บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 276 สระมังกรแปลง
บทที่ 276 สระมังกรแปลง
บทที่ 276 สระมังกรแปลง
เทพอสูรโบราณ!
ฝ่ามือที่สามารถค้ำนภาได้!
นักพรตเต๋าเฒ่าผู้เฉื่อยชา!
น้ำเต้าหยินหยางกลืนนภา!
ทั้งหมดทั้งมวลก่อตัวเกิดเป็นฉากงดงามที่อันตราย นองเลือด และน่าทึ่งนัก
คลื่นพลังจากการต่อสู้ทำให้ท้องฟ้าเหนือเมืองหมอกสนดูจะตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย ปราณวิญญาณปั่นป่วน ท้องฟ้าแตกสลาย ลำแสงหลากหลายเส้นพุ่งออกมาราวกับดอกไม้ไฟ เกิดเป็นภาพงดงามตาทว่าแฝงภัยร้ายไว้ภายใน
นอกจากจวนตระกูลเฉินแล้ว ทุกอย่างภายในพื้นที่โดยรอบพันลี้ เช่นบ้านเรือนทั้งหลาย พื้นดิน ผนัง พืชพันธุ์… ทั้งหมดกลายเป็นฝุ่นผง ถูกทำลายหายสิ้นไม่เหลือรอย ลมปราณทำลายล้างน่าสะพรึงกลัวยังคงส่งเสียงหวีดหวิวบนฟ้าและดิน เปล่งเสียงคร่ำครวญราวกับกำลังเล่าว่าเมื่อครู่เคยเกิดการต่อสู้สะเทือนถึงชั้นฟ้าขึ้นที่นี่
มันเป็นการต่อสู้ที่สะเทือนถึงชั้นฟ้าโดยแท้ ฝ่ายหนึ่งเป็นเทพอสูรโบราณในตำนานบนฟากฟ้า อีกฝ่ายเป็นผู้บ่มเพาะชาวมนุษย์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับหก แม้ว่าการต่อสู้ระหว่างทั้งสองจะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่อึดใจ แต่พลังที่ปลดปล่อยก็ทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนสี ฟ้าดินคร่ำครวญราวกับถึงจุดจบ
และยังเป็นศึกน่าตะลึงที่เฉินซีได้เห็นตั้งแต่เริ่มบ่มเพาะพลังมาเช่นเดียวกัน ลวดลายขุนเขาที่พุ่งออกมาจากมือขวาของเทพอสูรโบราณราวกับจะสามารถล้างโลกาได้ ปราณเซียนที่นักพรตเต๋าชราปลดปล่อยออกมา และความสามารถอันน่าทึ่งของน้ำเต้าที่คล้ายจะกลืนกินฟ้าได้ ทั้งหมดนี้สะเทือนจิตวิญญาณของเขายิ่ง
‘วันที่ข้าจะสามารถไปถึงขั้นนี้ได้ย่อมมาถึงเช่นกัน!’ เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ในขณะที่ลอบกำหมัดแน่น จิตคิดอยากสู้พุ่งออกมาจากส่วนลึกในใจ หากไม่ใช่เพราะการปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของนักพรตเต๋าเฒ่า ตระกูลเฉินที่อยู่ด้านหลังเขาก็คงถูกทำลายล้างไปจนสิ้นแล้ว ความรู้สึกที่ได้สัมผัสความเป็นตายและได้ชีวิตใหม่หลังพบหายนะยิ่งทำให้เขาใฝ่หาพละกำลังแข็งแกร่งมากขึ้น
ฟิ้ว!
ทันใดนั้น เส้นริ้วไกล ๆ สายหนึ่งก็เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตามันก็มาถึงด้านข้างของนักพรตเต๋าเฒ่าและประสานมือคำนับ “ท่านอาจารย์ เป็นอะไรหรือเปล่าขอรับ?”
