บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 274 คำรามดังสวรรค์สั่นไหว
บทที่ 274 คำรามดังสวรรค์สั่นไหว
บทที่ 274 คำรามดังสวรรค์สั่นไหว
บรรยากาศภายในจวนตระกูลเฉินตอนนี้มีผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมาอย่างคึกคัก บางคนเอ็ดตะโรลูกหลานเต็มไปด้วยความวุ่นวายสับสน
พวกเขาบ้างเป็นคนในครอบครัว ศิษย์ คนรับใช้และคนจากกองกำลังแห่งอื่นในเมืองหมอกสนที่ต้องละทิ้งบ้านเรือนเป็นการชั่วคราว และมาหาที่หลบซ่อนจากการจู่โจมของสัตว์อสูรอยู่ภายในตระกูลเฉินซึ่งมีการตั้งค่ายกลกระบี่มหาปราณเพื่อป้องกันภัย
แต่ที่จริงมีจำนวนคนที่ค่อนข้างมาก ในบรรดากองกำลังทั้งหมดของเมืองหมอกสน คนที่สังกัดกองกำลังใหญ่มีไม่กี่พันคนในขณะที่กองกำลังเล็ก ๆ มีนับร้อยคนเท่านั้น เมื่อทั้งหมดเข้ามารวมกันอยู่ในตระกูลเฉินในเวลาเดียวกันเช่นนี้ จะไม่ให้บังเกิดความอลหม่านได้อย่างไร
นับว่าเคราะห์ยังดีที่มีคลังสมบัติมิติใช้เก็บงำกระเป๋าสมบัติวิเศษของคนเหล่านี้ ดังนั้นถึงแม้จวนตระกูลเฉินจะมีผู้คนมารวมกันมากกว่าหมื่นคน ทว่าไม่ได้แออัดยัดเยียดแต่อย่างใด
แต่เพราะเหตุนี้จึงได้ทำให้พวกผู้ดูแลและคนรับใช้ของตระกูลเฉินยุ่งวุ่นวายไม่น้อย พวกเขามีหน้าที่จัดหาบ้านและที่พำนัก ดูแลความสงบเรียบร้อยและบางครั้งต้องช่วยคนตระกูลอื่นตามหาลูกหลานที่พลัดหลงไปในฝูงชน จนพวกเขานึกอยากจะมีแขนขาเพิ่มขึ้นมาอีกสักคู่ก็คงจะดี
“ให้ตายเถอะ ตัวแสบถ้าพวกเจ้าขืนวิ่งวุ่นไม่หยุดอย่างนี้ เดี๋ยวจะปล่อยให้สัตว์อสูรจับกินแล้วนะ!”
“น้องชาย ไม่ทราบว่าเจ้าสามารถหาที่พักให้เราจะได้หรือไม่ อ้อ นี่คือศิลาวิญญาณ คิดเสียว่าเป็นสัญลักษณ์แทนน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ของข้าโปรดรับไว้เถอะนะ”
“อะไรนะ ที่พักไม่พออย่างนั้นหรือ ต้องไปสร้างที่พักบนลานฝึกเองสินะ เออ…คงทำได้แค่นี้แหละ พวกเจ้าตรงนั้นน่ะ ไปช่วยกันสกัดหินให้เป็นก้อนสีเหลี่ยม ข้าจะใช้สร้างบ้าน!”
ท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเฉินบังเกิดเสียงดังอึกทึกครึกโครม ที่นี่จึงเป็นเพียงแห่งเดียวในเมืองหมอกสนที่มีความพลุกพล่าน ในขณะที่ภายในเมืองบริเวณอื่นเงียบสงัดอย่างกับป่าช้า มีแต่สุนัขป่าเท่านั้นที่วิ่งผ่านไปผ่านมา
เฉินซีและมู่ขุยกลับเข้ามาท่ามกลางบรรยากาศที่มีเสียงดังเอ็ดอึง
ฟิ้วววว!
