บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 282 สนามพลัง
บทที่ 282 สนามพลัง
บทที่ 282 สนามพลัง
การที่จู่ ๆ เฉินซีก็โผล่เข้ามาทำให้ทุกคนชะงักงัน
“ผู้อาวุโส!” ดวงตาฉายความประหลาดใจระคนปลื้มปีติของฉินอวี้เหว่ยมีน้ำตาคลอเบ้าจวนจะหยดลงมาเต็มที ราวกับนางได้พบกับที่พึ่งอันเป็นหลักพักพิงได้แล้ว กระทั่งความวิปโยคโศกเศร้าและหมดอาลัยตายอยากก็หายวับไปอย่างสิ้นเชิง
“หลัวถง คารวะผู้อาวุโส” หลัวถงผู้มีรูปร่างสูงและกำยำแข็งแรงบุ้ยปากเล็กน้อยก่อนที่จะเอ่ยเบา ๆ ในใจของเขารู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ที่สำคัญคือมันได้เผยความรู้สึกขอบคุณจากใจจริงออกมา
ปัจจุบันนี้ตระกูลฉินเสื่อมถอยลงและสูญเสียความรุ่งเรืองและเฟื่องฟูเฉกเช่นในอดีตมานานแล้ว ก็อย่างที่ผู้ดูแลพูดว่า หงส์ที่ไร้ขนมันก็เป็นได้แค่ไก่เท่านั้น ไม่มีใครสนใจว่าใครคือหลัวถง ไม่มีใครเห็นใจคุณหนูใหญ่แห่งบ้านตระกูลฉินอย่างฉินอวี้เหว่ย และก็มีก็แต่คนจะฉวยโอกาสดูถูกให้เจ็บช้ำน้ำใจมากกว่า
อย่างเจ้าผู้ดูแลที่กล่าวเย้ยหยันอย่างไม่ไยดีต่อหน้าพวกเขา ซือคงฮวาฉวยโอกาสข่มขู่และบีบบังคับพวกตน ขณะที่ผู้คนรอบข้างเอาแต่มองดูดายโดยไม่ทำอะไรเลย ซึ่งทั้งหมดนี้แสดงออกอย่างชัดเจนถึงสถานการณ์ของหลัวถงและฉินอวี้เหว่ย
ผิดกับเฉินซีที่เป็นคนมาพบกับพวกเขาโดยบังเอิญ อีกทั้งยังเคยช่วยชีวิตตนไว้ด้วย วันนี้ชายหนุ่มได้ยื่นมือเข้ามาช่วยอีกครั้งแล้วจะไม่ให้หลัวถงรู้สึกสำนึกบุญคุณอย่างไรได้
ยามนี้กลายเป็นซือคงฮวามีสีหน้าคล้ำหมอง ในขณะนั้นเขาชำเลืองมองเฉินซีตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าก่อนจะแผดเสียงหัวเราะดังลั่น “พี่ชาย หน้าตาของเจ้าไม่คุ้นเสียเลย คงไม่ใช่คนของเมืองเฟิงเย่สินะ ข้าขอเตือนว่าอย่าจุ้นจ้านกับเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นเจ้าเองจะเดือดร้อน”
“นี่แขก เจ้าดูหน้าตาอ่อนเยาว์คงไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของตระกูลซือคงสินะ ที่นี่นอกจากนิกายสวรรค์ปฐพีแล้ว ตระกูลซือคงก็มีอำนาจที่สุดในเมืองเฟิงเย่ และนายน้อยซือคงฮวาผู้นี้ก็เป็นนายน้อยรองแห่งตระกูลซือคง สถานะของท่านสูงส่งชนิดที่คนอย่างเจ้าไม่อาจเอื้อมทีเดียว ทางที่ดีอย่าเข้ามาวุ่นวายจะดีกว่า” ผู้ดูแลที่ยืนอยู่ใกล้เคียงพูดออกมาบ้าง เขาเองสังเกตเห็นว่าเครื่องแต่งกายของเฉินซีไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไปจึงปรับน้ำเสียงให้ฟังอ่อนโยนลงเล็กน้อย แต่วาจาก็ยังเข้าข้างซือคงฮวาอยู่นั่นเอง
เฉินซียังคงมองนิ่งขณะพยักหน้าให้ฉินอวี้เหว่ยและหลัวถง ก่อนจะหันไปถามผู้ดูแลเสียงเรียบว่า “ชิ้นส่วนพฤกษาจิตบำรุงวิญญาณที่มีอายุหนึ่งหมื่นปีนั่นเป็นอย่างไร”
