บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 297 กลยุทธ์ยันต์
บทที่ 297 กลยุทธ์ยันต์
บทที่ 297 กลยุทธ์ยันต์
หย่งหลินไม่สนใจเฉินซีที่ฉีกยันต์เลิศล้ำโล่มังกรอำพัน แม้ว่ายันต์เลิศล้ำขั้นสูงนี้จะทรงพลังมากจนสามารถป้องกันการโจมตีแรกของเขาได้ แต่มันย่อมไม่สามารถหยุดการโจมตีครั้งที่สองของเขาได้อย่างแน่นอน
ที่เขามีความมั่นใจเช่นนี้เพราะเขาเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติคนหนึ่ง ไม่ว่าพลังของยันต์เลิศล้ำขั้นสูงจะน่ากลัวมากเพียงใด มันก็เทียบได้กับขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นเรื่องที่รู้กันทั่วไปอยู่แล้วว่ายันต์ประเภทต่าง ๆ นั้นล้วนเป็นเพียงสมบัติวิเศษที่ใช้ออกได้เพียงครั้งเดียว หลังจากใช้งานแล้ว เมื่อผ่านไปชั่วขณะหนึ่งพวกมันก็จะหายไปเอง ด้วยสถานการณ์ในยามนี้ มันจึงไม่เพียงพอที่จะพลิกสถานการณ์ได้เลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขากวาดตาผ่านยันต์ในมือของเฉินซีโดยไม่ได้ตั้งใจ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างทันที
นั่นมัน…
ยันต์มากมายอย่างน้อยเจ็ดถึงแปดแผ่นส่องแสงหลากหลาย ทั้งแดงเข้ม ทอง ดำ ฟ้า… แต่ละแผ่นล้วนปกคลุมไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ทอออกมาจากอักขระยันต์ และเต็มไปด้วยพลังของเต๋ารู้แจ้ง
ดวงตาของหย่งหลินเฉียบคมอย่างมาก เขาสามารถบอกได้อย่างรวดเร็วว่ายันต์เหล่านี้ล้วนเป็นยันต์เลิศล้ำระดับสูง! พลังของเต๋ารู้แจ้งที่พวยพุ่งออกมาทำให้เขาถึงกับสะดุ้งเฮือก
สวรรค์! เจ้าตัวบัดซบนี้เป็นพ่อค้าขายยันต์หรืออย่างไร!?
ไม่มีทาง! แม้มันจะเป็นพ่อค้าขายยันต์ แต่ก็คงไม่มีพ่อค้าคนใดจะยินดีควักยันต์เลิศล้ำขั้นสูงจำนวนมากออกมาใช้ทิ้งขว้างในคราวเดียวเช่นนี้หรอก ถูกไหม?
ตามความรู้ของหย่งหลิน มูลค่าของยันต์เลิศล้ำขั้นสูงนั้นอย่างน้อยก็ประมาณห้าหมื่นโอสถกลั่นแรกเริ่ม ซึ่งเพียงพอที่จะซื้อสมบัติวิเศษระดับปฐพีธรรมดาได้สักชิ้น หากคำนวณโดยใช้สิ่งนี้เป็นบรรทัดฐาน ยันต์ที่อยู่ในมือของไอ้คนผู้นั้นอย่างน้อยก็มีมูลค่าเทียบเคียงได้กับโอสถกลั่นแรกเริ่มสี่แสนเม็ดโดยประมาณแล้วมิใช่หรือ?
ในตอนนี้แม้แต่ดวงตาของหย่งหลิน ผู้เป็นถึงผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติที่ได้รับการยอมรับก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาและรู้สึกปากแห้งขึ้นมาด้วยความโลภ มูลค่าของยันต์เหล่านั้นเกือบเท่ากับครึ่งหนึ่งของความมั่งคั่งที่เขามี!