ผู้ที่มาคือชายหนุ่มผู้สวมชุดนักพรตเต๋าที่ดูสะอาดเรียบร้อยคนหนึ่ง เขามีร่างสูงหลังตรง ผมเกล้าเป็นมวยแบบนักพรตเต๋าด้วยปิ่นไม้ โครงหน้าดูคมสันสมบุรุษ ดวงตายิ่งลึกล้ำสดใสราวกับสามารถมองเห็นทั้งใต้หล้าได้ ตอนนี้เขายืนเด่นเป็นสง่า อาภรณ์ปลิดปลิวตามแรงลม ทำให้ดูเงียบขรึมเย็นชา สีหน้าสงบนิ่งเผยกลิ่นอายน่าเกรงขามออกมา
‘คนผู้นี้แข็งแกร่งมาก!’ เฉินซีรู้สึกกังวลในใจ เขาพบว่าลมปราณที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าชิงซิ่วอี้แม้แต่น้อยจากชายหนุ่มในชุดนักพรตเต๋า มันกำจายต่อเนื่องเหมือนวารีสมุทร ให้ความรู้สึกเกินจะหยั่งรู้
“ชิงเหอศิษย์ข้า เจ้ามาสักที ฮ่า ๆ! เป็นโชคจากสวรรค์โดยแท้ที่ข้าสามารถจับเทพอสูรโบราณได้ในครั้งนี้ เรากลับไปถึงเขาเมื่อไร ข้าจะใช้เลือดมันกลั่นกายาให้เจ้า ต้องทำให้เจ้าแกร่งขึ้นอย่างน้อย ๆ ก็สามในสิบส่วน ถึงต้องประมือกับแม่นางน้อยชิงในการชุมนุมดาวรุ่ง เจ้าก็สามารถเอาชนะนางได้แน่! ฮ่า ๆ…” นักพรตเต๋าเฒ่าผู้เกียจคร้านแหงนหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะเสียงดัง เสียงเขาเผยให้เห็นถึงความปีติและความกล้าหาญอย่างบอกไม่ถูก
‘การชุมนุมดาวรุ่ง? เอาชนะแม่นางน้อยชิง? หรือจะเป็นชิงซิ่วอี้?’ เฉินซีอดหรี่ตาลงไม่ได้ เมื่อพบว่าชายหนุ่มในชุดนักพรตเต๋าก็จะเข้าการชุมนุมดาวรุ่งในอีกปีครึ่งที่จะถึงนี้ก็ทำให้เขารู้สึกกดดันขึ้นมา นักพรตเต๋าเฒ่าผู้เฉื่อยชาเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพีระดับหก ในเมื่อเขากล้าพูดเช่นนั้นก็พิสูจน์แล้วว่าความแข็งแกร่งของชายหนุ่มชุดนักพรตเต๋านั้นอยู่ในขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นประเภทที่อยู่จุดสูงสุดของขอบเขตแล้วด้วย
แค่คิดดู กระทั่งชิงซิ่วอี้ยังสามารถรับมือมู่ขุยขอบเขตจุติได้ เช่นนั้นหากชายหนุ่มผู้นี้สามารถเอาชนะนางได้ พละกำลังของเขาย่อมต้องสามารถข้ามขอบเขตต่อสู้ศัตรูได้เป็นแน่!
“แก่นโลหิตของเทพอสูรโบราณจะให้ประโยชน์แก่เจ้ามากหลาย แต่ปัญหาคือการดูดซับจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปี ในขณะที่การชุมนุมดาวรุ่งจะเริ่มในอีกหนึ่งปีครึ่งนี้แล้ว เรื่องเวลาเราจึงต้องกดดันอยู่บ้าง ช่างเถอะ เราท่องเที่ยวด้านนอกมานานหลายปี ควรจะกลับขึ้นเขาได้แล้ว” นักพรตเต๋าเฒ่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา
“อาจารย์ ท่านจะใช้แก่นโลหิตเทพอสูรโบราณกับข้าจริงหรือขอรับ?” ชายหนุ่มในชุดนักพรตเต๋าพูดด้วยน้ำเสียงตกใจ ดูเหมือนไม่อยากเชื่ออยู่เล็กน้อย
