บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 280 เมืองเฟิงเย่
บทที่ 280 เมืองเฟิงเย่
บทที่ 280 เมืองเฟิงเย่
ที่ราบตอนกลางเป็นพื้นที่หลักของดินแดนอันกว้างใหญ่ของราชวงศ์ซ่ง มันเป็นสถานที่ที่รุ่งเรืองและเฟื่องฟูไปด้วยผู้บ่มเพาะที่มีความสามารถโดดเด่นเป็นพิเศษ และมันถูกเรียกว่าที่ราบตอนกลางที่สวยงามเสมอ
ตามข่าวลือที่เล่าขานกัน ไม่มีสมบัติล้ำค่าใดในโลกที่ไม่สามารถหาซื้อได้ที่นี่ ไม่มีความลับใดในโลกที่ไม่มีใครถามถึงที่นี่ และไม่มีอาหารอันโอชะใดในโลกที่ไม่อาจลิ้มรสได้ที่นี่ และอาจกล่าวได้ว่ามันมีทุกสิ่งที่มีอยู่ในโลก
ขณะที่เขาบินอยู่บนท้องฟ้าเหนือแม่น้ำอัสดงและมองผ่านแผนที่ จู่ ๆ เฉินซีก็สังเกตเห็นเงาดำขนาดมหึมาที่สูงตระหง่านเหนือเส้นขอบฟ้าอันไกลโพ้น เมื่อเขาจ้องดูอย่างระมัดระวัง ปรากฏว่ามันเป็นเมืองที่ตระการตาและสง่างามอย่างน่าประหลาดใจซึ่งดูเหมือนจะเชื่อมต่อกับท้องฟ้า ทำให้เขาไม่สามารถประเมินความสูงที่แท้จริงของมันได้!
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ริ้วแสงเป็นเหมือนสายฝนเมื่อลำแสงทะยานไปบนท้องฟ้า และผู้บ่มเพาะหลายคนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว บ้างก็ขี่กระบี่บิน หรือใช้เคล็ดวิชาของตนเองเพื่อร่อนมายังเมืองเหมือนเม็ดฝน
‘ช่างอัศจรรย์ยิ่งนัก! ผู้บ่มเพาะเหล่านี้ล้วนมีฐานการบ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลหรือสูงกว่า และคนส่วนใหญ่อยู่ที่ขอบเขตเคหาทองคำและขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง นอกจากนี้ยังมีผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติสองสามคนในหมู่พวกเขา …ดูเหมือนว่าระดับการบ่มเพาะของที่นี่จะเหนือกว่าดินแดนทางใต้!’ เฉินซีแผ่จิตสัมผัสเทพของเขาออกไปและตรวจสอบผู้บ่มเพาะที่อยู่โดยรอบเพียงเล็กน้อย จากนั้นจึงเริ่มอุทานด้วยความชื่นชมในใจอย่างไม่รู้จบ ดินแดนทางใต้และที่ราบตอนกลางถูกคั่นด้วยแม่น้ำอัสดงเพียงสายเดียว แต่ดูเหมือนว่าทั้งสองดินแดนจะแตกต่างกันอย่างชัดเจน
เมื่อพวกเขาเข้าใกล้เมืองเฟิงเย่ เฉินซีก็เห็นว่าหลัวถงและฉินอวี้เหว่ยต่างก็กระวนกระวายที่จะกลับบ้าน ดังนั้นเขาจึงกล่าวคำอำลากับพวกเขาทันที การช่วยพวกเขามาจนถึงที่แห่งนี้ก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงว่าสองคนนี้มีบางอย่างที่ยากจะกล่าวถึงและเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่จะไม่รบกวนพวกเขา
ด้วยความคิดในใจเช่นนี้ เฉินซีจึงพามู่ขุยมุ่งหน้าไปยังประตูเมือง
แม้ว่าเมืองเฟิงเย่จะอยู่ที่ชายขอบของที่ราบตอนกลาง แต่มันก็มีขนาดใหญ่กว่าเมืองทะเลสาบมังกรอยู่หลายเท่า ทางเท้าหินปูนนั้นสะอาดไร้ที่ติและเป็นมันเงาเหมือนกระจก อาคารสูงใหญ่ที่ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยงานแกะสลักและภาพวาดมังกรหรือวิหคเพลิง ตั้งเรียงเป็นแถวอยู่ทุกหนทุกแห่ง นอกจากนี้ถนนก็กว้างขวางและเป็นเส้นตรง ในขณะที่เต็มไปด้วยผู้คนที่เดินหลั่งไหลเหมือนผ้าไหมทอ แต่ก็ไม่รู้สึกว่าแออัดเลยแม้แต่น้อย
ต้นเฟิงอันเก่าแก่และสูงใหญ่หลายต้นตั้งตระหง่านอยู่ทุกมุมเมือง ใบเฟิง*[1]เป็นสีแดงดั่งเปลวเพลิงปกคลุมท้องฟ้าและโลก และเมื่อมองจากระยะไกล ราวกับว่าท้องฟ้าทั้งหมดเหนือเมืองถูกปกคลุมไปด้วยก้อนเมฆที่ลุกเป็นไฟและหมอก ทำให้เกิดเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก
ขณะที่เขาเดินไปอย่างไร้จุดหมายในเมืองเฟิงเย่ มันทำให้เฉินซีรู้สึกเวียนหัวราวกับว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างเกินกว่าที่สายตาของเขาจะรับได้ เนื่องจากทุกอย่างที่นี่เจริญรุ่งเรืองและแตกต่างออกไปอย่างมาก
“นายท่าน ดูนั่นสิ นั่นคือภูเขาฟ้าดินของนิกายสวรรค์ปฐพีใช่หรือไม่” มู่ขุยก็ชี้ไปยังภูเขาที่อยู่ไกลออกไปขณะที่เขากล่าว
เฉินซีเงยหน้าขึ้นมองและเห็นสิ่งที่อยู่ในระยะไกล คือภูเขาขนาดมหึมาและงดงามที่สูงตระหง่านขึ้นไปในมวลเมฆเสมือนกับเสาค้ำฟ้า และมันถูกอาบด้วยหมอกสีเหลืองเข้ม แม้ว่ามันจะอยู่ห่างจากเขามาก แต่ก็ยังทำให้เฉินซีรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่ไร้ขอบเขตที่หนักหน่วงและไม่สั่นคลอน
กลิ่นอายนี้ถูกปล่อยออกมาจากหมอกสีเหลืองเข้มที่ล้อมรอบภูเขาอยู่ และดูเหมือนว่าหมอกเหล่านี้จะหนักมาก จนมันสามารถบดขยี้ภูเขาให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้
เฉินซีพยักหน้า
ว่ากันว่าภูเขาฟ้าดินได้กำเนิดขึ้นจากกระแสปราณฟ้าดิน ซึ่งคนธรรมดาทั่วไปอาจคิดว่าปราณฟ้าดินนั้นเป็นปราณโกลาหล แต่ในสายตาของผู้บ่มเพาะ ปราณฟ้าดินนี้เป็นมารดาของสรรพสิ่งในโลก อีกทั้งยังเป็นตัวแทนของสวรรค์และโลก
ในสวรรค์และโลก ทุกสถานที่ที่มีปราณฟ้าดินล้วนเป็นแดนสวรรค์ที่หายากบนโลก และนิกายสวรรค์ปฐพีที่สามารถก่อตั้งอยู่บนภูเขาฟ้าดิน อีกทั้งยังดำรงอยู่โดยไม่ตกต่ำมาเป็นเวลานับหมื่นปี แสดงให้เห็นว่าทรัพยากรและทุนทรัพย์นั้นไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง
หลังจากเดินทอดน่องอยู่ในเมืองเฟิงเย่มาตลอดครึ่งวัน เฉินซีก็พบโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งและเขาได้จองห้องขนาดใหญ่สองห้อง ก่อนที่จะเรียกมู่ขุยและนั่งลงที่โต๊ะริมหน้าต่างบนชั้นสองของโรงเตี๊ยม หลังจากนั้น จึงสั่งอาหารเต็มโต๊ะและสุราหยาดใบเฟิงที่มีรสเลิศพิเศษของเมืองเฟิงเย่อีกสองขวด แล้วพวกเขาก็ทานอาหารอย่างอิ่มหนำสำราญ เนื่องจากเฉินซียังมีศิลาวิญญาณและวารีวิญญาณอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นเขาจึงไม่กังวลว่าจะจ่ายไม่ได้
“เจ้าได้ยินมาบ้างหรือเปล่า? หอขุมทรัพย์สวรรค์กำลังจัดการประมูลขนาดใหญ่ในอีกสามวันข้างหน้าและว่ากันว่าจะมีการประมูลโอสถกำจายล้ำในวันนั้น”
“จริงหรือ! ว่ากันว่าโอสถนี้สามารถเพิ่มโอกาสสำเร็จในการบรรลุไปสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางของผู้บ่มเพาะได้ถึงสองส่วน จะมีผู้ใดที่ไม่ต้องการประมูลสมบัติเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“เจ้ากำลังเอะอะอะไร ปัจจุบันเหลือเวลาเพียงหนึ่งปีก่อนการชุมนุมดาวรุ่งจะเริ่มขึ้น ดังนั้นผู้บ่มเพาะที่อยู่ในขอบเขตเคหาทองคำขั้นสมบูรณ์แบบ จะไม่หวังที่จะบรรลุไปสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางในช่วงเวลานี้ได้อย่างไร? ด้วยการนำโอสถกำจายล้ำออกมาประมูลในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่า หอขุมทรัพย์สวรรค์กำลังเตรียมที่จะคว้าโอกาสนี้เพื่อสร้างความมั่งคั่งก้อนโต!”
