บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 279 เต๋ารู้แจ้งแห่งการกัดกร่อน
บทที่ 279 เต๋ารู้แจ้งแห่งการกัดกร่อน
บทที่ 279 เต๋ารู้แจ้งแห่งการกัดกร่อน
ก้านของดอกบัวดอกนี้มีความหนาประมาณนิ้วหัวแม่มือ มีใบบัวสิบสองใบล้อมรอบดอกบัวสีดำที่บานสะพรั่ง ไม่ว่าจะเป็นใบบัว ลำต้น หรือดอกบัว พวกมันล้วนแต่มีสีดำสนิทเป็นมันเงา และมีประกายแวววาวราวกับหยก อีกทั้งยังมีหมอกโลหิตไหลออกมาปกคลุมอยู่รอบดอกบัว ซึ่งส่งกลิ่นหอมอันเย้ายวนอย่างแผ่วเบา
ปทุมโลหิตหยกนิล!
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง เมื่อเขาจดจำยาอายุวัฒนะที่สวยงามเช่นนี้ได้ ตามคำเล่าลือ ดอกบัวดอกนี้จะเติบโตท่ามกลางพิษที่มีฤทธิ์รุนแรงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก และใบของมันจะผลิเพียงหนึ่งใบในทุก ๆ พันปี เมื่อมันผลิบานครบสิบสองใบ ก็จะบานเป็นดอกบัวสีดำสนิทอย่างน่าอัศจรรย์ สรรพคุณของมันสามารถเติมเต็มปราณวิญญาณและฟื้นฟูทะเลแห่งจิตสำนึก ด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็นสมบัติชั้นเลิศสำหรับการฟื้นฟูปราณวิญญาณ และสามารถได้รับมาโดยโชคชะตากำหนดเท่านั้น
‘ข้าไม่เคยคิดเลยว่า ปทุมโลหิตหยกนิลที่โตเต็มที่จะเติบโตอยู่ที่นี่ คนเหล่านี้อาจมาที่นี่เพื่อสิ่งนี้ แต่พวกเขากลับต้องพบกับการโจมตีของแมงมุมสีรุ้งเปลวเพลิงหยก…’ เฉินซีครุ่นคิดอยู่ในใจ
“ข้ามีนามว่าฉินอวี้เหว่ย ขอเรียนถามนามของท่านผู้อาวุโสได้หรือไม่” เมื่อนางเห็นเฉินซีสังเกตเห็นปทุมโลหิตหยกนิล ใบหน้าของหญิงสาวก็ซีดลง และนางรีบเดินไปข้างหน้าขณะที่นางกล่าวพร้อมกับคารวะ เพื่อบดบังปทุมโลหิตหยกนิลที่อยู่ข้างหลัง
“ข้าแค่บังเอิญผ่านมาและกำลังจะจากไป ดังนั้นไม่จำเป็นต้องสนใจนามของข้าหรอก” เฉินซีกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่ปทุมโลหิตหยกนิลและกล่าวว่า “พวกเจ้าต้องเสียสละผู้คนไปมากมายเพื่อของสิ่งนี้”
ใบหน้าของฉินอวี้เหว่ยหม่นหมองขณะที่นางพยักหน้าพร้อมกับกล่าวว่า “ใช่แล้ว และเนื่องจากผู้อาวุโสได้ช่วยข้ากับท่านลุงหลัวไว้ ดังนั้นสิ่งนี้ควรเป็นของท่าน แต่ว่า…”
“ไม่จำเป็นต้องกล่าวอีกต่อไป ของสิ่งนี้ไม่มีประโยชน์อันใดแก่ตัวข้า ดังนั้นเจ้าจงเก็บมันไว้เถิด” เฉินซีขัดจังหวะพลางส่ายหัว เนื่องจากปราณวิญญาณของเขาสามารถเทียบกับผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติมาตั้งนานแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่อยากได้ปทุมโลหิตหยกนิลเลยสักนิด
