บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 262 กระแสสัตว์อสูรที่กำลังจะมาถึง
บทที่ 262 กระแสสัตว์อสูรที่กำลังจะมาถึง
บทที่ 262 กระแสสัตว์อสูรที่กำลังจะมาถึง
เมื่อเฉินซีพบว่า ไม้ศักดิ์สิทธิ์สีคราม เหล็กพลังสุริยัน ผลึกเพลิงเทวะ และวารีทมิฬเอกะล้วนถือกำเนิดจากแก่นแท้สสารของธาตุทั้งห้า เฉินซีก็แอบรู้สึกตกตะลึงอยู่เช่นกัน อย่างไรก็ตาม คำแนะนำของจี้อวี้ก็ยังทำให้เขาต้องรู้สึกลังเล
สมบัติทั้งสี่ชิ้นที่อยู่บนแผ่นหลังของเขานั้น มีคุณสมบัติที่ลึกล้ำและไม่ธรรมดา มันสามารถสะสมแก่นแท้ของธาตุทั้งห้าได้อย่างต่อเนื่อง ก่อนที่มันจะเปลี่ยนแก่นแท้เหล่านั้นให้กลายเป็นปราณจ้าววิญญาณของเขาเอง มันมีประโยชน์ต่อการบ่มเพาะการแปรสภาพร่างกายของเขาอย่างมากมาย และการที่จะต้องใช้มันเพื่อขัดเกลาในยันต์ศัสตรานั้น ทำให้เฉินซีรู้สึกไม่เต็มใจอยู่บ้าง
“เมื่อทักษะแปรสภาพร่างกายของเจ้าบรรลุถึงขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง และอักขระจ้าววิญญาณทั้งเก้าสามารถหลอมรวมเข้าด้วยกันจนกลายเป็นหมอกเพลิง พลังชีวิตและโลหิตในร่างกายของเจ้าจะมีอำนาจมากมายมหาศาล อีกทั้งยังสามารถเชื่อมโยงกับพลังของสวรรค์และโลกให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเจ้าได้ การมีอยู่ของสิ่งเหล่านี้มีประโยชน์เพียงแค่เติมเต็มแก่นแท้ของธาตุทั้งห้าได้เท่านั้น และยังไม่ได้ส่งผลต่อการบ่มเพาะของเจ้าสักเท่าใดเลย”
จี้อวี๋ดูเหมือนจะอ่านความคิดของเฉินซีออก เขาจึงกล่าวว่า “ดังนั้นแล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่ใช้มันเพื่อขัดเกลายันต์ศัสตราเสียเลยล่ะ? เพราะด้วยวิธีนี้ จะยิ่งส่งเสริมพลังที่แท้จริงที่ถูกซุกซ่อนอยู่ของมันและหลีกเลี่ยงการใช้มันอย่างผิดวิธีจนสูญเสียคุณค่าอันน่าอัศจรรย์ที่ราวกับสวรรค์ประทานมาให้แก่เจ้า”
เป็นอย่างที่จี้อวี๋กล่าวจริง ๆ หลังจากที่ร่างกายบรรลุไปสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแล้ว พลังชีวิตและโลหิตจะเพิ่มพูนอำนาจอย่างมากมายมหาศาลราวกับแม่น้ำสายใหญ่ นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมโยงเข้ากับพลังงานของสวรรค์และโลก เพื่อที่จะใช้มันในการขัดเกลาร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าจะเป็นคุณภาพของปราณจ้าววิญญาณหรือความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขาก็จะพัฒนาในเชิงคุณภาพอย่างก้าวกระโดด ดังนั้นแล้วสิ่งเหล่านี้แม้จะสามารถแปลงแก่นแท้ของธาตุทั้งห้าให้เป็นปราณจ้าววิญญาณได้ แต่มันก็ไม่เหมาะสมกับการบ่มเพาะของเฉินซีในตอนนี้