ไม่เพียงแต่หย่งหลินเท่านั้น แม้แต่ซือคงเหินที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็ตกตะลึงไปแล้วเช่นกัน
ตระกูลซือคงถือได้ว่าเป็นกองกำลังที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเมืองเฟิงเย่ พวกเขามีภูมิหลังที่ลึกซึ้งและความมั่งคั่งที่น่าอัศจรรย์ จนเป็นรองเพียงนิกายสวรรค์ปฐพีเท่านั้น ในฐานะนายน้อยของตระกูลซือคง เขาแทบไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีเงิน ทว่าหลังจากได้เห็นยันต์เลิศล้ำขั้นสูงที่อยู่ในมือของเฉินซีแล้ว จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองจนราวกับขอทาน
ฟุ่มเฟือยเกินไปแล้ว!
แค่ยันต์เลิศล้ำขั้นสูงในตลาดเพียงแผ่นเดียวก็มีราคาแพงจนน่าขันแล้ว ไม่ใช่เพียงเพราะพวกมันทรงพลังมากเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระที่สามารถสร้างยันต์เลิศล้ำขั้นสูงได้นั้นมีน้อยเกินไป และยังไม่นับรวมกับราคาของวัสดุที่ใช้อีก เป็นผลให้จำนวนยันต์เลิศล้ำขั้นสูงในตลาดนั้นน้อยนิดจนหาได้ยากยิ่ง
ดังคำกล่าวที่ว่า ของหายากเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด สำหรับผู้บ่มเพาะธรรมดาทั่วไป พวกเขาย่อมไม่สามารถซื้อได้ ในขณะที่ผู้บ่มเพาะที่มีความมั่งคั่งมากมายก็ยังซื้อได้เพียงแผ่นถึงสองแผ่นเท่านั้น หากมากไปกว่านี้ มีแต่จะทำให้พวกเขารู้สึกเจ็บปวดมากเวลาต้องควักเงินจ่าย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การที่เฉินซีสามารถดึงยันต์เลิศล้ำขั้นสูงออกมาใช้ถึงเจ็ดแปดแผ่นในคราเดียวได้ จึงสร้างความตกใจและความอิจฉาให้กับซือคงเหินไม่น้อย
หากสหายผู้นี้ไม่ใช่ผู้บ่มเพาะซึ่งเชี่ยวชาญในการสร้างยันต์ ก็คงต้องเป็นผู้มีภูมิหลังของตระกูลแข็งแกร่งและมั่งคั่งที่ชวนให้น่าตกใจยิ่ง!
ซือคงเหินเงียบไป ไม่ว่าจะคาดเดาได้แบบใด คนผู้นี้ก็ต้องมีผู้ที่มีความมั่งคั่งมหาศาลสนับสนุนอยู่ เพราะอย่างไรปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระก็ถือเป็นอาชีพที่เผาผลาญเงินมากเช่นกัน การต่อสู้กับคู่ต่อสู้เช่นนี้น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก ถึงความแข็งแกร่งของปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระในการต่อสู้จะเรียกได้ว่าอ่อนแอ แต่หากเขามียันต์ให้สามารถใช้สอยได้อย่างต่อเนื่องก็ไม่ต่างอะไรกับแม่ทัพที่บัญชาการกองทัพที่แข็งแกร่งนับล้าน ที่พร้อมจะกวาดล้างทุกสิ่งด้วยพลังที่น่าสะพรึง
หากจะพูดให้เข้าใจง่าย หลักการความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระก็คือการใช้เงินเพื่อแลกกับชัยชนะ เนื่องจากพวกเขาใช้ยันต์จำนวนมากอย่างต่อเนื่องเพื่อเอาชนะศัตรู! สิ่งนี้ยังเป็นการยืนยันความจริงที่ได้รับการเผยแพร่ในโลกแห่งการบ่มเพาะที่ไม่อาจหักล้างได้ เมื่อท่านมีเงินมากพอที่จะทุบใครสักคน ส่วนใหญ่แล้วก็ย่อมจะได้รับชัยชนะ
ความคิดทั้งหมดนี้ผุดขึ้นในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น หลังจากที่เฉินซีทำลายยันต์เลิศล้ำโล่มังกรอำพัน เขาก็ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย และคว้ายันต์เลิศล้ำขั้นสูงอีกสี่แผ่นมาใช้
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงดังก้องดุจเสียงกลองศึก ดอกไม้ไฟแข่งกันบานในทะเลเพลิงที่โหมกระหน่ำ พระจันทร์สีน้ำเงินเข้มแขวนอยู่บนผืนฟ้า เถาวัลย์สีฟ้านับไม่ถ้วนเต้นระบำราวกับงู ทหารสวรรค์เกราะทองถือง้าวและขวานเดินเรียงขบวนออกมา ทะเลบุปผาเพลิง วิมานวารีจันทร์ พลังชีวิตพฤกษาคราม ทหารสวรรค์เกราะทอง สี่ยันต์เลิศล้ำขั้นสูงที่เต็มไปด้วยพลังลึกลับของมหาเต๋าแห่งอัคคี วารี พฤกษา โลหะ ควบรวมเข้ากับโล่มังกรอำพัน สร้างโลกแห่งอักขระยันต์ที่แปลกประหลาดและงดงาม
ลำแสงนับพันของปราณมงคลสะท้อนสวรรค์ทั้งเก้าชั้นส่องสว่างไปทั่วโลก อักขระยันต์ที่ลึกลับซับซ้อนนับไม่ถ้วนล่องลอยและร่ายรำไปมา เมื่อองค์ประกอบทั้งห้าไหลเวียน มันก็ก่อตัวเป็นวงจรที่ไร้ขอบเขตขึ้น
เฉินซียืนอยู่ตรงกลางเหนือทะเลบุปผาเพลิง โดยมีวิมานวารีจันทร์ประดับอยู่บนท้องฟ้าด้านหลัง มังกรอำพันม้วนวนรอบตัวเขา เถาวัลย์เลื่อยกระจายตัวไปทั่ว ทหารสวรรค์เกราะทองยืนตระหง่านปกป้องเขาจากรอบด้าน ทั้งหมดนี้ทำให้รัศมีของชายหนุ่มเพิ่มขึ้นกว่าสามเท่า จนเทียบได้กับหย่งหลิน ผู้เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติได้เลย
“ฆ่า!” เฉินซีที่พุ่งทะยานไปข้างหน้า ยกยันต์ศัสตราขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำให้ทั้งท้องฟ้าสั่นสะเทือน ยันต์เลิศล้ำทั้งห้าชนิดดูราวกับมีชีวิต พวกมันทอประกายความฉลาด ปล่อยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์กดดันเข้าหาหย่งหลิน
ครืน!
หย่งหลินซัดฝ่ามือออกไปเพื่อต้านการโจมตีครั้งนี้ ทว่าร่างกายของเขาสั่นสะท้านทันทีเมื่อปะทะ เขาเกือบจะถูกบังคับให้ล่าถอยจากการโจมตีนี้!
“ควบรวมยันต์เลิศล้ำห้าธาตุ? พลังของมันอาจจะเหนือกว่าขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์และแข็งแกร่งพอที่จะต่อต้านข้า ไม่ได้การ ข้าต้องรีบสังหารเด็กคนนี้โดยเร็ว!!”
ดวงตาของหย่งหลินเปลี่ยนเป็นเย็นชา แขนทั้งสองข้างสั่นเทา ฝ่ามือขยายจนมีขนาดใหญ่เท่าหางนกยูงรำแพน ภาพเงาฝ่ามือนับพันถูกวาดผลักไปเบื้องหน้า ภายใต้การประสานของพลังดาราจักรกับเต๋ารู้แจ้งแห่งวารี จึงก่อร่างเป็นหงส์ที่ดูราวกับสร้างขึ้นจากผลึกน้ำแข็ง ปีกของมันถูกหมอกคลุม งดงามและพร่างพราวประหนึ่งหยาดวารี เสียงร้องของมันเขย่าท้องฟ้าจนสะเทือน
ฟุ่บ!