เมื่อผู้คนสังเกตเห็นเฉินซี ระหว่างทางที่มีฝูงคนหนาแน่นต่างพากันแยกย้ายออกไปรวมกัน โดยเว้นบริเวณตรงกลางของสองข้างทางโดยอัตโนมัติ ขณะเดียวกันเสียงที่ดังเอ็ดอึงกลับเงียบลงทันทีและสายตาที่มองดูเฉินซีอย่างให้ความเคารพเทิดทูนอย่างเปี่ยมล้น
คนที่นี่ส่วนใหญ่มีโอกาสครั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ได้พบกับเฉินซี และเมื่อได้มาเห็นตัวซวยที่ทุกคนเคยถูกดูหมิ่นดูแคลนเติบโตขึ้นจนกลายมาเป็นวีรบุรุษแห่งเมืองหมอกสน ทำเอาหลายคนทึ่งจัดจนอ้าปากค้างพลางนึกชื่นชมในใจอยู่มิรู้วาย
บางคนแอบนึกเสียใจที่เคยหัวเราะเยาะแสดงความดูถูกเขามาก่อนกลับเกิดความรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาในใจ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้บางคนถึงกับตีอกชกตัวด้วยความเสียใจและเสียดายที่ไม่ได้เป็นมิตรกับเฉินซีเสียตั้งแต่หลายปีก่อน มนุษย์ทุกผู้ทุกคนต่างเปิดผยตัวตนที่แท้จริงของตัวเองออกมาก็ตอนนี้เอง
แต่พอพวกเขาเหลือบไปเห็นดวงตาหยกสีเขียวเข้มของมู่ขุยพร้อมกับไอปราณอสูรที่แผ่ออกมาอย่างเบาบางจากร่างกาย ขณะที่เขาเดินตามหลังเฉินซีมาติด ๆ ทำให้หลายคนถึงกับหายใจไม่ทั่วท้อง
ผู้บ่มเพาะอสูร!
และเป็นผู้บ่มเพาะอสูรขอบเขตแกนทองคำหยินหยางด้วย!
บางคนที่สายตาเฉียบคมมองเห็นตัวตนและพลังของมู่ขุยได้ทันที ถึงกับชาวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า หลายคนจ้องมองอย่างไม่อยากเชื่อสายตา เหตุใดผู้บ่มเพาะอสูรขอบเขตแกนทองคำหยินหยางจึงมาติดตามเฉินซีเช่นนี้เล่า
ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือเวลาที่ผู้บ่มเพาะอสูรตนนี้เดินตามเฉินซี เจ้านั่นยังทำท่าค้อมศีรษะอย่างผู้ที่อยู่ในโอวาทเสียด้วย ท่าทางไม่ผิดกับคนรับใช้ผู้ภักดี ไม่มีแววของผู้บ่มเพาะอสูรขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแม้แต่น้อย
อะไรกันนี่
เป็นเรื่องจริงหรือที่เฉินซีสามารถปราบผู้บ่มเพาะอสูรขอบเขตแกนทองคำหยินหยางจนสยบราบคาบได้?
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ในใจของทุกคนรับรู้ได้ถึงพลังแข็งแกร่งที่ลึกล้ำและยากจะหยั่งถึงของเฉินซีมากขึ้น ฉับพลันนั้นก็รู้สึกถึงความเทิดทูนบูชาค่อย ๆ คืบคลานเข้าเกาะกุมหัวใจของทุกคนอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว จะมีใครในเมืองหมอกสนที่สามารถต่อกรกับผู้บ่มเพาะอสูรขอบเขตแกนทองคำหยินหยางและสยบมันให้กลายเป็นเสมือนผู้รับใช้ได้เช่นนี้บ้าง?
