่าละอายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
แต่ที่จี้อวี๋กล่าวมานั้นมิใช่หมายถึงสมบัติล้ำค่าเหล่านี้ ความต้องการของเขาคืออยากให้เฉินซีขัดเกลากระบี่ขึ้นมา เป็นกระบี่ที่พัฒนาไร้ขีดจำกัด!
การพัฒนาอย่างไร้ขีดจำกัดคืออะไรกันแน่
สิ่งที่กล่าวถึงมีโอกาสที่จะแปรเปลี่ยนเป็นศัสตราอมตะหรือเหนือกว่าศัสตราอมตะ!
นอกจากนั้น อย่างที่จี้อวี๋บอกไปแล้วว่าเมื่อขัดเกลากระบี่สำเร็จ พลังของกระบี่จะเหนือกว่าศัสตราวิเศษระดับเดียวกันทั้งสิ้น!
ใครเล่าจะไม่สะดุ้งสะเทือนเมื่อเผชิญกับสมบัติล้ำค่าน่าอัศจรรย์เช่นนี้