เช่นเดียวกับตอนที่เฉินซีได้รับโอสถทิพย์กำเนิดเต๋าที่มีมหาเต๋าแห่งปฐพีกักเก็บไว้ภายใน เนื่องจากเขาได้หยั่งรู้ถึงมหาเต๋าแห่งปฐพีแล้ว จึงทำให้มันไม่มีประโยชน์ใด ๆ หากจะกลืนมันเข้าไปอีก แก่นแท้ของธาตุทั้งห้าเองก็น่าจะเป็นหลักการที่ใกล้เคียงกัน
ในที่สุดเฉินซีก็ตกลงกับคำแนะนำของจี้อวี๋
หลังจากจี้อวี๋ได้จากไป เฉินซีก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะจารึกยันต์เทวะทั้งห้าชนิดลงบนแก่นศัสตรา แต่เขาได้ออกจากโลกแห่งดาราเพื่อกลับไปที่ห้องของเขาแทน
เมื่อเขาเริ่มขัดเกลายันต์ศัสตราในโลกแห่งดารา อย่างน้อยมันก็ต้องใช้เวลาถึงยี่สิบห้าปีซึ่งเทียบเท่ากับสองปีครึ่งของโลกภายนอก ดังนั้นเขาจึงต้องอธิบายบางสิ่งกับเฉินฮ่าวให้ชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้น้องชายต้องเป็นกังวล
…
ณ ปัจจุบัน หลังจากที่ตระกูลเฉินได้ผ่านหายนะไปแล้ว ก็ดูเหมือนกับเป็นวิหคเพลิงที่เกิดใหม่จากเถ้าถ่าน ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ที่ได้รับคัดเลือกจากภายนอกและไม่ได้ใช้นามสกุลเฉิน หรือข้ารับใช้และบริวาร ทัศนคติของพวกเขาล้วนเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด และรู้สึกได้ถึงหน้าที่ของการเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเฉิน ดังนั้นเมื่อพวกเขาออกไปทำสิ่งต่าง ๆ ที่นอกตระกูล มันทำให้พวกเขารู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นศิษย์ของตระกูลเฉิน
นอกจากนี้ ไม่มีกองกำลังใด ๆ ในเมืองหมอกสนที่กล้าเป็นศัตรูกับเฉินซี และดูเหมือนตระกูลเฉินได้ปกครองเมืองหมอกสนกลาย ๆ โดยไม่มีใครกล้าตั้งคำถาม
เนื่องจากผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ของเมืองหมอกสนได้เห็นการต่อสู้ในวันนั้น จึงทำให้พวกเขาต่างก็ตระหนักได้เป็นอย่างดี หากเป็นกองกำลังของพวกเขาคงจะถูกหวงฝู่ฉงหมิงกับผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ทำลายจนพินาศไปนานแล้ว แต่ตระกูลเฉินกลับสามารถต้านทานศัตรูและยืนหยัดได้อย่างมั่นคง ความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ จึงได้รับความเคารพจากกองกำลังทั้งหมดในเมืองหมอกสนไปโดยปริยาย
และเมื่อรวมกับการที่เฉินซีและเฉินฮ่าวต่างก็มีความสัมพันธ์อันดีกับนิกายกระบี่เมฆาพเนจรที่เป็นนิกายอันดับหนึ่งในดินแดนทางใต้ อาจถือได้ว่าตระกูลเฉินมียอดฝีมือทั้งภายในและการสนับสนุนจากภายนอก แม้แต่คนที่โง่เขลาที่สุดก็รู้ว่า การผงาดของตระกูลเฉินนั้นไม่อาจหยุดยั้งได้แล้ว ดังนั้นจะมีคนโง่เขลาคนใดที่กล้ากระตุกหนวดเสือกัน?