ท่ามกลางฝูงชนมีสาวน้อยนางหนึ่งทำท่าลังเลอยู่นานกว่าจะตัดสินใจรวบรวมความกล้าทักเฉินซี กระนั้นขณะที่นางกำลังทำท่าจะตะโกนออกไป พลันถูกขัดจังหวะโดยชายหนุ่มชุดขาวคนที่ยืนข้างนั้นเอง โดยฝ่ายนั้นพูดด้วยน้ำเสียงแหบต่ำผ่านกระแสปราณ “ศิษย์น้อง ตอนนี้เฉินซีอาจไม่เหมือนแต่ก่อน ดีไม่ดีเขาอาจจะลืมพวกเราแล้วก็ได้ ถ้าเจ้าเข้าไปทักทายแล้วเขาจำไม่ได้ เจ้าจะอับอายแค่ไหนคิดดู”
หญิงสาวหน้าสวยชะงักงัน จากนั้นจึงหันมองไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ด้วยสีหน้าซื่อ ๆ และถามผ่านกระแสปราณว่า “ศิษย์พี่ชวี่ เจ้าก็คิดเหมือนกันอย่างนั้นหรือ”
หนุ่มน้อยหน้าซื่อทำท่าลังเลนิดหนึ่งจึงพยักหน้าแทนคำตอบ
สองหนุ่มกับหนึ่งหญิงนี้เป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจาก ลู่เส้าฉงแห่งสำนักพฤกษ์ชาด ชวี่เฉิงและต้วนอิง ครั้งหนึ่งคนทั้งสามเคยตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของฝูงเสือดาววายุเงินแถวเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ และครั้งนั้นพวกเขาก็โชคดีได้เฉินซีเข้ามาช่วยจึงรอดชีวิตมาได้
ยิ่งกว่านั้นในการทดสอบที่ดินแดนรกร้างใต้พิภพ ต้วนอิงเกือบจะถูกหลี่ไฮว่ คุณชายใหญ่แห่งบ้านตระกูลหลี่สังหารแล้ว ทว่าช่วงเวลาคับขันนั้นเองเฉินซีซึ่งบังเอิญผ่านมาได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้
สำหรับต้วนอิงแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเฉินซีคือคนที่ทำให้นางได้ชีวิตใหม่กลับคืนมาถึงสองครั้งสองครา และนางย่อมสำนึกในบุญคุณของเฉินซีด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเคารพและความชื่นชม พอได้มาเห็นเฉินซีเข้าโดยบังเอิญ นางรู้สึกว่ายากที่จะสะกดความตื่นเต้นยินดีที่พุ่งขึ้นมาในใจได้ อีกทั้งอยากจะรีบเจ้าไปทักทายพร้อมทั้งแสดงความขอบคุณชายหนุ่มเสียเวลานี้ตอนนี้
แต่เมื่อมีเสียงคัดค้านจากลู่เส้าฉงและชวี่เฉิง ทำให้หญิงสาวเกิดความลังเลใจขึ้นมา ‘จริงสิ ตอนนี้เฉินซีมีพลังแกร่งกล้าน่าเกรงขามเหนือกว่าผู้บ่มเพาะในเมืองหมอกสนทั้งหมด และยังตอนนี้เขาได้กลายเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับผู้อาวุโสระดับสูงแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจร สถานะก็สูงส่งขึ้นทำให้ตอนนี้เขาไม่ใช่คนที่ข้าจะเข้าไปทำท่าสนิทสนมเหมือนกับคนรุ่นเดียวกันได้อีก ถ้าข้าผลีผลามเข้าไปขัดจังหวะเข้าในเวลานี้…อย่าว่าอันใดเลย ถ้าเขาเกิดจำข้าไม่ได้ ข้าจะทำหน้าอย่างไร’