“แน่สิ การชุมนุมดาวรุ่งครั้งนี้แตกต่างจากในอดีต จักรพรรดิฉู่ตัดสินใจอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ว่าหลังจากสิ้นสุดการชุมนุมดาวรุ่ง เขาจะเปิดสระมังกรแปลงที่ไม่ปรากฏบนโลกมานานกว่าห้าพันปีให้อัจฉริยะหนุ่มสาวทั้งหลายที่ได้สิบอันดับแรกได้ชำระล้างกรรมและกลั่นชะตามังกร รางวัลเช่นนั้นย่อมทำให้ศิษย์ของพวกตาแก่ทั้งหลายเคลื่อนไหวแน่ ล้วนพากันย่างเท้าเข้าใต้หล้า การชุมนุมดาวรุ่งในครั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นการรวบรวมอัจฉริยะจำนวนมากเท่าเมฆบนท้องฟ้าก็ว่าได้ พายุกำลังจะมาบรรจบกันแล้ว”
นักพรตเต๋าเฒ่าถอนหายใจด้วยความหนักใจ “อยู่ท่ามกลางอัจฉริยะไม่ธรรมดามากมายเช่นนี้ ความแข็งแกร่งของเจ้าย่อมสามารถติดสิบอันดับแรก แต่โอกาสจะได้สามอันดับแรกนั้นเสี่ยงมาก แต่มีแก่นโลหิตเทพอสูรโบราณก็น่าจะพอให้เจ้าติดสามอันดับแรกได้ แม้แต่การคว้าอันดับแรกมาก็อาจเป็นไปได้”
‘สระมังกรแปลงหรือ?’ เฉินซีตกตะลึงในหัวใจเมื่อนึกถึงข้อมูลจุดนั้น ว่ากันว่าที่ใต้เมืองหลวงราชวงศ์ซ่ง นครหลวงธารสายไหมคือเส้นเลือดมังกรที่กดชะตากรรมเอาไว้ เป็นเส้นชะตาแห่งราชวงศ์ซ่งที่มาบรรจบกัน ยิ่งไปกว่านั้น สระมังกรแปลงยังถูกสร้างขึ้นภายในเส้นเลือดมังกร ดังนั้นเมื่อผู้บ่มเพาะเข้าไปในสระนั้น ก็จะสามารถกลั่นพลังชะตามังกร ซึ่งเรียกว่าได้ประโยชน์อย่างไม่คิดนึกฝัน
ส่วนจะได้อะไรนั้น เฉินซีไม่รู้ชัดเจน บ้างบอกเป็นการปรับร่าง บ้างบอกเป็นการเสริมพลังบ่มเพาะ และยังมีบางคนที่บอกว่าหลังจากได้ชะตามังกรมาแล้ว โอกาสในการสำเร็จทัณฑ์สวรรค์และกลายเป็นเซียนจะสูงขึ้นห้าในสิบส่วนทีเดียว
แน่นอนว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงข่าวลือ เพราะสระมังกรแปลงถูกผนึกมากว่าหัาพันปีแล้ว ไม่แน่ว่าผู้ที่รู้ว่าแท้จริงว่าสระแห่งนี้ให้ประโยชน์อันใดอาจมีเพียงตาเฒ่าหรือตำราเก่าแก่ก็เป็นได้
“ชิงเหอเข้าใจแล้ว” พลันเกิดสายฟ้าพาดผ่านนัยน์ตาของชายหนุ่มชุดนักพรตเต๋า จากนั้นเขาก็พูดเสียงสงบว่า “ท่านอาจารย์ ชิงเหอติดหนี้บุญคุณท่านมากมายนัก ชิงเหอย่อมคว้าอันดับหนึ่งในการชุมนุมดาวรุ่งครั้งนี้มาให้ได้ เพราะนั่นเป็นทางเดียวที่จะทำให้ท่านที่พร่ำสอนและสนับสนุนข้ามาไม่ผิดหวัง”
“ฮ่า ๆ… อาจารย์เช่นข้าไม่ต้องการให้เจ้ามาชดใช้อะไรคืน หวังเพียงแต่เจ้าจะสามารถเข้าแดนภวังค์ทมิฬได้อย่างปลอดภัย แค่นั้นคนเป็นอาจารย์ก็รู้สึกภูมิใจแล้ว” นักพรตเต๋าเฒ่าแหงนหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะเสียงดังออกมาไม่หยุด น้ำเสียงเจือแววปีติยินดี
“ข้าจะทำให้ได้!” ชายหนุ่มในชุดนักพรตเต๋าเอ่ยด้วยเสียงสบาย ๆ
“ไปกันเถอะ” นักพรตเต๋าเฒ่าพยักหน้าขณะที่สายตาเคลื่อนไปมองจวนตระกูลเฉิน และมองไปที่เฉินซีด้วยสายตาลึกล้ำยิ่ง เขาไม่ได้พูดอะไรอีก ก่อนจะพาชายหนุ่มทะยานขึ้นฟ้าไป ในขณะที่ชายหนุ่มในชุดนักพรตเต๋าไม่ได้มองจวนตระกูลเฉินเลยสักนิดตั้งแต่ต้น ไม่ต้องกล่าวถึงว่ามองเฉินซีหรือไม่เลย ดูเหมือนในสายตาเขา ผู้ที่ควรค่าแก่ความสนใจมีเพียงอาจารย์เท่านั้น อย่างอื่นไม่มีค่าให้ใส่ใจ