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่กรุณา ข้าจึงสามารถบรรลุเป้าหมายในครั้งนี้” ฉินอวี้เหว่ยรู้สึกประหลาดใจและดูเหมือนจะไม่เคยคิดมาก่อนว่าเฉินซีจะรับมือได้ง่ายขนาดนี้ จากนั้นความซาบซึ้งใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่งดงามของนาง เนื่องจากปทุมโลหิตหยกนิลดอกนี้มีความสำคัญต่อนางอย่างมาก มิฉะนั้น นางคงไม่เสี่ยงชีวิตมาที่เทือกเขาหมื่นพิษอย่างแน่นอน
เฉินซีเพียงยิ้มเล็กน้อยและหันกลับมาที่ด้านข้างของแมงมุมสีรุ้งเปลวเพลิงหยก จากนั้นเขาก็ตรวจมันสักพัก ก่อนจะหยิบไข่มุกสีเขียวหยกออกมาจากกองซากศพ ไข่มุกเม็ดนี้มีขนาดประมาณไข่นกพิราบ มันมีสีเขียวหยกและเปล่งประกายแสงเจิดจ้าอยู่รอบ ๆ อีกทั้งยังปล่อยกลิ่นอายที่หอมสดชื่นอยู่จาง ๆ
ไข่มุกนี้เป็นแก่นแท้ของแมงมุมสีรุ้งเปลวเพลิงหยก และมันถูกเรียกว่าไข่มุกเปลวเพลิงหยก สรรพคุณของมันสามารถกำจัดพิษได้มากมายและถือได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่หายาก หากมันถูกขายในตลาด มูลค่าของมันก็จะมหาศาลจนต้องตกตะลึง และอย่างน้อยก็สามารถแลกเปลี่ยนมันเป็นสมบัติวิเศษระดับปฐพีได้
เฉินซีกำลังเล่นกับไข่มุกเปลวเพลิงหยกในฝ่ามือของเขา ในขณะที่ ฉินอวี้เหว่ยหยิบกล่องหยกออกมาอย่างระมัดระวัง และกำลังเดินไปดึงปทุมโลหิตหยกนิลตรงจุดที่มันเติบโตอยู่ และในขณะที่มันถูกดึงออกมา สีดำสนิทของมันกลับกลายเป็นสีแดงเลือดทันที ทำให้มันดูเหมือนเลือดสด ๆ ที่กำลังเผาไหม้ ซึ่งมีสรรพคุณทางยาที่น่าอัศจรรย์
ฟิ้ว!
ทว่าทันทีที่นิ้วของนางสัมผัสกับปทุมโลหิตหยกนิล จู่ ๆ ก็มีร่างสีดำโผล่ออกมาจากอากาศ และคว้าดึงปทุมโลหิตหยกนิลไปทั้งต้น ก่อนจะหมุนตัวและหลบหนีไป ความเร็วของร่างสีดำนั้นรวดเร็วมากจนเหมือนกับลูกศรที่ยิงออกจากคันธนู และร่างนั้นก็พุ่งห่างออกไปสองลี้ในทันที
“อ๊ะ! ไม่นะ~!” ใบหน้าของฉินอวี้เหว่ยซีดลงอย่างน่าสยดสยองขณะที่นางกรีดร้องออกมาอย่างรุนแรง และเสียงของนางยังแฝงไปด้วยความสิ้นหวัง ทำให้นางดูน่าสังเวชเป็นอย่างมาก
“เจ้ากล้าขโมยของต่อหน้าข้าหรือ? เจ้ากำลังรนหาที่ตาย! จงทิ้งชีวิตไว้ซะ!”
เคร้ง!
เสียงกระบี่ดังก้องออกมาและปราณกระบี่พลันพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ยันต์อักขระสีทองมากมายได้ปกคลุมโดยรอบของยันต์ศัสตรา และบนตัวกระบี่ก็มีประกายอันเย็นยะเยือกอาบอยู่ ซึ่งเผยให้เห็นถึงกลิ่นอายแหลมคมที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้
ฟิ้ว!
เฉินซีพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาสะบัดยันต์ศัสตราในมือออกไป ทำให้ท้องฟ้าที่ดูเหมือนกับผ้าไหมถูกปราณกระบี่อันดุร้ายและเกรี้ยวกราดฉีกออกเป็นริ้ว ๆ ยิ่งไปกว่านั้น ปราณกระบี่ที่เหมือนรุ้งสีทองได้เฉือนไปยังร่างที่หลบหนีห่างออกไป
“ฮึ่ม! ฝ่ามือห่าพิษ” ร่างสีดำคำรามอย่างเย็นชาและไม่ได้หันกลับมามอง มือขวาของเขาได้กลายเป็นสีดำสนิทอย่างฉับพลัน จากนั้นจึงฟาดไปยังปราณกระบี่ที่โจมตีเข้ามาจากด้านหลังอย่างรุนแรง
ปัง!
ละอองสีดำประหลาดได้แผ่กระจายออกมาจากฝ่ามือของเขาและปะทะเข้ากับปราณกระบี่อย่างรุนแรง ก่อนที่มันจะพุ่งเข้าเฉินซีอีกครั้ง
แต่สิ่งที่น่าตกใจที่สุดก็คือ ทุกหนทุกแห่งที่ละอองสีดำประหลาดเคลื่อนผ่านไป แม้แต่ปราณกระบี่ที่คมกริบก็ดูเหมือนจะสึกกร่อนและเปล่งเสียงฟู่ ๆ ขณะที่มันละลายไปทีละนิด
‘เต๋ารู้แจ้งแห่งการกัดกร่อนหรือ? พลังฝ่ามือของเขาแฝงไปด้วยพิษที่ร้ายแรง ทำให้มันเป็นกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่ร้ายกาจเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ความแข็งแกร่งของคนผู้นี้น่าจะอยู่ที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่อาจทำอะไรแก่ตัวข้าได้’ ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง ในขณะที่เขาถ่ายเทพลังไปให้ยันต์ศัสตราและปีกนภาดารกะอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะพุ่งเข้าไปสังหารคนผู้นี้ในพริบตา
“ท่านผู้อาวุโส อย่าไล่ตามมันไป โปรดช่วยคุณหนูของข้าก่อน นาง… ชีวิตของนางกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย!” เสียงวิตกกังวลและหวาดกลัวของชายวัยกลางคนร่างสูงดังขึ้นมาจากด้านหลัง
เฉินซีตกตะลึงและหันกลับไปมอง เขาจึงเห็นฉินอวี้เหว่ยล้มลงไปกองบนพื้น และผิวที่นุ่มนวลและเรียบเนียนของนางก็ค่อย ๆ ถูกกัดกร่อนด้วยชั้นหมอกสีดำสนิทในขณะนี้ ทำให้มันเหี่ยวเฉาและซีดเซียว
“อย่าขยับ ข้าจะแก้พิษให้เจ้า” เมื่อเขามองไปในระยะไกลและเห็นว่าร่างสีดำได้หายไปแล้ว เฉินซีจึงไม่คิดที่จะไล่ตาม ก่อนจะหันกลับมาและทะยานไปที่ถึงด้านข้างของฉินอวี้เหว่ย จากนั้นเขาก็โคจรปราณจ้าววิญญาณของเขาเพื่อเปลี่ยนให้เป็นแก่นแท้ที่บริสุทธิ์ของดาราพฤกษาที่สองและถ่ายพลังไปยังร่างกายของฉินอวี้เหว่ยผ่านเส้นลมปราณบนมือของเขา
พลังงานของพฤกษาเป็นตัวแทนของความมีชีวิตชีวา มันสามารถหล่อเลี้ยงแก่นแท้ของผู้คน และทำให้สรรพสิ่งในโลกเจริญงอกงาม อีกทั้งยังมีสรรพคุณทางด้านการรักษาที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เช่นเดียวกับฝ่ามือมหาดาราที่เฉินซีใช้ในวันนั้น เมื่อสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งดาราพฤกษาที่สองฟาดลงมายังพื้นดิน มันทำให้พืชพรรณเจริญเติบโตอย่างบ้าคลั่ง ด้วยเหตุนี้ อานุภาพของมันจะทรงพลังขนาดไหน ก็สามารถเห็นได้จากสิ่งนี้
หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป หมอกสีดำและรอยพิษที่มองเห็นได้บนใบหน้าของฉินอวี้เหว่ยก็ถูกขจัดออกไปจนหมด ทำให้ผิวที่เหี่ยวแห้งของนางกลับมาอวบอิ่มและเปล่งประกายอีกครั้ง แต่ใบหน้าของนางยังคงซีดเซียวและลมหายใจก็ยังรวยริน
ชายวัยกลางคนร่างสูงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเขาเห็นภาพนี้ จากนั้นเขาก็หมอบกราบลงบนพื้นพร้อมกับกล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื้นตัน “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสสำหรับพระคุณที่ช่วยชีวิตท่าน ขอบคุณท่านผู้อาวุโสสำหรับพระคุณที่ช่วยชีวิต!” เขากล่าวออกมาด้วยความร้อนรนจนวางตัวไม่ถูก
เฉินซีก็รู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างมากเช่นกัน เท่าที่เขาคิด ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงคนนี้เป็นเพียงผู้คุ้มกันของหญิงสาว แต่เขากลับภักดีและอุทิศตนปกป้องหญิงสาวอย่างสุดหัวใจ ทำให้เฉินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมอยู่ในใจ
“พิษนี้รุนแรงเกินไปและมันได้ทำลายพลังชีวิตของนาง ดังนั้นนางจึงไม่สามารถฟื้นตัวได้ในระยะเวลาอันสั้น เจ้าจงหาโอสถที่ช่วยบำรุงให้นางในอนาคต เมื่อถึงตอนนั้นนางจะสามารถฟื้นตัวได้เช่นเดิม” เฉินซีพยุงร่างของชายวัยกลางคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นขณะที่เขากล่าวแนะนำ
ชายวัยกลางคนร่างสูงพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า และความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ก็พรั่งพรูอยู่ในใจของเขา
ฟิ้ว!
ทันใดนั้นพลันมีลำแสงหนึ่งพุ่งเข้ามา และก่อนที่มันจะมาถึงตรงที่เฉินซียืนอยู่ ก็มีเสียงดังออกมา “นายท่าน คนผู้นั้นรวดเร็วยิ่งนัก มันได้หลบหนีไปแล้ว” คนคนนี้คือมู่ขุยอย่างแน่นอน เขาเหินลงมาที่พื้นก่อนจะเข้ามายืนอยู่ข้าง ๆ เฉินซีด้วยสีหน้าลำบากใจ และดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกว่าตนเองไร้ประโยชน์เกินไป
“ช่างมันเถอะ ยังไม่สายเกินไปที่จะสะสางบัญชีกับคนผู้นั้นในภายหลัง” เฉินซีโบกมือ การถูกขโมยสิ่งของไปต่อหน้าต่อตาทำให้เขารู้สึกขุ่นเคืองอยู่บ้าง
“ท่านผู้อาวุโส ข้าพอจะคาดเดาตัวตนของคนผู้นั้นได้บ้างขอรับ” ชายวัยกลางคนร่างสูงโพล่งกล่าวอย่างกะทันหันว่า “คนที่มีทักษะการใช้พิษนั้นย่อมมาจากตระกูลซือคงแห่งเมืองเฟิงเย่ นอกจากนี้ เมื่อพวกเรามุ่งหน้าไปยังเทือกเขาหมื่นพิษ เราก็ได้ยินมาว่า ซือคงเหินผู้เป็นนายน้อยคนโตของตระกูลซือคงได้เข้าสู่เทือกเขาหมื่นพิษเช่นกัน คาดว่าเขามาเพื่อค้นหาสัตว์มีพิษเพื่อฝึกฝนเคล็ดวิชาพิษของเขาเอง”
‘ซือคงเหินแห่งเมืองเฟิงเย่หรือ?’ เฉินซีตกตะลึง เท่าที่เขาทราบมา ไม่มีเมืองชื่อเฟิงเย่อยู่ภายในดินแดนทางตอนใต้เลย หรือว่ามันจะเป็นเมืองในที่ราบตอนกลาง?