ยันต์ศัสตราเปรียบดั่งสายรุ้ง ตามติดเฉินซีมา ชายหนุ่มลากพลังความมุ่งมั่น มาพร้อมแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีของอักขระยันต์ห้าธาตุที่ปกคลุมท้องฟ้าและสะเทือนผืนดิน
“ตายซะ! เจ้าจะได้ตายโดยไม่ต้องเสียใจ ภายใต้กระบวนยุทธ์ระดับเต๋าของข้า ฝ่ามือหงส์น้ำแข็งทมิฬ!” เจตนาฆ่าฟันปรากฏชัดบนใบหน้าชราของหย่งหลิน ขณะที่เหยียบความว่างเปล่าพุ่งไปข้างหน้า
ปัง!
ยันต์ศัสตราที่เจิดจรัสปะทะเข้ากับหงส์ผลึกน้ำแข็ง ราวกับวันสิ้นโลกได้มาเยือนฝนตกหนักก่อน้ำท่วมพัดโหมกระหน่ำ จิตกระบี่ปกคลุมทั่วท้องฟ้า แสงสว่างจากการระเบิดพร่างพราวเต็มท้องฟ้า บดบังไม่ให้มองเห็นสิ่งอื่นใดได้เลย
ทั้งคู่ต่อสู้กันอย่างดุเดือด พวกเขาเข้าปะทะกันหลายสิบครั้งในชั่วพริบตา หนึ่งในนั้นถูกปกคลุมไปด้วยแสงของยันต์เลิศล้ำห้าสียืนเด่นอยู่กลางสวรรค์และโลก อีกคนถูกล้อมไว้ด้วยวารีที่ทอประกายระยิบระยับ ราวกับว่าเขาได้กลายเป็นสัตว์เทวะหงส์เหมันต์ ความเร็วของเขาเร็วยิ่งกว่าสายฟ้า การปะทะกันแต่ละครั้งทำให้เกิดแสงศักดิ์สิทธิ์อันน่าสะพรึงกลัวทะลวงท้องฟ้า กวาดล้างยอดเขาทั้งหมดในระยะพันลี้จนราบเป็นหน้ากลอง
ซือคงเหินผู้เฝ้าดูการต่อสู้รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก เขาต้องล่าถอยกลับอย่างเร่งรีบครั้งแล้วครั้งเล่า ในขณะที่โคจรฐานการบ่มเพาะทั้งหมดของเขาเพื่อป้องกันตัวเอง ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน เฉินซีแข็งแกร่งมากเกินไป เขาสามารถต่อสู้กับหย่งหลินที่อยู่ขอบเขตจุติได้อย่างเท่าเทียมทั้งที่ยังคงอยู่ขอบเขตเคหาทองคำ มันเกินจินตนาการไปมากโขจริง ๆ ท้ายที่สุดแล้ว ช่องว่างระหว่างพวกเขาทั้งสองคนก็กว้างเกินไปราวฟ้ากับเหว มันช่างต่างกันลิบลับ!
“ซือคงเหิน หลานชายที่ดีของข้า ตายไปให้ปู่มู่ขุยของเจ้าเสีย!” ท่ามกลางเสียงตะโกนก้อง อักขระยันต์ก็ไหลปกคลุมไปทั่วร่างกายของมู่ขุย กลิ่นอายของเขาจึงพุ่งสูงขึ้นเป็นเท่าตัว ทำให้เขาดูเหมือนหมาป่าปีศาจโบราณที่ปรากฏตัวจากยุคต้นกำเนิดที่ดุร้ายและน่ากลัวยิ่ง กระบองหนามในมือของเขาเหมือนดาวหางที่ร่วงหล่นลงมาด้วยความเร็วและแรง
“บัดซบ! เจ้าเดรัจฉานตัวนี้ก็มียันต์เลิศล้ำขั้นสูงด้วยอย่างนั้นเรอะ!” รูม่านตาของซือคงเหินหดวูบ เมื่อเห็นการโจมตีอย่างกะทันหันจากมู่ขุย เขาไม่สนใจว่าเฉินซีจะร่ำรวยขนาดไหนถึงได้มอบยันต์เลิศล้ำขั้นสูงให้กับหมาป่ารับใช้ ก่อนที่จะเริ่มโคจรฐานการบ่มเพาะทั้งหมดของเขาเพื่อควบแน่นกงล้อกร่อนกระดูกขึ้นที่ระหว่างฝ่ามือของเขา และใช้มันเพื่อบังด้านหน้าของตนเอาไว้
แกร็ก!