ผู้ดูแลอึ้งไปนิดหนึ่งทว่าตอบออกมาว่า “ไม่น้อยเลย ด้วยเป็นของหายากจึงถูกเก็บรักษาอย่างดี คุณภาพนั้นถือว่าเป็นชิ้นที่ดีที่สุด”
คนฟังทำท่าถอนใจพลางส่ายหน้า “เจ้ามัวยืนเฉยทำอะไร หรือว่าจะไม่ได้ยินที่ข้าพูดก่อนหน้า ผู้ดูแลหอขุมทรัพย์สวรรค์ปฏิบัติต่อแขกอย่างนี้เองหรือ”
คนเป็นผู้ดูแลทำท่ากระอึกกระอักเหมือนไม่ค่อยแน่ใจ โดยทั่วไปตำแหน่งของผู้ดูแลหอขุมทรัพย์สวรรค์นั้นมีสถานะแตกต่างจากคนรับใช้ก็จริงหากแต่มิได้สูงส่งอย่างใด แต่อย่างน้อยเขาก็สามารถใช้ชื่อเสียงของหอขุมทรัพย์สวรรค์มาบังหน้าได้บ้าง แต่นึกไม่ถึงว่าเฉินซีจะไม่ยอมไว้หน้ากันบ้าง และยิ่งมาใช้ความเป็นแขกของที่นี่มาพูดจากดดันเช่นนี้ทำให้เขาโกรธจัดจนแทบกระอักเลือดทีเดียว
แต่ปฏิกิริยาของเฉินซีก็ทำให้เขาไม่อาจโต้แย้งได้ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำ เขาเป็นเพียงผู้ดูแลหอขุมทรัพย์สวรรค์ เมื่อเทียบความต่ำต้อยก็ไม่ต่างกับคนรับใช้ทั่วไป ในสายตาของพวกคนที่มีอำนาจมากล้น ยังมองว่าเขาต่ำต้อยด้อยค่ายิ่งกว่ามดปลวกด้วยซ้ำ ดังนั้นพวกเขาจะรังแกได้แต่คนธรรมดาสามัญที่ไม่ได้มีพลังแกร่งกล้าหรือภูมิหลังเท่านั้น
“ฮึ่ม! เห็นความหวังดีของข้าเป็นเจตนาร้ายอย่างนั้นหรือ เจ้ากำลังรนหาที่ตายเสียแล้ว…” สุดท้ายเจ้าผู้ดูแลจ้องมองเฉินซีอย่างไม่พอใจ ก่อนจะนำอัญมณีอำพันทะเลไปแลกเปลี่ยน ทว่ายังมีเสียงพึมพำอย่างไม่เต็มใจดังแว่วมา
“นายท่าน จะให้ข้าจัดการสังหารไอ้สารเลวคนนี้หรือไม่ เจ้าผู้ดูแลต่ำต้อยบังอาจดูถูกท่านอย่างนี้…มันน่านัก!” ดวงตาเขียวปั้ดที่แฝงความเย็นชาและเหี้ยมเกรียมของมู่ขุยจ้องเขม็งไปยังผู้ดูแลสาดประกายวาววับ
“ช่างมันเถอะ” เฉินซีส่ายหน้า เป็นเรื่องไร้สาระเกินกว่าที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับผู้ดูแลที่ชอบดูถูกดูแคลน กอปรกับตอนนี้เขาอยู่ในหอขุมทรัพย์สวรรค์ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับที่เขาได้รับผลประโยชน์มากมหาศาลจากย่าชิงก่อนหน้านี้ เมื่อนึกถึงย่าชิงแล้ว เขาจึงไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผู้ดูแลคนนี้
“เด็กน้อย อยากแส่เข้ามาวุ่นวายเรื่องของของตระกูลซือคงอย่างนั้นหรือ” ตอนนั้นท่าทีของซือคงฮวาส่อเค้าว่าจะเป็นลางร้ายด้วยในใจเกิดแรงปะทุของเจตจำนงสังหาร ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้เฉินซีไม่แม้แต่จะชำเลืองมอง อีกทั้งยังไม่สนใจว่าเขายืนอยู่ตรงนั้นเลยด้วยซ้ำ ในฐานะนายน้อยรองของตระกูลซือคง เขาเคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เสียที่ไหน มากไปแล้ว!
“อยากลองดีสินะ ผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำตัวกระจ้อยร่อยกล้ากำแหงอวดอ้างพลังต่อหน้าท่านปู่มู่ขุยอย่างนั้นหรือ” มู่ขุยไม่อาจยับยั้งความโกรธเคืองที่ก่อตัวมาพักใหญ่ สายตาที่เขม้นมองซือคงฮวาเต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย ไม่ปิดบังเจตนาสังหารที่แฝงอยู่ภายในแม้แต่น้อย
“จะ…เจ้ากล้าดีอย่างไร” ซือคงฮวาระเบิดเสียงร้องลั่น ทว่าแรงกดดันจากกลิ่นอายอันน่าเกรงขามที่เปล่งออกมาจากมู่ขุย ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวไม่น้อย ดังนั้นแม้ความขัดเคืองจะอัดแน่นในใจเพียงใด แต่เขาก็ยังไม่กล้าลงมือทันที ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าและเปล่งเสียงหัวเราะอย่างเย็นชา “ดี…ดี…ดี! ข้าจะจำเจ้าทั้งสองคนไว้ให้ดีเมื่อไรที่เจ้าสองคนออกจากเมืองเฟิงเย่ละก็ ข้า…ซือคงฮวาจะทำให้เจ้าต้องทิ้งชื่อแซ่ทีเดียว!”
คนคนนี้ค่อนข้างมีหัวคิดจึงรู้ว่าทำอะไรในหอขุมทรัพย์สวรรค์คงไม่เหมาะแน่ ดังนั้นเมื่อพูดจบจึงหันขวับกลับออกไปทันที
“ไหนนะ เจ้าจะตามหาชื่อแซ่ของข้าอย่างนั้นหรือ ถุย! บนโลกยังมีคนเช่นนี้ด้วย อะไรกันวะ?” คำพูดของมู่ขุยแสดงความดูถูกเหยียดหยามอย่างยิ่ง
ขณะนั้นซือคงฮวาเพิ่งจะก้าวออกจากหอขุมทรัพย์สวรรค์ ทันทีที่ได้ยินคำพูดของมู่ขุย ทำให้เขาถึงกับโกรธจนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง เสียงตะโกนก้องอยู่ในใจอย่างบ้าคลั่งจนเจ้าตัวแทบกระอักโลหิต ‘รอก่อนเถอะ! ข้าจะฉีกร่างของพวกเจ้าออกเป็นชิ้น ๆ จะได้ตายอย่างทุกข์ทรมานคอยดู!’