เมื่อเขาคิดมาถึงจุดนี้ เฉินซีก็เปิดแผนที่แผ่นหยกที่เขาพกติดตัวมา ซึ่งเขาพบว่าเมืองเฟิงเย่นั้นตั้งอยู่ในที่ราบตอนกลางและที่น่าตกใจก็คือ นิกายสวรรค์ปฐพีที่หลินโม่เซวียนสังกัดอยู่ก็ตั้งอยู่ในเมืองเฟิงเย่เช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น เมืองเฟิงเย่ตั้งอยู่ที่ด้านหลังเทือกเขาหมื่นพิษและฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำรุ่งอรุณที่แบ่งดินแดนทางใต้กับที่ราบตอนกลาง
“ท่านผู้อาวุโส คุณหนูของข้าอ่อนแอมาก ดังนั้นข้าคงต้องพานางกลับไปก่อน หากโชคชะตาฟ้าลิขิต เราคงได้พบกันในเมืองพฤกษ์ชาดอีกครั้ง และข้าจะรอการมาถึงของท่าน เมื่อถึงตอนนั้น ข้าจะมอบทุกสิ่งที่ข้ามีเพื่อตอบแทนพระคุณที่ท่านได้ช่วยชีวิต” ในขณะนี้ ชายวัยกลางคนร่างสูงได้แบกฉินอวี้เหว่ยไว้บนหลังของเขาและตั้งใจจะจากไป
เมื่อเฉินซีเห็นชายวัยกลางคนได้รับบาดเจ็บสาหัสและแทบจะสูญเสียพลังทั้งหมด กำลังจะจากไปพร้อมกับหญิงสาวที่อยู่ในสภาพโรยริน เขาก็ตระหนักได้ว่า คนทั้งสองนี้คงไม่สามารถออกจากเทือกเขาได้อย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น และกล่าวออกไปว่า “ข้าจะส่งพวกเจ้าสองคนออกจากเทือกเขา แล้วข้าก็กำลังมุ่งหน้าไปยังที่ราบตอนกลางอยู่เช่นกัน ดังนั้นการไปที่เมืองเฟิงเย่ก็ไม่ทำให้การเดินทางของข้าต้องหยุดชะงัก”
ชายวัยกลางคนพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ และเขารู้สึกขอบคุณเฉินซีอยู่ในใจมากยิ่งขึ้น ‘แม้คนผู้นี้จะอายุยังน้อย แต่ก็เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมและความเมตตา อีกทั้งยังไม่เย่อหยิ่งหรือเจ้าเล่ห์เฉกเช่นผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์คนอื่นเลยสักนิด ในเมื่อเขาเป็นคนเช่นนี้ แล้วจะข้าจะไม่รู้สึกชื่นชมและขอบคุณจากใจจริงได้อย่างไร?’