“ไม่แปลกใจเลยที่ผู้บ่มเพาะระดับขอบเขตเคหาทองคำจำนวนมากได้หลั่งไหลเข้ามาในเมืองเฟิงเย่ของเราในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เพราะพวกเขาต้องการโอสถกำจายล้ำนั่นเอง”
“แน่นอน ตราบเท่าที่ผู้ใดก็ตามได้บรรลุสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางและมีอายุน้อยกว่าสามสิบปี จะมีผู้ใดบ้างที่ไม่อยากสัมผัสกับโอกาสอันยิ่งใหญ่อย่างการชุมนุมดาวรุ่ง? และเท่าที่ข้าทราบมา สมบัติวิเศษระดับปฐพีที่ทรงพลังบางชิ้นจะปรากฏขึ้นในการประมูลครั้งนี้ และมันมีมูลค่าเทียบเท่ากับโอสถกำจายล้ำ”
“ชิ ด้วยวิธีนี้ การประมูลที่จัดขึ้นโดยหอขุมทรัพย์สวรรค์ในครั้งนี้ ก็เพื่อประโยชน์ของผู้บ่มเพาะที่เข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่ง
…
กิจการโรงเตี๊ยมของที่นี่ค่อนข้างดี ชั้นสองเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่กำลังสนทนากันอย่างจ้อกแจ้กจอแจ และพวกเขากำลังหารือเกี่ยวกับการประมูลที่จะจัดขึ้นในอีกสามวัน ทำให้มันดูคึกคักเป็นอย่างมาก
‘โอสถกำจายล้ำหรือ?’ เฉินซีรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากและค่อนข้างจะสะเทือนใจ เพราะว่ากันว่าโอสถนี้มีร่องรอยของพลังงานลึกลับกระจายตัวอยู่ และมันสามารถทำให้เกิดผลปราบปรามเมื่อผู้บ่มเพาะเอาชนะบททดสอบแห่งลมและไฟ อีกทั้งยังเป็นสมบัติล้ำค่าที่จะพานพบได้เพียงโชคชะตาเท่านั้น
แม้ว่าโอสถนี้จะเพิ่มโอกาสที่จะบรรลุไปสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางของผู้บ่มเพาะได้เพียงสองส่วน แต่สำหรับผู้บ่มเพาะ ความมั่นใจเล็กน้อยย่อมหมายถึงโอกาสในการประสบความสำเร็จที่มากขึ้น ดังนั้นจึงไม่มีใครครหาว่าสรรพคุณของมันต่ำเกินไป และไม่ต้องกล่าวถึงว่า ในบรรดาตัวอย่างของคนที่ล้มเหลวในการเอาชนะบททดสอบเพื่อบรรลุไปสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ส่วนใหญ่เป็นคนที่ขาดความมั่นใจอีกหนึ่งหรือสองส่วน!