“ผ่านมาเจ็ดแปดปีแล้ว สงสัยว่าเฉินซีคงจะจำความสัมพันธ์ที่เคยเป็นมาในอดีตไม่ได้เสียแล้ว อย่าว่าแต่เรื่องที่พวกเรากับเฉินซีเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่บังเอิญมาพบกันและเขาได้ช่วยเหลือพวกเราหลายครั้งหลายหนด้วยซ้ำ เช่นนี้เรายังจะกล้าไปรบกวนเขาอย่างนั้นหรือ” ลู่เส้าฉงพูดพลางถอนใจเฮือก เขาเองก็ต้องการที่จะรักษาความสัมพันธ์กับเฉินซีด้วยเช่นกัน แต่น่าเสียดายนักที่ชีวิตจริงมิอาจทำเช่นนั้นได้
“เขามาทางนี้แล้ว!” ชวี่เฉิงโพล่งออกมา
ทั้งลู่เส้าฉงและต้วนอิงพลันต่างก็ชะงักหยุดและหันขวับไปมองพร้อมกัน จริงอยู่พวกเขามองเห็นแล้วว่าเฉินซีอยู่ห่างจากตรงที่พวกเขาเพียงไม่ถึงหนึ่งจั้ง เสียงในใจของทุกคนถามกับตัวเอง…เขาจะจำเราได้ไหม
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเตรียมใจไว้แล้วว่าอาจจะได้รับปฏิกิริยาเมินเฉยจากเฉินซี แต่ยังอดที่จะรู้สึกผิดหวังและหวั่นไหวในใจอย่างแรงไม่ได้ ทุกคนรู้สึกเหมือนเวลาได้หยุดนิ่งลง ความรู้สึกมีทั้งคาดหวังและผิดหวังในเวลาเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ต้องพบกับความผิดหวัง เฉินซีจำทั้งสามคนไม่ได้โดยสิ้นเชิง ชายหนุ่มโฉบผ่านพวกเขาไปและมุ่งหน้าตรงไปอย่างเดียว
เขาจำพวกข้าไม่ได้เลยจริง ๆ…
ความรู้สึกแห่งการสูญเสียภายในใจของสามคน ลู่เส้าฉง ชวี่เฉิงและต้วนอิงนั้นไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูด พวกเขาสังเกตได้ทันทีว่าสหายศิษย์ทั้งหลายที่อยู่ข้างหลังพวกตนกำลังมองมาด้วยสายตาแปลกพิกล เหมือนมองอย่างเย้ยหยันก็ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกแย่ลงไปอีก
“ถ้ารู้อย่างนี้ข้าคงไม่บอกพวกมันแน่ ตอนนี้พวกเรากลายเป็นตัวตลกในสายตาของทุกคนไปแล้ว ต่อไปพวกเราจะมีหน้าอยู่ในสำนักพฤกษ์ชาดได้อย่างไร” ต้วนอิงพึมพำอย่างหัวเสีย และรู้สึกเสียใจขึ้นมาที่ไปบอกกับสหายศิษย์พวกนั้นเรื่องที่เคยรู้จักมักคุ้นกับเฉินซีมาก่อน
“เรื่องเป็นแบบนี้ เจ้าอย่าได้โศกเศร้าไปเลยศิษย์น้องต้วน อย่างไรเสียพวกเรากับเฉินซีก็ไม่ใช่คนที่จะเดินร่วมทางกันอีกต่อไป” เสียงลู่เส้าฉงปลอบใจแผ่วเบา
“อนิจจา” ส่วนชวี่เฉิงก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
ในขณะที่คนทั้งสามสนทนากันอย่างหัวเสีย ทันใดนั้นทุกคนก็เริ่มสัมผัสได้ว่าบรรยากาศโดยรอบเริ่มผิดแปลกไป เมื่อพบว่าคนอื่น ๆ กำลังมองมาทางพวกตนทำให้ทั้งสามออกจะฉงนงงงันว่ามันเกิดอะไรกันขึ้น
“หลายปีแล้วที่แยกย้ายกันไป พวกเจ้าสามคนยังอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา” เสียงนุ่มนวลคุ้นเคยเอ่ยทักดังขึ้นข้างพวกเขาทั้งสาม และทันทีที่ทุกคนเงยหน้ามอง จึงพบว่าเฉินซีโผล่เข้ามาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว!
“เจ้า…มะ…มาทำไม” ต้วนอิงอึกอักขณะหลุดปากถามโง่ ๆ ออกไปเพราะนางตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนไม่ทันตั้งรับ
“ขอโทษทีที่เมื่อครู่ข้ามัวแต่คิดอะไรต่อมิอะไรเรื่อยเปื่อย จึงไม่ได้สังเกตพวกเจ้าที่อยู่ตรงนี้” เฉินซีกล่าวขอโทษขอโพยยกใหญ่ เพราะก่อนหน้าเขากำลังนึกถึงเรื่องเทพอสูรที่ปรากฏตัวขึ้นมาจนต้องคิดหาทางวิธีรับมือกับมันอย่างรอบคอบ หากเป็นเพราะมู่ขุยที่เตือนสติจึงทำให้เขาสังเกตเห็นทั้งสามนั่นเอง
ไม่น่าแปลกหรอกที่มู่ขุยสามารถเตือนสติของเขาได้ เนื่องจากกลิ่นอายของพวกลู่เส้าฉง รวมทั้งท่าทีตื่นเต้นยินดีของพวกเขาแตกต่างจากคนอื่น ทำให้เป็นที่ดึงดูดความสนใจของเขาขึ้นมาฉับพลันจึงรีบบอกให้เฉินซีรู้ตัว
“พวกเราสามคนเป็นสหายที่สนิทสนมกลมเกลียวอยู่ที่สำนักพฤกษ์ชาดด้วยกัน พวกเราก็เลยยังอยู่ที่นี่มาตลอด” ลู่เส้าฉงตอบทันควัน สีหน้าของคนพูดยิ้มแย้มอย่างมีความสุขที่เห็นว่าแท้จริงแล้วเฉินซีมิได้เพิกเฉยต่อพวกตน
“อื้ม” ชวี่เฉิงคนหน้าซื่อพยักหน้ายืนยัน เวลานี้เขากลับตื่นเต้นจนพูดอะไรไม่ออก
ไม่ใช่มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่ตื่นเต้นเพราะในใจของเฉินซีตอนนี้ก็ประดุจกระแสแห่งความยินดีกำลังถาโถมเช่นกันและไม่มีท่าว่าจะสงบลงเลย เมื่อมองดูพวกลู่เส้าฉงทั้งสาม สัญชาตญาณของตนก็พาให้นึกย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีตโดยไม่รู้ตัว ทั้งเรื่องของลุงจางแห่งร้านค้าตระกูลจาง ผู้เฒ่าหม่าที่ร้านอาหารนทีกระจ่าง เพ่ยเพ่ยและเฉียวหนาน…ปัจจุบันคนเหล่านี้จากไปหมดแล้ว
“โชคชะตาได้ทำให้พวกเรากลับมารวมกันอีกครั้ง ข้าไม่ได้มีของมีค่าอะไรจะมอบให้พวกเจ้า นอกจากสมบัติวิเศษระดับมนุษย์ทั้งสามชิ้นนี้และโอสถที่ใช้ในการฝึกจะช่วยพวกเจ้าบรรลุขั้นพลังบ่มเพาะได้อย่างมากทีเดียว” คนพูดพลันพลิกฝ่ามือครั้งหนึ่งซึ่งปรากฏปลอกแขน ชุดเกราะ รองเท้า จี้หยกและสมบัติวิเศษอีกหลายชิ้นขึ้นมาบนฝ่ามือ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสมบัติระดับมนุษย์ขั้นสุดยอดด้วยมีกลิ่นอายสมบัติล้ำค่าไหลเวียนและลอยม้วนเป็นสายหมอก นอกจากนี้ยังมีขวดบรรจุโอสถที่มีคุณสมบัติพิเศษอีกสองสามขวด ทุกสิ่งที่เขากวาดมาจากร่างไร้วิญญาณของคู่ต่อสู้ที่ผ่านมาในช่วงหลายปี ทว่าไม่ได้ทำรายการเฉพาะสำหรับสิ่งของเหล่านี้ เพียงแต่นำมากองรวมเก็บไว้ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์มาตลอด
“อย่าเลย ของพวกนี้มีค่าเกินไป!” พวกเขาแทบจะไม่ได้มองของเหล่านี้ด้วยซ้ำ ขณะพยายามปฏิเสธที่จะรับไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า
คนรอบข้างที่สังเกตเห็นต่างตาโตมองดูด้วยความสนใจ แววตาเต็มไปด้วยความชื่นชม สมบัติวิเศษเหล่านี้อยู่ในระดับมนุษย์ขั้นสุดยอดทุกชิ้นและจัดเป็นชุดอย่างดี เมื่อรวมกับโอสถที่บรรจุในขวดหยกพวกนั้นด้วยแล้ว มูลค่าสูงล้ำเกินกว่าจะประมาณค่าได้ทีเดียว!