ตลอดทางที่ผ่านมา เฉินซีได้ทราบถึงสถานการณ์ของชายวัยกลางคนและหญิงสาวในชุดเขียวอยู่บ้าง ชายวัยกลางคนร่างสูงมีนามว่าหลัวถงและเป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันของตระกูลฉินของเมืองพฤกษ์ชาด ในขณะที่หญิงสาวที่มีนามว่าฉินอวี้เหว่ยนั้นเป็นคุณหนูคนโตของตระกูลฉิน
พวกเขาเข้าไปในเทือกเขาหมื่นพิษในครั้งนี้ เพื่อรวบรวมยาอายุวัฒนะที่สามารถหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ ซึ่งคือปทุมโลหิตหยกนิลนั่นเอง แต่โชคไม่ดีที่พวกเขาพบกับแมงมุมสีรุ้งเปลวเพลิงหยก และเกือบจะถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น
ซึ่งในตอนนี้ มีเพียงหลัวถงและฉินอวี้เหว่ยเท่านั้นที่รอดชีวิต
แต่เมื่อเฉินซีถามว่าทำไมพวกเขาถึงต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อรวบรวมปทุมโลหิตหยกนิล หลัวถงกลับส่ายศีรษะอย่างขมขื่นแทน และดูเหมือนจะมีบางอย่างที่ยากจะกล่าวถึง ดังนั้นเขาจึงไม่เผยเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังออกมา
พลบค่ำ
เมื่อกลุ่มของเฉินซีออกจากเทือกเขาหมื่นพิษ แม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลเชี่ยวและเปล่งเสียงอย่างทรงพลังก็สะท้อนอยู่ในสายตาของพวกเขา แม่น้ำนี้กว้างใหญ่อย่างไร้ที่สิ้นสุด หมอกที่พวยพุ่งออกมาจากแม่น้ำภายใต้แสงตะวันยามอาทิตย์อัสดงที่งดงาม ดูเหมือนจะถูกปกคลุมไปด้วยระลอกคลื่นสีส้มแดงเป็นชั้น ๆ พร้อมกับเสียงซัดสาดของแม่น้ำที่ฟังดูคล้ายกับมังกรคำราม ทำให้ภาพที่อยู่เบื้องหน้านี้ดูงดงามจนยากจะอธิบาย
นี่คือแม่น้ำที่คั่นระหว่างดินแดนทางใต้กับที่ราบตอนกลาง แม่น้ำอัสดง!
ว่ากันว่าเมื่อหลายหมื่นปีก่อนนั้น มีปีศาจมัจฉาอาศัยอยู่ในแม่น้ำอัสดง เมื่อมันได้บรรลุเต๋าแล้ว จึงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ในเวลานั้น บนท้องฟ้าโดยรอบได้เกิดปรากฏการณ์อันน่าอัศจรรย์ของฟ้าดิน และแสงตะวันยามอาทิตย์อัสดงที่งดงามราวกับสรวงสวรรค์ได้สาดส่องลงมา ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในระยะหลายพันลี้ ต่างก็ตกตะลึงจนจิตใจสั่นไหว นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา แม่น้ำสายนี้จึงถูกเรียกว่าแม่น้ำอัสดง และมันมาพร้อมกับตำนานของปีศาจมัจฉาที่บรรลุกลายเป็นเซียน ซึ่งสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้
‘หลังจากที่ผ่านแม่น้ำอัสดงไป ทุกสิ่งก็จะไม่เป็นที่รู้จักสำหรับข้า บางทีหนทางข้างหน้าอาจเต็มไปด้วยอันตรายที่ไร้ขอบเขต แต่ข้าจะอยู่รอดอย่างแข็งแกร่งแน่นอน แม้แต่ภูเขาซากศพและทะเลเลือดก็มิอาจขวางทางสู่ความแข็งแกร่งของข้าได้!’ เฉินซีหันหลังให้แม่น้ำอัสดงในขณะที่เขาเหลือบมองไปยังดินแดนทางใต้อีกครั้ง จากนั้นจึงหันกลับมาอย่างแน่วแน่และไม่ลังเลใด ๆ พร้อมกับบินไปยังที่ราบตอนกลางซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำอัสดงทันที