บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 266 เผชิญหน้า
บทที่ 266 เผชิญหน้า
บทที่ 266 เผชิญหน้า
ณ หอโถงใหญ่แห่งจวนตระกูลเฉิน บัดนี้ถ้อยคำของเมิ่งชื่อซิงสะท้อนก้องกังวานบ่งบอกถึงความเชื่อมั่นอย่างสูงของเจ้าตัว
ในสายตาของเขา คนที่อยู่ตรงหน้าหาประโยชน์อันใดมิได้ทั้งอ่อนด้อยยิ่งกว่าผู้ที่คอยติดสอยห้อยตามตนเสียอีก ถ้าหากคนเหล่านี้ยังอยากจะมีชีวิตรอดก็ต้องยอมทำตามเงื่อนไขอย่างแน่นอน
“สหายเต๋าแห่งนิกายกระบี่เบญจธาตุ นี่คือค่ายกลพื้นฐานแห่งจวนตระกูลเฉิน พวกเขาไม่อาจยกให้เจ้าอย่างแน่นอน เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ พวกเราทุกคนจะมอบสมบัติวิเศษเพื่อเป็นการตอบแทนได้ไหม” ผู้อาวุโสเยี่ยชิวแห่งสำนักพฤกษ์ชาดเอ่ยปาก
“หึ! ถ้าเจ้าอยากมีชีวิตอยู่ จงหุบปากให้สนิท ไม่ใช่เวลาที่จะเข้ามาสอด!” เมิ่งชื่อซิงคำรามกร้าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
ยามนี้สีหน้าของเยี่ยชิวเปลี่ยนวูบจากสดใสกลายเป็นเผือดซีด ในใจเต็มไปด้วยความอดสูที่พลุ่งพล่าน แต่หากล้าเอ่ยปากอีก
บรรดาผู้นำกองกำลังอื่นต่างให้ความสนใจกับภาพที่เห็น บางคนที่แต่เดิมอยากจะเอ่ยปากเพื่อโน้มน้าวต่างสลัดความคิดทิ้งทันทีและหุบปากเงียบ ได้แต่ครางในใจจะว่าปล่อยให้คนละโมบเข้ามาได้แท้ ๆ!
“จะมากไปแล้ว!” ทันใดนั้นผู้อาวุโสหนิงเต้าฟู่แห่งสำนักหมอกสนไม่อาจระงับความโกรธที่พุ่งขึ้นไว้ได้อีกแล้ว จึงเค้นเสียงพูด “ปรมาจารย์เสวียนเยี่ยน ที่พวกเจ้าขนกันมาทั้งหมดนี่เพื่อมาร้องขอสมบัติวิเศษของคนอื่นอย่างนั้นหรือ”
เมิ่งชื่อซิงเขม้นตามองผู้พูดอย่างตกตะลึง จากนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นถมึงทึงพลางกัดฟันกรอด “เจ้าถูกประมุขนิกายขับไล่ไสส่งอย่างกับหมูกับหมา เวลานี้อายุก็ไม่น้อย แต่ยังไม่บรรลุขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเลยด้วยซ้ำ ยังจะมีหน้ามาตั้งคำถามกับพวกข้าอย่างนั้นหรือ”
ถูกขับไล่ออกจากนิกาย?