ไม่เพียงเท่านั้น ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา จวนตระกูลเฉินอาจถือได้ว่าเต็มไปด้วยแขกผู้มีเกียรติ เหล่าผู้มีอำนาจน้อยใหญ่ในเมืองหมอกสน ต่างก็ละทิ้งความเย่อหยิ่งของพวกเขาและเดินทางมาที่จวนเพื่อมอบของขวัญอันล้ำค่า เนื่องจากพวกเขาต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อผูกสัมพันธ์กับตระกูลเฉิน
ดังนั้น เมื่อเฉินซีเดินออกจากลานบ้านของเขา เขาก็พบว่า จวนตระกูลเฉินทั้งภายในและภายนอกล้วนเต็มไปด้วยแขกเหรื่อมากมาย นอกจากนี้ พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงของเมืองหมอกสนอีกด้วย
ทางด้านของเฉินฮ่าวก็กำลังกล่าวทักทายแขกเหรื่อทั้งหลายในขณะที่ถือจอกสุรา การประพฤติตัวของเขานั้นเหมาะสม ปราศจากความหยิ่งยโส มีเพียงกิริยาท่าทางและทักษะทางการเจรจาที่สง่าผ่าเผยของผู้นำตระกูล
เฉินซีพยักหน้า การก่อตั้งตระกูลนั้นไม่อาจพึ่งตนเองได้เพียงลำพัง ไม่ว่าตระกูลนั้นจะยิ่งใหญ่สักเพียงใด ก็ยังต้องมีการติดต่อกับตระกูลอื่นอยู่เช่นกัน และความสามารถในการจัดการกับความสัมพันธ์เหล่านี้อย่างช่ำชองนั้น แสดงให้เห็นถึงความสามารถและทรัพยากรของตระกูลโดยทางอ้อม
“ท่านพี่ เหตุใดท่านถึงอยู่ที่นี่? อาการบาดเจ็บของท่านหายดีแล้วหรือ” เฉินฮ่าวหันกลับมาโดยไม่ได้ตั้งใจและเห็นเฉินซียืนอยู่ห่างออกไป เขาจึงละทิ้งแขกที่อยู่รอบข้าง พร้อมกับเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
อันที่จริง เหล่าแขกที่ถูกทอดทิ้งรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่เมื่อเขาเห็นเฉินซีที่ยืนอยู่ห่างออกไป ความไม่พอใจในใจของพวกเขาจึงได้หายไปทันทีอย่างไร้ร่องรอย พร้อมกับเค้นรอยยิ้มที่สดใสซึ่งเผยให้เห็นถึงการเยินยอออกมา
ในขณะเดียวกัน คนส่วนใหญ่ล้วนสังเกตเห็นเฉินซีแล้ว และบรรยากาศที่จอแจแต่เดิมก็เงียบสนิทในทันที
ในความคิดของทุกคน เมื่อเทียบกับเฉินฮ่าวแล้ว เฉินซีผู้เป็นพี่มีอำนาจอิทธิพลมากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าเฉินซีเติบโตขึ้นในเมืองหมอกสน ตั้งแต่ยังเด็ก ครอบครัวของเขายากจน การบ่มเพาะของเขาก็ตื้นเขิน และเขาก็ถูกเหยียดหยามว่าเป็นตัวซวย ทำให้เขาเป็นที่น่าขบขัน นอกจากนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ก็คงไม่มีผู้ใดอยากคบหาและไม่ชายตามองเสียด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไป
ตัวซวยที่ไม่มีใครเหลียวแลกลับสามารถทำลายล้างตระกูลหลี่ทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว อีกทั้งแม้จะถูกไล่ล่าสังหารโดยผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำของตระกูลซู ไม่เพียงแต่เขาจะไม่ตายเท่านั้น การบ่มเพาะของเขายังพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้เขาสามารถคว้าอันดับที่หนึ่งในการจัดอันดับมังกรซ่อน และกลายเป็นดาวเด่นอันเจิดจรัส ซึ่งเป็นบุคคลแรกในประวัติศาสตร์ของเมืองหมอกสน ที่สามารถคว้าอันดับหนึ่งในการจัดอันดับมังกรซ่อน
ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลซูที่ทำให้เขาขุ่นเคืองก็ถูกถอนรากถอนโคนไปในชั่วข้ามคืน แม้ว่าคนที่ลงมือจะไม่ใช่เฉินซี แต่คนผู้นั้นจะต้องมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับเฉินซีเป็นอย่างมาก ซึ่งคนผู้นั้นคือพี่น้องร่วมสาบานของเฉินซีที่มีนามว่าเป่ยเหิง ผู้เป็นผู้อาวุโสระดับสูงแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจร และยังเป็นหนึ่งในผู้บ่มเพาะระดับขอบเขตเซียนปฐพีที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนในดินแดนทางใต้!