“นายท่าน คงไม่ตำหนิที่ข้าใจร้อนวู่วามใช่หรือไม่?” มู่ขุยหันกลับมาถาม ใบหน้าดูไร้เดียงสาขณะที่ยืนเกาหัวแกรกพร้อมกับส่งยิ้มซื่อ ๆ
เฉินซียิ้มตอบ “เจ้าไม่ได้ฆ่ามัน จึงไม่ถือว่าวู่วามสักหน่อย”
“ผู้อาวุโส ท่านต้องเดือดร้อนเพราะข้า ตอนนี้ท่านทำให้คนตระกูลซือคงขุ่นเคืองเสียแล้ว ทะ…ท่านต้องรีบไปจากเมืองเฟิงเย่โดยเร็ว ไปเสียตอนนี้ก็ยังทัน” ฉินอวี้เหว่ยพูดรัวเร็วด้วยความหวาดวิตก เพราะนางรู้ดีว่าตระกูลซือคงน่ากลัวเพียงใด คนระดับผู้อาวุโสของตระกูลล้วนเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติทั้งสิ้น และยังมีผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาที่คอยดูแลเรื่องราวภายใน จึงทำให้พวกเขาเป็นกองกำลังที่น่ากลัวและเป็นรองเพียงนิกายสวรรค์ปฐพีเท่านั้น
สิ่งที่นางกังวลก็คือ แม้ว่าเฉินซีจะสร้างความขุ่นเคืองให้แก่ซือคงฮวา แต่ก็มิได้ทำให้ผู้อาวุโสของตระกูลซือคงต้องออกมาจัดการด้วยตัวเอง ถึงอย่างนั้น ผู้บ่มเพาะที่ตระกูลซือคงส่งมาก็หาใช่คนที่เฉินซีจะสามารถต่อกรได้ง่ายดายแน่ ดังนั้นในใจของนางจึงอดเป็นห่วงเขาไม่ได้
“ผู้อาวุโส คุณหนูพูดไม่ผิด ท่านควรหนีไปเสียโดยเร็วไม่งั้นจะสายเกินแก้” หลัวถงก็ยืนกรานที่จะให้เฉินซีจากไปเช่นกัน
เฉินซียกยิ้มที่มุมปาก แต่ไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธ
ในขณะนั้นผู้ดูแลได้นำอำพันทะเลมาส่งให้ อำพันทะเลที่ว่านี้มีลักษณะกระจ่างใสดั่งไข่มุกและเป็นอำพันผลึกใสแจ๋ว เนื่องจากขัดเกลาด้วยปทุมโลหิตหยกนิล ชิ้นส่วนพฤกษาจิตบำรุงวิญญาณ และสมุนไพรอีกไม่กี่ชนิด ทว่าผลของมันน่าตกใจนัก เนื่องจากสามารถคืนความทรงจำและฟื้นฟูจิตวิญญาณได้ อำพันทะเลหนึ่งหยดสามารถซื้อขายในตลาดด้วยโอสถกลั่นแรกเริ่มหนึ่งหมื่นเม็ด แต่ด้วยความที่เป็นของที่มีมูลค่าจึงไม่มีในคลังสินค้าและส่วนใหญ่หาซื้อไม่ได้ด้วย
ยกตัวอย่างเช่น ที่หอขุมทรัพย์สวรรค์จะไม่ทำการซื้อขายอำพันทะเลโดยสิ้นเชิง จะมีเพียงการนำปทุมโลหิตหยกนิลหรือชิ้นส่วนพฤกษาจิตบำรุงวิญญาณมาแลกเปลี่ยนเท่านั้น
“ผู้อาวุโส โปรดรอสักครู่ ข้ามีอะไรจะให้เจ้าค่ะ” ภายหลังจากที่เขามอบอำพันทะเลให้กับฉินอวี้เหว่ยแล้ว ขณะที่เฉินซีตั้งท่าจะพามู่ขุยกลับออกไป ทันใดนั้นมีเสียงของฉินอวี้เหว่ยเรียกให้เขาหยุดฝีเท้าตอนที่กำลังจะก้าวออกจากหอขุมทรัพย์สวรรค์พอดี