ทุกคนหันมองกันไปมาด้วยความฉงนงงงัน จากนั้นสายตาที่จ้องมองหนิงเต้าฟู่กลับกลายเป็นพิศวงสงสัย
ใบหน้าของหนิงเต้าฟู่แดงก่ำเมื่อถูกคนอื่นสะกิดแผลเป็นที่ฝังลึก ลมหายใจหอบหนักขึ้น ส่งให้หน้าอกไหวกระเพื่อม แลดูราวกับอสูรร้ายที่ถูกจองจำในกรงขัง ทว่าในที่สุดก็ได้แต่ทรุดลงบนม้านั่งดั่งคนสิ้นไร้เรี่ยวแรงอย่างสลดหดหู่
จริงสิ… คนอย่างข้าจะมีหน้าอะไรไปตั้งคำถามกับพวกเขา
ยามนี้ระลอกคลื่นของความกำสรดแผ่ซ่านออกมาจากหัวใจของหนิงเต้าฟู่ รู้สึกเสียใจเหลือเกินที่ตนเผลออ้าปากขอความช่วยเหลือจากนิกายเดิม สุดท้ายกลับกลายเป็นการนำพาเจ้าศิษย์น้องผู้จองหองพองขนสามตัวเข้ามา…
“ผู้นำตระกูลเฉิน ไม่ใช่ความผิดของศิษย์พี่เมิ่ง หากพวกเราไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เห็นทีพวกเจ้าทุกคนคงไม่อาจต้านทานฝูงสัตว์อสูรที่มาจู่โจมได้แน่นอน และในที่สุดทุกคนจะต้องพินาศย่อยยับ พวกเจ้าจะมีแก่ใจทนเห็นสหายเต๋าเหล่านี้ต้องตกอยู่ในสภาพหมดหวังได้อย่างนั้นหรือ” เมื่อหลินชิวหลิงเห็นว่าไม่มีผู้ใดกล้าขัดแย้งต่อไป แววตาของนางก็สาดประกายแห่งความยินดีก่อนจะเอ่ยพูดเสียงเอื่อยไม่เร่งรีบ
“ต่อให้ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเจ้า ข้าก็ขอยืนยันว่าสหายเต๋าทุกคนจะอยู่รอดปลอดภัยภายในตระกูลเฉินของข้าอย่างแน่นอน เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว” เฉินฮ่าวโต้ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์
“แล้วถ้าพวกเราเข้าไปยึดมัน พวกเจ้าจะหยุดเราได้หรือ” เว่ยเยว่จื่อที่นับตั้งแต่เข้ามาได้แต่นิ่งเงียบเงยหน้าขึ้นและถามออกไปทันที น้ำเสียงที่เย็นเยียบแฝงการข่มขู่อย่างเห็นได้ชัด!
คนอื่นในที่นั้นต่างมองด้วยความแปลกใจระคนตกตะลึง ด้วยไม่คาดคิดว่าชายผู้มีบุคลิกเยือกเย็น เย่อหยิ่งและไม่สุงสิงกับใครจะพูดออกมาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้
“หมายความว่าอันใด ถ้าข้าไม่ตกลง พวกเจ้าจะเข้ามายึดค่ายกลกระบี่มหาปราณของตระกูลเฉินอย่างนั้นหรือ?” แววตาของเฉินฮ่าวเปล่งประกายกร้าว ความโกรธเคืองที่สู้อดทนอดกลั้นอยู่ลึกภายในใจกำลังใกล้ถึงจุดระเบิดเต็มที
‘ค่ายกลกระบี่มหาปราณ… เป็นชื่อที่ไพเราะยิ่งนัก!’ เว่ยเยว่จื่อรำพึงในใจ ทว่าสีหน้าที่แสดงออกมีแต่เย็นชา เย่อหยิ่งและเหินห่างมากขึ้น จากนั้นจึงกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ถ้าเจ้าไม่มีปัญญาที่จะปกป้องสมบัติวิเศษก็ควรจะยกให้คนอื่นเขาเสีย…”
ทันใดนั้นบรรยากาศกลับมาคุอย่างรวดเร็ว
ทุกคนในบริเวณเต็มไปด้วยความหวาดกลัว สายตาทุกคู่พลันจับจ้องไปที่เฉินฮ่าวเป็นตาเดียวเพราะอยากรู้ว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแห่งที่ราบตอนกลาง ไม่เคยกลัวอันตรายใด ๆ ถึงแม้เฉินฮ่าวจะขอความช่วยเหลือจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจร แต่น้ำไกลไม่อาจดับไฟใกล้ ขณะนี้ดูเหมือนทางเลือกจะมีเพียงอย่างเดียวคือการยอมรับพวกเขา
ถึงกระนั้นจากลักษณะของเฉินฮ่าว เขาจะตกลงหรือไม่?