‘แปลกนัก เหตุใดนักพรตเต๋าเฒ่านั่นถึงมองข้าเช่นนั้น?’ เฉินซีจ้องไปยังจุดที่ทั้งสองคนหายไป ไม่ว่าจะเค้นสมองคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
เขาไม่รู้ว่านักพรตเต๋าเฒ่าผู้เฉื่อยชา แท้จริงแล้วเป็นสหายปลีกวิเวกจากที่ราบตอนกลาง ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าแก่หลายปีกับยอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพีแห่งนิกายกระเรียนพิสุทธิ์อย่างนักพรตเต๋าหลงเหอนั่นเอง ข่าวเกี่ยวกับนักพรตเต๋าหลงเหอ หวงฝู่จิ่งเทียน และผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีอีกสองสามคนที่มารวมตัวกันในนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ทว่ากลับคว้าน้ำเหลวกลับไปได้แพร่มาถึงหูเขา ทำให้เกิดความสงสัยขึ้น
ด้วยเหตุนี้เขาจึงปรากฏตัวขึ้นในดินแดนตอนใต้และในเมืองหมอกสน เขามาที่นี่เพื่อมาหาสหายน้อยผู้ไร้ชื่อเสียงนามว่าเฉินซีเพื่อสนองความสงสัยตน ดังนั้นการปรากฏตัวของนักพรตเต๋าเฒ่าจึงไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ
“เรา… รอดแล้วหรือ?”
“ฮ่า ๆ เราไม่ตาย สวรรค์คงกำลังจับตาดูอยู่เป็นแน่!”
“ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ร่างขนาดมหึมาที่สูงเสียดฟ้านั่นมันตัวประหลาดอะไรกันแน่?”
“ใครจะไปรู้ ข้ารู้สึกละอายใจนักที่ข้ากลัวจนเป็นลมเมื่อก่อนหน้า ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย”
“อ้าว เจ้าก็กลัวจนเป็นลมเหมือนกันหรือ?”
การต่อสู้ได้สิ้นสุดลงแล้ว และภายในจวนตระกูลเฉินที่ได้ชีวิตใหม่หลังหายนะมาเยือน บรรยากาศเงียบสงัดถูกทำลายลงจากเสียงพูดคุยกันดังระงม มีคนที่รู้สึกโชคดี รู้สึกกลัวไม่หาย รู้สึกไม่อยากเชื่อ รู้สึกยินดีเป็นล้นพ้น แต่ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไร อย่างน้อยภาพตรงหน้าก็ทำให้เห็นว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ อย่างไรก็มีหวังใช่ไหมเล่า?
เฉินซีรู้สึกมีความสุขจากก้นบึ้งหัวใจเมื่อได้เห็นภาพนี้ เมื่อเทพอสูรโบราณถูกกำจัด ภัยคุกคามที่กล้าแกร่งที่สุดของกองกำลังต่าง ๆ ในเมืองหมอกสนจึงหายไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้น อสูรชั่วร้ายที่อยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาก็เสียการควบคุมของเทพอสูรโบราณไป ดังนั้นตอนนี้คงไม่กล้าลงมือผลุนผลันแน่
‘แต่สุดท้ายพวกมันก็ยังเป็นอันตรายแฝงอยู่ดี หากข้าไม่คิดหาวิธีจัดการ เกรงว่าจะทำให้เส้นทางการบ่มเพาะของข้าล่าช้าไปอีก’ หลังกลับเข้าห้องไปแล้ว เดิมทีเฉินซีคิดจะบ่มเพาะพลัง แต่ในใจยังกังวลไม่คลาย ทำให้ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะสามารถตั้งสมาธิบ่มเพาะพลังให้ดีได้ เขาถอนหายใจยาวออกมา