‘อันที่จริง ข้าไม่ได้ขาดแคลนสมบัติเศษระดับปฐพี แต่ถ้าข้าสามารถได้รับโอสถกำจายล้ำนี้ อย่างน้อยมันก็จะสามารถทำให้ข้ามั่นใจได้ถึงเก้าส่วน เมื่อเอาชนะบททดสอบของข้า’ เฉินซีครุ่นคิดอยู่ในใจ
ครั้งหนึ่งเขาเคยคำนวณอย่างตั้งใจ และด้วยการบ่มเพาะของเขาในปัจจุบัน เขามีความมั่นใจที่เขาจะเอาชนะบททดสอบของลมและไฟได้สำเร็จประมาณเจ็ดส่วนเท่านั้น ถ้าเขาสามารถครอบครองโอสถกำจายล้ำ ตราบใดที่ไม่มีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าจะล้มเหลวในการทดสอบ
“ไปหอขุมทรัพย์สวรรค์กันเถอะ” เฉินซีลุกยืนขึ้นทันทีและออกจากโรงเตี๊ยมพร้อมกับมู่ขุย
…
หอขุมทรัพย์สวรรค์ในเมืองเฟิงเย่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมือง และมันสร้างขึ้นจากตำหนักสูงใหญ่ถึงเก้าหลัง ตำหนักทั้งเก้าหลังนี้ล้วนสร้างจากหยกสีเหลืองนวลที่หายาก และถูกจารึกไว้ด้วยอักขระยันต์ต่าง ๆ ที่แผ่พลังงานผันผวนพุ่งสู่สวรรค์ทั้งเก้า
ในขณะนี้ มีผู้บ่มเพาะจำนวนมากเดินเข้าและออกจากหอขุมทรัพย์สวรรค์ ราวกับกระแสน้ำที่ไหลอย่างต่อเนื่อง ทำให้มันดูคึกคักเป็นอย่างมาก
เมื่อเฉินซีมาถึงที่นี่และมองไปที่อาคารขนาดใหญ่ทั้งเก้าหลังที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางสวรรค์และโลก ราวกับพระราชวังสำหรับเซียน เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเทียบกับหอขุมทรัพย์สวรรค์ที่เขาเคยพบก่อนหน้านี้ หอขุมทรัพย์สวรรค์ในเมืองทะเลสาบมังกรและเมืองทะเลหมอกนั้นกลับดูด้อยกว่าและไม่อาจเทียบได้
‘หอขุมทรัพย์สวรรค์… ข้าสงสัยว่าเจ้าของที่อยู่เบื้องหลังมันคือท่านหญิงสุ่ยฮวาหรือมีคนอื่นอีก…?’ เฉินซีข่มใจก่อนจะเดินเข้าไป
ทว่ากลับไม่มีข้ารับใช้มาต้อนรับเขาเลยสักคน
แต่เมื่อทบทวนดูแล้ว กลิ่นอายที่เขาปล่อยออกมาในขณะนี้ อยู่ในขอบเขตเคหาทองคำขั้นสมบูรณ์แบบเท่านั้น และดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับที่นี่ เนื่องจากผู้บ่มเพาะจำนวนมากล้วนแต่มีฐานการบ่มเพาะในระดับเดียวกัน เมื่อรวมกับกิจการที่ครึกครื้นเป็นอย่างมากของหอขุมทรัพย์สวรรค์ในช่วงนี้ ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา แม้แต่ข้ารับใช้ก็ยังไม่เพียงพอ
แน่นอนว่ามันก็มีข้อยกเว้นอยู่เช่นกัน และมีเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเท่านั้นที่จะมีข้ารับใช้ของหอขุมทรัพย์สวรรค์ต้อนรับพวกเขาอย่างอบอุ่น ในขณะที่ผู้บ่มเพาะที่มีฐานการบ่มเพาะต่ำกว่าขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง จะถูกพิจารณาว่าเป็นลูกค้าธรรมดาทั่วไปเท่านั้น
นับว่าโชคดีที่มู่ขุยมีพลังขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง แม้ว่าเขาจะเป็นผู้บ่มเพาะอสูร แต่เขาก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากข้ารับใช้ของหอขุมทรัพย์สวรรค์เช่นเดียวกัน ในขณะที่เฉินซีเองก็ได้ผลประโยชน์จากการคบหากับมู่ขุยแทน และเขาติดตามมู่ขุยเพื่อเดินเข้าไป
“นายท่าน ข้า…” ขณะที่เขาเดินไปข้างหน้า มู่ขุยก็กล่าวผ่านกระแสปราณด้วยความไม่สบายใจเล็กน้อย
“เจ้าอย่าได้คิดมากและทำต่อไป เราจะแลกเปลี่ยนตัวตนกันในครั้งนี้ ข้าจะเป็นข้ารับใช้ที่คอยอยู่เคียงข้างเจ้า” เฉินซียิ้มและไม่ถือสาอะไร
“โอ้” มู่ขุยเกาศีรษะของเขาและรู้สึกมั่นใจมากขึ้น ต่อมาสีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมมากขึ้นขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ และเขาก็สวมบทบาทของ ‘ปรมาจารย์’ อย่างรวดเร็ว
พื้นที่ภายในหอขุมทรัพย์สวรรค์นั้นกว้างใหญ่ และเมื่อเข้าไปข้างใน มันก็เหมือนกับว่ากำลังเดินอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าพื้นที่ภายในถูกขยายโดยผู้ทรงพลัง มีสมบัติวิเศษที่ยอดเยี่ยมถูกวางไว้ที่นี่อย่างมากมายและมีทุกประเภท ตั้งแต่โอสถ สมบัติวิเศษ ตำรา วัตถุวิญญาณและอื่น ๆ ล้วนสามารถพบได้ที่นี่ และผู้บ่มเพาะจำนวนมากก็หลั่งไหลเข้ามาราวกับสายน้ำที่ไหลเชี่ยวเมื่อพวกเขาเดินดูสมบัติเหล่านี้
ทันใดนั้น เฉินซีก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ทรงพลังมากมายอยู่ในหอการประมูล และดูเหมือนว่าพวกมันจะโดดเด่นเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ที่อยู่รอบข้าง
ยิ่งไปกว่านั้น หนึ่งในกลิ่นอายนั้นยังให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยแก่เฉินซีอย่างเล็กน้อย และเมื่อเขาแหงนหน้าขึ้นเพื่อเหลือบมองไปโดยรอบ เขาก็รู้สึกตกตะลึง โดยไม่คาดคิด เขากลับพบกับหลินโม่เซวียน ผู้เป็นศิษย์สายหลักของนิกายสวรรค์ปฐพีที่มีการบ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ในขณะที่รอบตัวเขาก็มีผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางอีกสองสามคนอยู่เคียงข้าง ราวกับหมู่ดาวที่ล้อมรอบดวงจันทร์ที่สว่างไสว ทำให้เขาดูสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง
นิกายสวรรค์ปฐพีเป็นกองกำลังอันดับหนึ่งในเมืองเฟิงเย่ ดังนั้น การที่หลินโม่เซวียนปรากฏตัวที่นี่นั้นก็สมเหตุสมผล ส่วนผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางที่อยู่รอบตัวเขาน่าจะเป็นศิษย์ของนิกายสวรรค์ปฐพีเช่นเดียวกัน ความประหลาดใจวาบขึ้นในใจของเฉินซี จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในฝูงชนและจงใจหลีกเลี่ยงหลินโม่เซวียนและคนอื่น ๆ
แม้ว่าตอนนี้ เขาจะมีความมั่นใจในการฆ่าหลินโม่เซวียนเป็นอย่างมาก แต่สถานที่แห่งนี้ก็ไม่เหมาะที่จะลงมือ อย่างไรก็ตาม ที่แห่งที่นี้ก็อยู่ในอาณาเขตของหลินโม่เซวียน ในขณะที่ตัวเขาเองไม่มีกำลังเสริม เมื่อเขาเคลื่อนไหว เขาอาจจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายไปชั่วนิรันดร์
“นายท่าน ข้ารับใช้คนนั้นถามข้าว่า เราต้องการเลือกซื้อสิ่งใด ข้าควรตอบนางว่าอย่างไรดี” จู่ ๆ มู่ขุยก็ส่งเสียงผ่านกระแสปราณอย่างกระทันหัน
“บอกนางว่าเจ้าต้องการขายสมบัติวิเศษและพวกมันล้วนมีคุณภาพระดับปฐพีขั้นสุดยอด” เฉินซีครุ่นคิดเป็นเวลานานก่อนจะกล่าวช้า ๆ เมื่อครั้งที่เขาอยู่ในห้วงทะเลทรายมรณะ เขาได้แย่งชิงสมบัติวิเศษระดับปฐพีขั้นสุดยอดนับสิบชิ้นจากหวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ สมบัติเหล่านั้น ได้แก่ เตาหลอมจ้าวฟ้าเก้าอสรพิษของหวงฝู่ฉงหมิง กระบี่สวรรค์ปฐพีของหลินโม่เซวียน กระบี่เพลิงวิญญาณของเซียวหลิงเอ๋อร์ และอื่น ๆ อีกมากมาย