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงข่าวลือ แม้ว่ามันจะทำให้ผู้บ่มเพาะในเมืองหมอกสนต้องตกตะลึงอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ไม่เห็นด้วยสองตาของตนเอง เนื่องจากมันเกิดขึ้นที่นอกเมืองหมอสน ดังนั้นพวกเขาจึงมีข้อสงสัยเล็กน้อยในใจ
แต่เมื่อพวกเขาได้เห็นเฉินซีก่อค่ายกลที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งดึงปรากฏการณ์ที่เหนือธรรมชาติในสวรรค์และโลก เพื่อผลักดันให้ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางนับสิบกว่าคนต้องจากไป โลกแห่งการบ่มเพาะของเมืองหมอกสนก็ตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย และในที่สุดพวกเขาก็เชื่อว่าข่าวลือนั้นเป็นจริง!
ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นเฉินซีในขณะนี้ ดวงตาของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็เผยให้เห็นร่องรอยของความเคารพมากมายโดยไม่รู้ตัว และมันก็เป็นการเคารพต่อความแข็งแกร่งของเฉินซี
เนื่องจากพวกเขาทุกคนตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า ตราบเท่าที่เฉินซียังคงอยู่ ตระกูลเฉินจะไม่มีวันล่มสลายอย่างแน่นอน
“เราไปหาที่เงียบ ๆ คุยกันสักพักดีกว่า” เฉินซีกล่าวแนะนำ เขารู้สึกอึดอัดโดยธรรมชาติเมื่อถูกคนจำนวนมากจ้องมอง แต่ถ้าเขาอยู่นานเกินไป มันอาจจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศโดยรอบ และนั่นก็ไม่เป็นการดี
เฉินฮ่าวตกลงด้วยความยินดี เนื่องจากหลายวันมานี้ เขาได้พบปะสนทนากับแขกเหรื่อมากมาย แม้ว่าเขาจะเผยสีหน้าที่ยิ้มแย้มและผ่อนคลายออกไป แต่ในใจเขากลับรู้สึกเบื่อหน่ายและปรารถนาจะหาช่วงเวลาเพื่อพูดคุยกับพี่ชายของเขา
สองพี่น้องมาถึงริมทะเลสาบที่อยู่ในจวน พวกเขานั่งลงบนพื้นอย่างสบาย ๆ และกล่าวคุยกันอย่างอิสระ แต่เป็นเฉินฮ่าวเสมอที่กล่าวออกมาและเฉินซีก็รับฟังอยู่เสมอ
“ข้าจะเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะสักสองสามปี ดังนั้นข้าเกรงว่าเจ้าต้องรับมือกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้” หลังจากนั้นไม่นาน เฉินซีก็ชี้แจงเหตุผลที่เขามาหาเฉินฮ่าวอย่างชัดเจน
“มันไม่ใช่ปัญหาเลยขอรับ ข้ารู้ว่าท่านกำลังเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่ง และการบ่มเพาะคือสิ่งที่ท่านต้องการมากที่สุด ส่วนเรื่องเล็กน้อยในตระกูล ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ” เฉินฮ่าวยิ้ม
เฉินซีพยักหน้าและสนทนาอีกครู่หนึ่งก่อนจะจากไป แต่เขากลับคิดอะไรบางอย่างในใจตลอดทาง
การคุยกับเฉินฮ่าวก่อนหน้านี้ ทำให้เขารับรู้ถึงบางสิ่งที่น่าสนใจ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ สัตว์อสูรบางส่วนมักหนีออกมาจากส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้เป็นครั้งคราว และเนื่องจากพวกมันมีจำนวนไม่มากนัก ดังนั้นผู้บ่มเพาะในเมืองหมอกสนจึงออกล่าสัตว์อสูรเหล่านี้เพื่อสร้างรายได้เล็กน้อย แต่ก็มีผู้บ่มเพาะบางคนถึงกับสร้างกลุ่มเพื่อมุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้เพื่อล่าสัตว์อสูร ทำให้พวกเขาได้รับวัตถุดิบและสมุนไพรหายากมากมาย
สิ่งนี้ทำให้กองกำลังอื่น ๆ ในเมืองหมอกสนไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป พวกเขาต่างก็ส่งศิษย์ชั้นยอดเพื่อเข้าสู่ส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้เพื่อสำรวจและค้นหาสมบัติ ยิ่งไปกว่านั้น ยังดึงดูดผู้บ่มเพาะมากมายจากนอกเมืองหมอกสนให้เข้าร่วมด้วย ทำให้เมืองหมอกสนอันห่างไกลกลายเป็นที่คึกคักในทันที
แต่สถานการณ์กลับเปลี่ยนไปเมื่อเร็ว ๆ นี้
ผู้บ่มเพาะที่เข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้เหล่านั้นไม่ได้กลับออกมาอีกเลย ทุกกลุ่มที่เข้าไปจะหายไปอย่างลึกลับและไม่มีใครทราบถึงชะตากรรมของพวกเขา สถานการณ์เช่นนี้ได้ดึงความสนใจของกองกำลังต่าง ๆ ของเมืองหมอกสนในทันที และพวกเขาได้ออกคำสั่งอย่างเป็นทางการว่าห้ามทุกคนก้าวเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้เป็นอันขาด
ทว่านี่ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของมัน เมื่อสองเดือนก่อน สัตว์อสูรขนาดใหญ่หลายสิบตัวที่มีรากฐานการบ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิล ได้เข้าโจมตีเมืองหมอกสนอย่างกะทันหันและคร่าชีวิตผู้คนไปเกือบสองพันคน ก่อนที่กองกำลังต่างๆ จะส่งผู้บ่มเพาะมารวมตัวกันเพื่อทำลายสัตว์อสูรเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่นั้นมา ทุก ๆ สองสามวัน สัตว์ประหลาดขนาดใหญ่หลายสิบตัวจะพุ่งออกมาจากส่วนลึกของเทือกเขา และพวกมันจะบินมาที่เมืองหมอกสนเพื่อนำหายนะมาสู่เมือง ทำให้กองกำลังต่าง ๆ ของเมืองหมอกสนต้องส่งกองกำลังออกไปต่อสู้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าพวกเขาจะสูญเสียผู้บ่มเพาะไปหลายคนก็ตาม แต่สิ่งที่ร้ายแรงที่สุดก็คือ การปรากฏตัวครั้งแล้วครั้งเล่าของฝูงสัตว์ร้าย มันทำให้ทั้งเมืองอยู่ในความตื่นตระหนก จนถึงขั้นที่หลายคนไม่กล้าที่จะรั้งอยู่ในเมืองอีกต่อไปและได้หลบหนีไปยังเมืองอื่น
ข้อเท็จจริงเป็นเช่นนี้จริง ๆ ความถี่ของการปรากฏตัวของฝูงสัตว์ร้ายเริ่มถี่ขึ้นเรื่อย ๆ และจำนวนของพวกมันก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อวานซืน สัตว์อสูรนานาชนิดจำนวนมากกว่าหนึ่งร้อยตัว ที่มีพลังขอบเขตตำหนักอินทนิลได้พุ่งเข้าหาเมืองหมอกสน พวกมันทำลาย เข่นฆ่าและปล้นสะดมอย่างไร้เหตุผล ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานแก่ผู้คนในเมืองหมอกสน แต่เพราะเฉินฮ่าวและเฟยเหลิ่งชุ่ยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน ทำให้สัตว์อสูรเหล่านี้จึงถูกกำจัดไปจนหมด
จากการคาดการณ์ของเฉินฮ่าว สัตว์อสูรที่พุ่งออกมาจากส่วนลึกของเทือกเขาครั้งถัดไปจะทวีจำนวนมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น อาจมีโอกาสที่สัตว์อสูรที่มีพลังขอบเขตเคหาทองคำหรือขอบเขตแกนทองคำหยินหยางจะปรากฏตัวขึ้น และมันจะก่อตัวเป็นกระแสสัตว์อสูรอันน่าสะพรึงกลัว!
หากกระแสสัตว์อสูรปรากฏขึ้น มันก็จะปกคลุมท้องฟ้าและโลกอย่างแน่นอน และสัตว์อสูรนับไม่ถ้วนเหล่านั้นก็จะสามารถทำลายเมืองหมอกสนได้อย่างง่ายดาย แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น และสิ่งที่จะเกิดขึ้นในความเป็นจริงนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครล่วงรู้
แต่เฉินซีกลับไม่กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เนื่องจากบริเวณโดยรอบของตระกูลเฉินได้รับการปกป้องจากค่ายกลกระบี่มหาปราณ เว้นแต่สัตว์อสูรขอบเขตเซียนปฐพีจะปรากฏตัว มิฉะนั้น ไม่ว่าสัตว์อสูรจะปรากฏตัวมากสักเพียงใด พวกมันก็ไม่สามารถสั่นคลอนการป้องกันของมหาค่ายกลนี้ได้
นอกจากนี้ ตามการคาดการณ์ของเฉินซี เป็นไปไม่ได้เลยที่สัตว์อสูรที่มีพลังขอบเขตเซียนปฐพีจะมีอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขา เนื่องจากครั้งหนึ่งเขาเคยเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขาและในบรรดาราชาอสูรผู้ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดที่เขาพบ พวกมันล้วนมีอยู่ในขอบเขตตำหนักอินทนิลเท่านั้น
ซึ่งอันที่จริง เขาก็ตระหนักได้เป็นอย่างดี การที่เขานำชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากที่ยับยั้งส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ออกไป ทำให้สัตว์อสูรทั้งหมดที่อยู่ในส่วนลึกของเทือกเขา ไม่ได้รับผลกระทบจากข้อจำกัดที่ทำให้พวกมันไม่สามารถทะลวงได้อีกต่อไป ดังนั้นความแข็งแกร่งของพวกมันจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ตัวอย่างเช่น ราชาจิ้งจอกเก้าหางกับราชาเต่าเฒ่าที่ครอบครองสายโลหิตของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์โบราณก็ไม่ได้รับผลกระทบจากข้อจำกัดอีกต่อไป ทำให้พวกเขาสามารถบรรลุสู่ขอบเขตจุติได้ในเวลาไม่กี่ปี ซึ่งความเร็วในการก้าวหน้าเช่นนี้นั้นน่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก
“แล้วไปเถอะ มันไม่มีประโยชน์อันใดที่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไป ด้วยการป้องกันของค่ายกลกระบี่มหาปราณ ข้าจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของตระกูล แผนของข้าในตอนนี้ยังคงเป็นการขัดเกลายันต์ศัสตรา ก่อนที่จะพัฒนาความแข็งแกร่งของข้าไปสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง” เมื่อเขาเดินเข้าไปในห้องของเขา เฉินซีก็ละทิ้งความคิดฟุ้งซ่านในใจของเขา และเข้าไปในจวนอีกครั้ง