สตรีสวมชุดสีเขียวหยกผู้มีท่วงท่าอ่อนช้อยปรากฏตัวออกมา ในมือประคองบางอย่างที่มีลักษณะเหมือนหยกขาว แลดูคล้ายกับกระดูกชิ้นส่วนอะไรสักอย่างที่มีสีขาวบริสุทธิ์ด้วยท่าทางระมัดระวังอย่างยิ่ง
“สิ่งนี้เป็นสมบัติของบรรพบุรุษตระกูลฉินเราที่ตกทอดต่อกันมา แต่ยังไม่มีใครสามารถล่วงรู้ความลับของสิ่งนี้ ตระกูลฉินของข้าเสื่อมสลายไปแล้ว ของมีค่าที่เหลือจึงมีเพียงสิ่งนี้เท่านั้น ผู้อาวุโสโปรดรับไว้ด้วย” ฉินอวี้เหว่ยพูดอย่างแน่วแน่
“ในเมื่อเป็นของที่ตระกูลของเจ้าสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ฉะนั้นเจ้าก็ควรเก็บรักษาเอาไว้ ข้าไม่ได้ช่วยเจ้าเพราะเห็นแก่สมบัติล้ำค่าของตระกูลเจ้าหรอกนะ” เฉินซีสั่นศีรษะปฏิเสธ
“ผู้อาวุโส ถ้าท่านไม่ยอมรับไว้ ต่อไปข้าคงไม่มีปัญญาตอบแทนบุญคุณที่ท่านเคยช่วยชีวิตข้าได้ ท่านอยากเห็นข้าต้องอยู่กับความไม่สบายใจไปตลอดชีวิตหรือเจ้าคะ” ฉินอวี้เหว่ยพูดแล้วก็วางของในมือลงบนมือเฉินซี จากนั้นจึงหมุนตัวผละจากไปอย่างรวดเร็ว
“ผู้อาวุโส เวลานี้ถึงคราวคับขัน ข้ากับคุณหนูต้องกลับไปช่วยผู้นำตระกูลเสียก่อน ถ้ามีโอกาสอีกหน่อยหลัวถงจะกลับมาตอบแทนบุญคุณของท่านแน่นอน” หลัวถงประสานกำปั้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมก่อนจะผละตามฉินอวี้เหว่ยไป
ทิ้งให้เฉินซียืนอึ้งตะลึงงันมองตามคนเหล่านั้นไปก่อนจะส่ายหน้าเล็กน้อย
…
ภายในห้องรับรองแขกพิเศษของโรงเตี๊ยม
‘เอ…สิ่งนี้แปลกพิกลจริง ๆ’ เฉินซีนั่งขัดสมาธิอยู่บนที่นอน ขณะนั้นชายหนุ่มกำลังดูเศษกระดูกชิ้นแบนบนฝ่ามือของตนเองอย่างพิจารณา แววตาดูประหลาดใจเต็มที่
ลักษณะของมันเหมือนหยกขาวบริสุทธิ์ทั้งยังโปร่งแสง เมื่อลองลูบเบา ๆ จึงสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลและเย็นจัดจนถึงกระดูกทีเดียว หากถือเอาไว้ในมือจะให้ความรู้สึกอุ่นสบายอย่างบอกไม่ถูก
สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือบนพื้นผิวของมันปรากฏรอยอักขระหนาแน่นไปหมด ประหนึ่งดวงดาวที่แน่นหนาบนท้องฟ้ากระนั้น ราวกับว่ามันคืออักขระยันต์ที่ปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระสักคนหนึ่งสลักเสลาเอาไว้ อีกทั้งมันยังปลดปล่อยกลิ่นอายวังเวงที่มาพร้อมกับเสียงสวดมนต์ดังแผ่ว เมื่อฟังแล้วพลันสั่นคลอนไปถึงจิตวิญญาณของคนที่ได้ยินทีเดียว