สมบัติทั้งหมดนี้มีคุณภาพชั้นเลิศในระดับต้น ๆ แต่ถ้าเขาใช้มันเอง มันจะสร้างปัญหาเป็นอย่างมาก ดังนั้นการขายพวกมันทั้งหมดจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะมันจะช่วยขจัดปัญหาให้แก่เขา นอกจากนี้เขาก็จะยังได้รับความมั่งคั่งจำนวนมาก เพื่อใช้ในการประมูลในอีกสามวันนับจากนี้
“ต้องการขายสมบัติวิเศษระดับปฐพีขั้นสุดยอดหรือเจ้าคะ?” ดวงตาของข้ารับใช้หญิงเป็นประกายและรอยยิ้มของนางก็มีเสน่ห์ยิ่งขึ้นเมื่อนางประสานมือให้พวกเฉินซี “ผู้อาวุโสโปรดติดตามข้ามา เรามีห้องรับรองพิเศษไว้บริการลูกค้าเช่นท่าน” ข้ารับใช้หญิงเดินนำเฉินซีกับมู่ขุยเข้าไปในห้องรับรองพิเศษ ก่อนจะจากไปอย่างเงียบ ๆ และมีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในห้องที่ว่างเปล่า
ห้องรับรองพิเศษนี้กว้างใหญ่เป็นอย่างมาก อีกทั้งการตกแต่งก็สวยงามและยิ่งใหญ่ พื้นถูกปูด้วยพรมสีแดงเข้ม กระถางธูปทองเหลืองปล่อยควันที่ขดตัวขึ้นไปในอากาศ และโคมไฟแสงจันทร์ที่สว่างไสวแขวนไว้ทั่วห้อง ในขณะที่ส่องแสงนุ่มนวลซึ่งเย็นสบายเหมือนน้ำ บนผนังห้องแขวนม้วนภาพที่แสดงถึงต้นสนและนกกระเรียนที่ประกอบขึ้นจากรูปแบบต่าง ๆ ของตัวอักษร ‘寿’ พวกมันล้วนถูกเขียนด้วยลายเส้นที่แข็งแรงและมีรูปแบบที่ไร้ขอบเขต และทุก ๆ จังหวะของการเขียน เผยให้เห็นกลิ่นอายอันกว้างใหญ่อย่างแผ่วเบา
สิ่งนี้อาจวาดโดยผู้บ่มเพาะที่เข้าสู่เส้นทางสู่เต๋าโดยการวาดภาพและการประดิษฐ์ตัวอักษร และกลิ่นอายที่พลุ่งพล่านบนยอดควรเป็นตราประทับวิญญาณที่จิตรกรศักดิ์สิทธิ์คนนั้นทิ้งไว้เบื้องหลังในเต๋าแห่งการวาดภาพ เฉินซีสังเกตอย่างเงียบ ๆ และเขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความรู้สึกที่หลากหลายอยู่ในใจ หอขุมทรัพย์สวรรค์นั้นมั่งคั่งเป็นอย่างมาก แม้แต่สมบัติเช่นนี้ก็กลายเป็นของตกแต่งที่แขวนอยู่ที่นี่
“นายท่าน ท่านต้องการขายสมบัติวิเศษระดับปฐพีขั้นสุดยอดจริงหรือขอรับ?” มู่ขุยถาม
“สมบัติเหล่านั้นถูกข้ายึดมาและทำให้เจ้าของของพวกมันเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง หากข้าใช้พวกมันเอง ข้าเกรงว่ามันจะสร้างปัญหาใหญ่ขึ้น ดังนั้นการขายมันทิ้งน่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า” เฉินซีตอบอย่างสบาย ๆ จากนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างออกและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มู่ขุย เจ้ายังขาดอาวุธที่เหมาะสมกับเจ้าใช่หรือไม่? ไม่ต้องกังวล ข้าจะซื้อสมบัติที่ดีกว่านี้ให้แก่เจ้า หลังจากที่เราขายสมบัติเหล่านี้แล้ว”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอขอบคุณนายท่านสำหรับความเมตตา” มู่ขุยเกาศีรษะของเขาขณะที่หัวเราะอย่างเขินอาย เนื่องจากเห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เฉินซีกล่าวมานั้นตรงกับความต้องการในใจของเขา ทำให้เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก
“สหายเต๋ามู่ขุย อยู่ที่นี่หรือไม่?” ขณะที่เฉินซีและมู่ขุยกำลังพูดคุยกันอยู่ ทันใดนั้น ที่นอกห้องรับรองอันงดงามก็มีเสียงหนึ่งก็ดังเข้ามาอย่างช้า ๆ ราวกับเสียงของสวรรค์
[1] ใบเฟิง คือ เมเปิล ดังนั้นเมืองเฟิงเย่จึงแปลว่า เมืองแห่งเมเปิล