แน่ล่ะ นั่นเป็นในมุมมองของคนรอบข้าง ทว่าสำหรับเฉินซี สมบัติวิเศษเหล่านี้ไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง ดังนั้นมันจึงไม่ได้มีมูลค่าสูงส่งแต่อย่างใด
“รับไว้เถอะ…ข้าเก็บไว้ก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์” เฉินซียืนยันหนักแน่นจนยากจะปฏิเสธ จะว่าไปนอกจากลุงจาง ผู้เฒ่าหม่าและคนอื่นที่ต้องตายลงในเหตุหายนะที่เกิดขึ้นครั้งนั้น ในเมืองหมอกสนเขาแทบจะไม่เหลือสหายที่คุ้นเคยอีกแล้ว เมื่อได้มาพบกับสหายเก่าทั้งสามคนนี้ นอกจากความรู้สึกลึก ๆ ข้างในแล้วส่วนตัวยังอยากให้ความช่วยเหลือคนเหล่านี้ด้วย
ก่อนหน้านี้คนทั้งสามเคยปฏิเสธสิ่งที่เฉินซีจะมอบให้ซึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าครั้งนี้เลย ไม่ได้เกี่ยวกับการที่เฉินซีมอบของขวัญเหล่านี้ให้เพราะความเป็นสหายเก่าแก่ ทว่าเป็นความรู้สึกแห่งน้ำมิตรของเขาอย่างจริงใจ จึงไม่มีเหตุอันใดที่คนทั้งสามจะปฏิเสธที่จะยอมรับอีกต่อไป
หลังจากหยุดทักทายครู่หนึ่งเฉินซีจึงกล่าวอำลา จากนั้นชายหนุ่มก็มุ่งหน้าไปยังห้องโถงใหญ่ทันที เขาต้องการไปปรึกษาหารือกับเฉินฮ่าวเกี่ยวกับเทพอสูรเต็มทีแล้ว เพราะเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญและคงไม่ดีแน่หากเขายังขืนปกปิดเอาไว้ต่อไป
เพียงเฉินซีคล้อยหลังไปเท่านั้น ความวุ่นวายโกลาหลก็บังเกิดทันที
“ศิษย์น้องต้วน ที่แท้เจ้าก็รู้จักกับเฉินซีจริงเสียด้วย!”
“ยอดเลย! สมบัติวิเศษระดับมนุษย์ขั้นสุดยอดทั้งนั้น มือเติบไม่เบา!”
“ศิษย์น้องต้วน ไหนขอข้าดูสิว่าในขวดหยกนั่นมีโอสถใดอยู่กี่มากน้อย มันช่วยให้บรรลุขั้นการฝึกบ่มเพาะพลัง และโอสถชนิดนี้หาซื้อได้เฉพาะที่เมืองใหญ่อย่างที่เมืองทะเลสาบมังกรเท่านั้น”
จากนั้นสหายศิษย์ที่อยู่ในสำนักพฤกษ์ชาดก็กรูกันเข้าไปล้อมพวกลู่เส้าฉง ชวี่เฉิงและต้วนอิง ขณะเดียวกันต่างคนต่างพูดในสิ่งที่ตนรู้ออกมาพร้อม ๆ กัน ทว่าทุกถ้อยคำบ่งบอกความนิยมชมชื่นทั้งสิ้น
คนทั้งสามกลับแสดงสีหน้าราบเรียบขณะเดียวกันก็ช่วยกันเก็บงำสมบัติล้ำค่าด้วยแววตาเป็นประกายโดยไม่พูดอะไรอีก แต่ทุกคนก็รู้สึกตื่นเต้นในใจเหลือจะกล่าว เฉินซีตกลงรับคำเชิญของพวกเราไปร่วมฉลองกันในค่ำคืนนี้ จะคุยอะไรกับเขาดี?