‘เผ่าพันธุ์ใดกันหนอจึงเจริญเติบโตมาพร้อมกับรอยอักขระล้ำลึกในกระดูกเช่นนี้ เทพอสูรอย่างนั้นหรือ หรือจะเป็นพวกที่สูญพันธุ์ไปนานนมแล้วกระมัง’ เฉินซีครุ่นคิดด้วยความเสียใจ ‘น่าเสียดายที่ข้าดูไม่ออกเลยว่าในอักขระกระดูกยังมีพลังผนึกไว้หรือสลายไปจนสิ้นแล้ว ไม่เห็นมีร่องรอยเลยสักนิด’
ชายหนุ่มครุ่นคิดต่อไปอีกเพียงครู่เดียว ก่อนจะเก็บชิ้นกระดูกสีขาวบริสุทธิ์ไว้ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์และปกปิดอย่างมิดชิด ความรู้สึกลึก ๆ ในใจบอกกับตนเองว่าบางทีเขาอาจจะไขความนัยที่อยู่ในนั้นได้สักวัน
เพื่อไม่ให้ชักช้าเสียเวลาเกินไป เฉินซีจึงหยิบแผ่นหยกเพลงหมัดมหาทำลายล้างออกมาและตั้งใจเรียนรู้อย่างจริงจัง
ปัจจุบันในแผ่นหยกมีปรากฏเพียงสองกระบวนท่าเท่านั้นคือทลายพิภพและทลายโกลาหล ส่วนกระบวนท่าที่สาม ‘ทลายนิรันดร์’ ยังคงอยู่ในสภาพเลือนราง และเขาคงสอดส่องเข้าไปไม่ถึงความล้ำลึกอันสูงส่งของมัน ก่อนที่พลังความแข็งแกร่งของเขาจะไต่ถึงระดับที่แน่นอน
ขณะที่เขาอยู่ในเมืองหมอกสน เฉินซีได้เรียนรู้และเข้าใจเกี่ยวกับเพลงหมัดมหาทำลายล้างแล้ว และยังรู้ถึงกลเม็ดแพรวพรายบางอย่างที่จะใช้ประโยชน์จากเจตจำนงเต๋า และเขาก็สามารถใช้เจตจำนงเต๋าแห่งไฟและสายน้ำในการออกพลังทลายพิภพได้ แต่เขาก็ยังขาดความรู้เกี่ยวกับบางอย่าง อีกทั้งยังรับรู้ถึงสาระสำคัญของมันเพียงแค่เจ็ดในสิบส่วนเท่านั้น
สำหรับกระบวนท่าที่สอง ‘ทลายโกลาหล’ เขายังคงไม่มีวี่แววใด ๆ เลยแม้แต่น้อย เดิมทีเฉินซีตั้งใจจะใช้เจตจำนงเต๋าแห่งหยินหยางของเพลงหมัดมหาทำลายล้างในกระบวนท่าที่สองนี้ แต่ไม่ว่าเขาจะสรุปอย่างไรก็ไม่อาจเข้าถึงใจความสำคัญของมันได้ เขาจึงจำใจละจากมันชั่วคราว และหันไปทุ่มเทความคิดให้กับกระบวนท่าแรกอย่างทลายพิภพเท่านั้น
วาบ!
เฉินซีค่อยกำมือเข้าหากันอย่างช้า ๆ ขณะนั้นสีแดงฉานของเปลวเพลิงและสีฟ้ากระจ่างของน้ำก็วูบขึ้นมาปรากฏบนสันกำปั้นของเขาอย่างรวดเร็ว สุดปลายของสองด้านคือเจตจำนงเต๋าแห่งไฟและสายน้ำ ทั้งสองส่วนไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกันและปฏิเสธซึ่งกันและกัน ดังเช่นคู่ปรับกระบี่
ปราณแท้สีขาวขุ่นเคลื่อนไปตามเส้นลมปราณบนแขนของเขา การเคลื่อนที่สัมพันธ์กับจิตใจ ในขณะนั้นมันค่อย ๆ เคลื่อนอย่างเชื่องช้าไปตามสันกำปั้นของเขา ก่อนจะพุ่งเข้าสู่เจตจำนงเต๋าแห่งไฟและสายน้ำ
ปราณแท้เปรียบดั่งอสรพิษเลื่อนไหลและเลื้อยไปมาในเปลวไฟและสายน้ำ