“ท่านพ่อขอรับ มาเล่นกัน…” ทันใดนั้นมีเสียงเด็กน้อยไร้เดียงสาดังชัดแจ๋วออกมาจากด้านนอกหอโถงใหญ่ ต่อมาเด็กน้อยอายุราวสามขวบที่ปรากฏตัวขึ้นถึงกับเบิกตาโตขณะมองเข้ามาภายในห้องโถงใหญ่ เด็กคนนั้นคือเฉินอวี่น้อยนั่นเอง
ช่วงสามปีมานี้เจ้าตัวเล็กสูงขึ้นกว่าเก่ามาก ใบหน้าเล็ก ๆ เกลี้ยงเกลาและหล่อเหลาเอาการ ขณะที่เขานิ่งงัน ด้วยรูปร่างที่ตรงดั่งหอกทวนทำให้เหมือนกับเฉินฮ่าวผู้เป็นบิดาไม่ผิดเพี้ยน
หัวใจของผู้เป็นพ่อพลันกระตุกวูบ ‘…เจ้าตัวเล็กเข้ามาในนี้ทำไม’
“อวี่เอ๋อร์มากับแม่เร็วเข้า พ่อกำลังคุยธุระยังไปเล่นกับเจ้าไม่ได้” ที่ด้านนอกห้องโถง เฟยเหลิ่งชุ่ยในเครื่องแต่งกายสีฟ้าปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับโอบเฉินอวี่น้อยไว้ในอ้อมกอด ขณะหันไปสบสายตากับเฉินฮ่าวคล้ายกับจะบอกให้อีกฝ่ายสบายใจ ก่อนที่จะพากันหมุนตัวกลับ
“อ้อ เจ้าหนูคนเมื่อครู่เป็นคือบุตรชายของเจ้าสินะ หน้าตาหล่อทีเดียว คงจะน่าเสียดายนักถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเขา” เมิ่งชื่อซิงเหลือบมองพลางพูดชัดถ้อยชัดคำ
เปรี้ยง!
บัดนี้เฉินฮ่าวไม่อาจดับกองเพลิงแห่งความเดือดดาลที่กำลังลุกโชนในใจได้อีกต่อไป ยิ่งได้ยินคนพูดทำนองจะเอาชีวิตของลูกชายของตนขึ้นมาข่มขู่ ทันใดนั้นก็ลุกพรวดขึ้นจากที่นั่งพร้อมกับฟาดกำปั้นทุบโครมลงไปที่โต๊ะและพูดเสียงเย็นเยียบ “บัดซบ! ออกไปให้หมด เดี๋ยวนี้!”