“นายท่านเป็นห่วงความปลอดภัยของเมืองหมอกสนอย่างนั้นหรือขอรับ?” มู่ขุยพูดอย่างระมัดระวัง “อันที่จริงข้ามีความคิดอย่างหนึ่งอยู่ แต่มันยากลำบากอยู่สักหน่อยนะขอรับ”
“ว่ามาเลย” เฉินซีชะงักไป มู่ขุยมาจากส่วนลึกของเทือกเขา รู้ทุกอย่างภายในนั้นอย่างทะลุปรุโปร่ง บางทีความคิดของเขาอาจจะไม่เลวก็ได้
เมื่อมู่ขุยเห็นเขารับฟังจริงจังก็ยิ่งมีกำลังใจ พูดออกมาอย่างรวดเร็ว “ปัจจุบันเทพอสูรโบราณถูกจับไปแล้ว อสูรในส่วนลึกของแนวเขาก็ไร้ผู้นำอีก ที่เก่งกล้าที่สุดมีพลังเพียงขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเท่านั้น หากท่านสามารถเชิญราชาจิ้งจอกเก้าหาง หรือราชาเต่าเฒ่าทัศนาลึกล้ำมาที่นี่ได้ มีเจ้าพวกนี้สักตัวก็มากพอจะทำให้อสูรชั่วร้ายพวกนั้นแตกตื่น ไม่กล้าบุกเมืองหมอกสนอีก”
เฉินซีตาเป็นประกาย ใช่แล้ว ราชาอสูรทั้งสองมีฐานการบ่มเพาะที่ขอบเขตจุติแล้ว หากขอให้ทั้งสองเดินทางไปยังส่วนลึกของแนวเทือกเขาย่อมสามารถทำให้พวกอสูรรวมตัวกัน สามารถออกคำสั่ง และควบคุมอสูรชั่วร้ายทั้งหมดได้แน่ เช่นนี้วิกฤตของเมืองหมอกสนก็แก้ไขได้ง่ายดายเลยไม่ใช่หรือ?
“ความคิดดี มู่ขุย เจ้าช่วยข้าได้มากทีเดียว” เฉินซีกล่าวชม
มู่ขุยลูบศีรษะตนยิ้ม ๆ “มู่ขุยมีความสุขอย่างยิ่งที่ช่วยเหลือนายท่านได้เช่นกัน แต่เรายังไม่ทราบที่อยู่ของราชาจิ้งจอกเก้าหางและราชาเต่าเฒ่าทัศนาลึกล้ำ จะติดตามหาตัวพวกเขานั้นยากมาก”
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า ข้ารู้ว่าทั้งสองคนอยู่ที่ใด หากแก้ปัญหานี้ได้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยตระกูลเฉินอีก เช่นนี้เราก็จากไปได้” เฉินซียิ้มพลางพูด
“นายท่านอยากไปที่ใดหรือขอรับ?” มู่ขุยตกตะลึง ก่อนเอ่ยถามด้วยเสียงประหม่า
“ย่อมต้องอยากไปดูที่ราบตอนกลาง ตอนนี้เหลืออีกเพียงปีครึ่งก่อนจะถึงการชุมนุมดาวรุ่ง ข้าจึงควรออกไปหาประสบการณ์ว่าที่ราบตอนกลางนั้นอุดมสมบูรณ์เพียงไร” เฉินซีพูดด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
จริง ๆ แล้วยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่เขาไม่ได้พูดถึง มันเป็นเพราะการบ่มเพาะในปัจจุบันของเขายังติดคอขวดจนไม่อาจดำเนินต่อได้ เขาขาดเพียงการผ่านทัณฑ์สวรรค์แห่งลมและไฟก็จะทะลวงสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางได้แล้ว แต่ขั้นตอนนี้อันตรายนัก หากจะข้ามขอบเขตก็ยากลำบาก จะทะลวงขอบเขตได้จำต้องมีปัจจัยสำคัญและเหมาะสม ทำให้แม้จะปิดประตูบ่มเพาะก็ไม่อาจฝึกฝนต่อไปได้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่หาจังหวะทะลวงพลังในขณะที่ออกเดินทางฝึกฝนหาประสบการณ์
“ไม่ต้องประหม่าไป ครั้งนี้ข้าจะพาเจ้าไปด้วย” เมื่อเห็นมู่ขุยยังดูกังวลอยู่มาก เฉินซีก็อดหัวเราะแล้วพูดปลอบขึ้นมาไม่ได้
มู่ขุยถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นเขาก็คลี่ยิ้ม “ดียิ่ง ดียิ่ง”