ปราณแท้ค่อย ๆ เข้าเติมเต็มเจตจำนงเต๋าทั้งสอง ด้วยการควบคุมของเฉินซี พวกมันโคจรไปรอบ ๆ จนเกิดเป็นกระแสไฟวนและกระแสน้ำวน จากนั้นพลังแรงดึงดูดก็ถูกปลดปล่อยออกมาจากกระแสวนของสองขั้วองค์ประกอบ
ที่น่าตื่นตะลึงก็คือ แรงดึงดูดซึ่งแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงทั้งสองขั้วเกิดเป็นร่องการเชื่อมต่อระหว่างกัน จากนั้นพลันปรากฏสนามพลังก่อตัวขึ้นบนสันกำปั้น การปรากฏตัวของสนามพลังส่งให้อากาศบริเวณใกล้เคียงถล่มทลายลงทันที…
ปราณวิญญาณแห่งฟ้าดินในบริเวณนั้นถูกสนามพลังที่ว่าสูบเข้าไปทันที ทำให้สนามพลังกลายเป็นเสมือนวัตถุชิ้นหนึ่งที่ให้ความรู้สึกหนักหน่วงแก่ผู้คนเป็นอย่างมาก
สิ่งนี้เป็นสนามพลังอย่างหนึ่งที่เกือบจะเหมือนกับเขตแดนเต๋า เพียงแต่มันถูกกลั่นออกมาจากปราณแท้ก่อนจะผสานกับสองเจตจำนงเต๋าที่ต่างขั้วกันโดยสิ้นเชิง
แววตาของเฉินซีเปล่งประกายวาววับ เวลานั้นจิตสัมผัสเทพก็ค่อย ๆ เผยให้เห็นร่องรอยขึ้นมา ส่วนเจ้าตัวกำลังจดจ่ออยู่กับสัมผัสรับรู้ใน ‘สนามพลัง’ ที่เปลี่ยนไปซึ่งปรากฏอยู่ ณ ขณะนั้น
เขาสัมผัสได้ว่ามีร่องรอยของแรงดึงดูดออกมาจากกระแสวน สองพลังที่รุนแรงต่างขั้วกันของไฟและน้ำเชื่อมโยงกันและกัน ก่อนจะเกิดภาวะสมดุลขึ้น
สิ่งนี้จึงสามารถสรุปได้ว่า ยิ่งเขาทุ่มเทปราณแท้ลงไปมากเท่าไร สนามพลังก็จะยิ่งทวีกำลังแรงแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น เมื่อพลังพุ่งขึ้นถึงขีดสุด ทั้งการเชื่อมโยงและภาวะสมดุลภายในสนามพลังจะถูกทำลายทันที ทำให้เกิดการประสานงากันระหว่างน้ำกับไฟ และพลังต่างขั้วทั้งสองที่ปะทะกันจะทำให้เกิดแรงระเบิดอันน่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด!
พลังทำลายล้างที่ก่อตัวขึ้นจากสนามพลังที่ไร้รูปทรงมาบรรจบกัน ต่อมาพลังที่ต่างขั้วกันสองพลังจึงเกิดการปะทะกัน ซึ่งตรงนี้เองเป็นจุดที่เกิดการปรากฏของพลังที่แท้จริงแห่งเพลงหมัดมหาทำลายล้างที่ชื่อว่า ‘ทลายพิภพ’
‘เมื่อกระบวนท่านี้ถูกนำไปใช้ อย่างน้อยก็ไม่ด้อยกว่ากระบวนยุทธ์ระดับเต๋าชนิดอื่นและอาจจะแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ ข้าหยั่งรู้แก่นแท้ของมันได้เพียงเจ็ดในสิบส่วนเท่านั้น จึงยังข้องใจว่าถ้าเข้าใจกระบวนท่านี้โดยสมบูรณ์ มันจะน่าเกรงขามสักเพียงใด…’ ภายในห้องรับรองพิเศษที่มืดมิด กระแสวนของเปลวไฟและสายน้ำสาดประกายวูบวาบสีแดงและสีน้ำเงินสะท้อนเข้าไปในดวงตาของเฉินซี ดูราวกับเทพผู้หยั่งรู้น้ำและไฟกระนั้น