“ว่าอย่างไรนะ” เมิ่งชื่อซิงเปลี่ยนสีหน้ากลายเป็นเครียดเคร่ง เจตนาสังหารฉายออกมาทางแววตาโดยไม่ปกปิด มิใช่แค่เขาเท่านั้น ทว่าทั้งหลินชิวหลิงหรือเว่ยเย่วจื่อที่อยู่ใกล้เองต่างมองด้วยแววตาเย็นชาเช่นกัน ทั้งสามเขม้นมองเฉินฮ่าวราวกับกำลังมองผู้ที่ถึงคราวเคราะห์ใกล้ตายกระนั้น
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินฮ่าว คนอื่น ๆ ต่างพากันอกสั่นขวัญหายด้วยความตกใจสุดขีด ไม่คาดคิดว่าเฉินฮ่าวจะใจเด็ดถึงเพียงนี้ เขาไม่ได้กลัวว่าจะนำความวิบัติมาสู่ตระกูลเฉินอย่างนั้นหรือ
ทุกคนเป็นห่วงว่าเขาน่าจะโอนอ่อนผ่อนตามไปก่อนจนกว่าเป้าหมายในการกำจัดฝูงอสูรสัตว์ให้สิ้นซากจะบรรลุผลสำเร็จ คนสารเลวพวกนี้กลับออกไปเมื่อใด ค่อยขอความช่วยเหลือจากยอดฝีมือแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรให้มาลอบสังหารคนพวกนี้ระหว่างทางก็ยังไม่สาย ทว่าปฏิกิริยาของเฉินฮ่าวในตอนนี้เกินความคาดหมายของทุกคนอย่างสิ้นเชิง
“ข้าบอกให้พวกเจ้าทุกคนกลับไป …ไปจากตระกูลเฉินของข้าให้หมด!” เสียงเฉินฮ่าวเน้นหนักทีละคำ ๆ
“ไหน… พูดใหม่อีกครั้งสิ!” เมิ่งชื่อซิงแผดเสียงตะโกนดังลั่นในฉับพลัน คล้ายกับไม่เชื่อสิ่งที่เพิ่งได้ยินกับหู …ผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำตัวกระจ้อยกล้าด่าทอพวกข้าเชียวหรือ?
ซวยแล้ว!
‘ฝูงสัตว์อสูรยังมาไม่ถึง แต่ตระกูลเฉินกำลังจะถูกฆ่าล้างบาง…’ ภายนอกทุกคนตกตะลึง ทว่าในใจกำลังคิดอย่างเดียวกัน
ทันใดนั้นมีเสียงเยือกเย็นที่ไม่แตกต่างกันดังมาจากข้างนอกห้องโถง “เขาบอกให้ทุกคนกลับไป พวกเจ้าไม่ได้ยินหรือไร”
“นั่นใคร! ไอ้บ้าที่ไหนหลบอยู่ข้างนอก กล้าใช้วาจาสามหาวแต่ไม่กล้าเสนอหน้าออกมาอย่างนั้นหรือ” ยามนี้เมิ่งชื่อซิงโกรธจัดจนแทบจะเรียกว่าขนหัวลุกชันทีเดียว รังสีอำมหิตจากร่างกายถึงกับระเบิดออกมาภายนอก ก่อนที่จะแผ่กระจายโถมทับทุกคนในที่นั้นจนหลายคนมีอาการหายใจติดขัด และรู้สึกเป็นเสียงเดียวกันว่ากำลังเผชิญหน้ากับอสูรสัตว์น่าสะพรึงกลัวเสียแล้ว
ฟิ้ววว!
เสียงที่แผดดังของเขายังไม่ทันจางหายไป ร่างของเมิ่งชื่อซิงก็พุ่งออกจากห้องโถงใหญ่แล้ว ความเดือดดาลพุ่งสูงถึงขีดสุดแล้ว เห็นอยู่ทนโท่ว่าค่ายกลกระบี่อยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านี้ แต่ไม่คิดมาก่อนว่าตนจะถูกพวกมดปลวกพวกนี้ยั่วโทสะครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนถูกสบประมาทอย่างแรง และถ้าไม่มีใครเลือดตกยางออก เห็นทีความเดือดดาลในใจคงไร้ที่ระบายเป็นแน่!
“อนิจจา ใครที่ซ่อนตัวอยู่ตรงนั้นตายแน่ ขนาดข้ายังกลัวแทบตายเวลาที่ศิษย์พี่ใหญ่เมิ่งโกรธจัดเช่นนี้” หลินชิวหลิงสั่นศีรษะพร้อมกับถอนหายใจไปพลาง
“บางทีถ้าปล่อยให้เขาสั่งสอนเจ้าคนนั้นจนเลือดตกยางออก อาจจะช่วยบรรเทาความโกรธลงได้บ้าง” เว่ยเยว่จื่อเอ่ยเสียงเนิบนาบขณะที่เงยหน้ามองเฉินฮ่าว “พวกเราไม่ได้อยากเห็นการฆ่าแกงที่นี่ ถ้าปรมาจารย์เฉินยอมทำตามคำขอของข้า บางที…”
เปรี้ยง!