…
“เทพอสูรอย่างนั้นหรือขอรับ” ในห้องโถงใหญ่ เฉินฮ่าวมีสีหน้าตกตะลึง เขาแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“เป็นความจริง ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะไปนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ขอร้องพี่ใหญ่เป่ยเหิงเป็นการส่วนตัวให้เขามาที่นี่เผื่อบางทีเขาอาจมีแผนการที่จะรับมือกับศัตรูก็ได้ ถ้าพวกเราต้านทานไม่ได้จริง ๆ เห็นทีต้องเตรียมการอพยพออกจากเมืองหมอกสนโดยเร็ว” เฉินซีเน้นคำพูดช้าชัด
“แต่ตอนนี้ในตระกูลเฉินมีกองกำลังต่าง ๆ เข้ามารวมอยู่มากมาย ถ้าพวกเราอพยพออกไป แค่ต้องขนคนจำนวนมากไปด้วย พวกเราคงเคลื่อนไปได้ช้ามาก ถ้าเทพอสูรนั่นปรากฏตัวขึ้นมาจริง ๆ ไม่อยากเดาเลยว่าจะเกิดเหตุร้ายแรงขนาดไหน” เฉินซีหัวคิ้วขมวดแน่นพลางถอนใจใหญ่
“เรื่องไม่น่าจะรุนแรงนัก เอาไว้ค่อยคุยกันหลังจากที่ข้ากลับมาจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจรแล้ว” ฉับพลันนั้นเฉินซีตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาดทันที และจากนั้นเขาก็พูดว่า “ในช่วงเวลานี้ ให้แจ้งผู้นำคนอื่น ๆ เกี่ยวกับอำนาจต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ และขอให้พวกเขาเตรียมจิตใจให้พร้อม”
“ท่านพี่อย่ากังวลไปเลย” เฉินฮ่าวพยักหน้า ท่าทีที่แสดงออกบ่งบอกถึงความหนักแน่นและสงบเยือกเย็น ทำจิตใจให้สงบเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเสมอ เป็นคำพูดของเฉินซีที่คอยสั่งสอนเขามาตั้งแต่เล็กแต่น้อย
“ข้าจะรีบไป” เฉินซีพยักหน้าและขยับลุกขึ้นยืน
ขณะนั้นเอง เสียงคำรามสะท้านโลกาก็ดังมาจากเทือกเขาสูงไกลออกไป ส่งผลให้ภูเขาน้อยใหญ่ที่สงบงียบอันเป็นที่สถิตของสิ่งมีชีวิตจำนวนมากมายหวั่นไหวสะเทือนสะท้านทันที กระทั่งจวนตระกูลเฉินก็ยังสั่นสะเทือนไปด้วยเสียงคำรามที่ลากยาวอย่างไม่รู้จบสิ้นนี้
เสียงที่ดังประหนึ่งเสียงคำรามอย่างกราดเกรี้ยวของเหล่าทวยเทพ เขย่าจนฟ้าดินสั่นสะเทือน!
พลันบังเกิดเสียงร้องดังกรีดแหลมฟังน่าสยดสยองสะท้อนดังก้องมามากมายนับไม่ถ้วน บัดนี้ทั่วทั้งจวนตระกูลเฉินตกอยู่ในความวุ่นวายโกลาหลอย่างสิ้นเชิง