มิทันขาดคำของเว่ยเยว่จื่อ จู่ ๆ ร่างทะมึนของใครคนหนึ่งก็ถูกโยนเข้ามาจากนอกห้องโถงใหญ่ จากนั้นร่างก็กลิ้งหลุน ๆ จนกระทั่งไปหยุดสนิทแทบเท้าของเว่ยเยว่จื่อ ขณะเดียวกันมีเสียงโหยหวนครวญครางดังออกมา ประหนึ่งได้รับความเจ็บปวดรวดร้าว กระทั่งผู้ที่ได้ยินยังถึงกับเสียวสันหลังไปด้วย
“ศิษย์น้องเมิ่ง!”
“ศิษย์พี่เมิ่ง!”
เมื่อทุกคนต่างมองเห็นร่างดำ ๆ บนพื้นถนัดตา สีหน้าภาคภูมิใจของเว่ยเยว่จื่อกับหลินชิวหลิงพลันมีอันชะงักหยุดนิ่งค้าง ก่อนจะส่งเสียงอุทานด้วยความตระหนกตกใจ …ก่อนหน้าทั้งคู่คิดว่าเจ้าของร่างนั้นน่าจะเป็นบริวารตระกูลเฉินสักคนที่ไม่รู้จักสถานะของตัวเอง แต่กลายเป็นว่าคนที่กลิ้งหลุนไม่เป็นท่าคือเมิ่งชื่อซิง… ใครเล่าจะคิด!
ทุกคนต่างตกตะลึง เมื่อจ้องเขม็งไปที่ร่างซึ่งบัดนี้แทบจะเรียกว่าอาบไปด้วยโลหิต ใบหน้าบวมผิดรูป เปล่งเสียงร้องโหยหวนและร่ำไห้โอดโอยด้วยความโศกสลด เป็นเมิ่งชื่อซิงใช่หรือไม่
เหตุใดเขาถึงมีสภาพเยี่ยงนี้?
เขาคนนั้นเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางของนิกายกระบี่เบญจธาตุแห่งที่ราบตอนกลาง เป็นไปได้อย่างไรเพียงผ่านไปไม่ถึงอึดใจ กลับถูกทุบจนอยู่ในสภาพที่น่ากลัวแทบไม่กล้าแม้แต่จะมองดูเช่นนี้
บัดนี้ทุกคนที่ได้เห็นร่างกายที่บอบช้ำปางตายของเมิ่งชื่อซิงถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
แต่ดูเหมือนภาพนี้จะอยู่ในความคาดหมายของเฉินฮ่าวมาก่อนแล้ว ดังนั้นเขาจึงกลายเป็นคนที่สงบนิ่งที่สุดคนหนึ่ง ทันทีที่มีเสียงสะท้อนดังออกมาเขาก็เดาผลลัพธ์ได้ทันที เพียงแต่ไม่คิดว่าเมิ่งชื่อซิงจะพ่ายแพ้รวดเร็วปานนี้
“ศิษย์พี่ใหญ่… กะ… แก้แค้นให้ข้าด้วย ข้าไม่ทันระวังตัว…” เสียงโอดครวญอย่างทุกข์ทรมานของเมิ่งชื่อซิงฟังอุบอิบอู้อี้ไม่ชัดเจนเอาเสียเลย ที่แท้ฟันในปากก็หลุดร่วงไปเกือบหมด และทันทีที่พูดจบเขาก็สลบเหมือดทันที
คนอื่นใจหายวูบ ทักษะบ่มเพาะพลังต้องน่ากลัวเพียงใดถึงกับกระทืบเสียจนผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางถึงขั้นสลบเหมือดเช่นนี้
ตึก~ ตึก~ ตึก~
ทันใดนั้นมีเสียงฝีเท้าย่ำดังก้องมาจากนอกห้องโถงใหญ่ เสียงนั้นแผ่วเบามาก ทว่าด้วยความที่ด้านในห้องโถงเวลานี้เงียบกริบจึงเปรียบเสมือนเสียงกลองที่ดังกระแทกเข้าไปในหัวใจของทุกคน
พลันที่ได้ยินเสียงฝีเท้า ร่างผอมสูงก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าทันที
ชายหนุ่มรูปงามสวมเครื่องแต่งกายสีฟ้าคราม แววตาที่มองตรงลึกล้ำประดุจดวงดาราพร่างพราว ท่าทางเรียบง่ายทว่ามีความพิเศษและมีคลื่นพลังบางอย่างทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้จิตใจสงบลงโดยไม่รู้ตัว
“นั่นเขาเอง” “เฉินซี! เฉินซีจริง ๆ!”
“พลังน่าเกรงขามนัก! ข้าไม่สามารถมองทะลุพลังบ่มเพาะของเขาได้เลย หรือว่าเขาบรรลุขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแล้วอย่างนั้นหรือ”
ความรู้สึกประหลาดใจพลันพรั่งพรูออกมาทางความรู้สึกนึกคิดของเหล่าผู้นำกองกำลังแห่งเมืองหมอกสนทั้งหลาย เมื่อได้เห็นรูปร่างหน้าตาของเขาผู้นั้นอย่างชัดเจน และดูเหมือนจะไม่มีใครคาดคิดด้วยว่าเขาคือคนที่ฟาดเมิ่งชื่อซิงเสียสลบในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ
คนคนนี้จะเป็นใครได้? …นอกจากเฉินซี!
“ท่านพี่มาแล้วหรือขอรับ” เฉินฮ่าวยิ้มกว้าง ตอนนี้ความกังวลใจทั้งหลายทั้งปวงหายวับไปอย่างไม่มีเหตุผล ราวกับว่าพี่ชายมาซุ่มอยู่นานแล้ว ถึงตอนนี้ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย เขาก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป
“ต่อไปปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า” เฉินซีพยักหน้าก่อนจะหมุนตัวกลับไปมองเว่ยเยว่จื่อกับหลินชิวหลิง จากนั้นจึงเอ่ยกับพวกเขาอย่างเฉยเมย “ข้าเป็นคนสร้างค่ายกลกระบี่ของตระกูลเฉิน ถ้าอยากได้ก็เข้ามาเอาด้วยตัวเอง ว่าแต่พวกเจ้าจะยอมรับเงื่อนไขของข้าได้หรือไม่”
“ฮึ่ม! กับแค่ผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตแกนทองคำหยินหยางครึ่งขั้น ยังกล้ามาทำอวดดีต่อหน้าข้าปานนี้เชียวหรือ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าล่อลวงจนเขาไม่ทันระมัดระวัง อย่าคิดนะว่าจะทำอันตรายน้องชายเมิ่งของข้าได้ รู้หรือไม่ว่าที่ทำลงไปมันทำให้ข้าโกรธมาก ในเมื่อทำอะไรไว้ย่อมต้องรับผลจากสิ่งนั้นด้วย” เดิมทีเว่ยเยว่จื่อนึกระแวงว่าคนที่อยู่ข้างนอกอาจเป็นผู้ฝึกตนที่น่ายำเกรงคนใดคนหนึ่ง แต่พอได้มาเห็นรูปลักษณ์ของเฉินซี โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังบ่มเพาะของคนตรงหน้าแล้ว มันกลับทำให้เขารู้สึกโล่งใจทันทีขณะที่แววตาเผยความเย็นเยือกมากขึ้น!