กงล้อกร่อนกระดูกสีดำที่หนาราวกับขุนเขา แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว เผยร่างของซือคงเหินขึ้นหน้ากระบองหนาม
“ลุงหย่งหลิน! ช่วยข้าด้วย!” การโจมตีครั้งนี้ทำให้สีหน้าของซือคงเหินเปลี่ยนไปจนซีดเซียวและหวาดกลัวจนลืมสติสิ้น เขาพุ่งหลบไปด้านข้างในขณะโก่งคอกรีดร้องโหยหวน
“เดรัจฉาน รนหาที่ตาย!” เมื่อเขาได้ยินเสียงร้องของหลานชาย หย่งหลินก็โกรธถึงขีดสุด ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยสายฟ้า ปราณดาราที่น่าสะพรึงกลัวพวยพุ่งออกมาจากร่างกายของเขาอย่างกับระเบิด เขาไม่สนใจที่จะพัวพันกับเฉินซีอีกต่อไป ก่อนจะหันกลับมาเพื่อโจมตีมู่ขุย
กี๊ด!
เสียงร้องของหงส์ดังก้องขึ้น มันรุนแรงมากจนถึงจุดที่มันเจาะผ่านโลหะและหินจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ ปราณดาราเย็นยะเยือกแช่แข็งท้องฟ้า หย่งหลินผู้โกรธเกรี้ยวใช้กระบวนท่าสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา พร้อมกับบุกเข้าหาด้วยจิตสังหารที่พลุ่งพล่าน สร้างร่างหงส์เหมันต์กระพือปีกท้าสวรรค์ทั้งเก้า
“บรู้วว!” มู่ขุยส่งเสียงหอนยาวออกมา ในขณะที่ร่างกายของเขาเปล่งแสงสีฟ้าศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นเงาสัตว์อสูรที่รูปร่างเหมือนหมาป่าขนาดมหึมาก็โผล่ออกมา กดข่มสวรรค์และโลก มันเงยศีรษะขึ้นและหอนคำรามราวกับราชาแห่งหมู่สัตว์อสูรผู้เฝ้ามองลงมาที่ผืนดินอันกว้างใหญ่ลงมาปรากฏตัวแล้ว
เงาร่างของสัตว์อสูรตัวนี้ดูเลือนรางมาก แต่กลิ่นอายที่มันปล่อยออกมากลับน่ากลัวจนทำให้แม้แต่เฉินซีก็ต้องตกใจ เขาเดาว่าสัตว์อสูรตัวนี้อาจเป็นหมาป่าจันทรคราส สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่มู่ขุยได้รับสืบทอดสายเลือดมา มิฉะนั้นมันคงไม่อาจกดข่มสวรรค์และโลกได้เช่นนี้
ตู้ม!
ภาพเงาสัตว์อสูรขนาดมหึมาฟาดกรงเล็บของมันลงมา แหวกอากาศถล่มภูเขาจนพังทลาย และเข้าสู้กับหย่งหลินที่จู่โจมเข้ามา ด้วยเหตุนี้การต่อสู้ประลองพลังก็ได้กลายเป็นการต่อสู้แบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน และมันน่าสยดสยองอย่างยิ่ง การปะทะกันของพลังที่น่าสะพรึงกลัว ระเบิดกวาดออกไปทุกทิศทุกทางและทำให้ทุกสิ่งที่อยู่รอบ ๆ สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ซือคงเหินรอดจากความตายได้อย่างหวุดหวิด เขามีความคิดที่จะถอยหนีในทันที มันน่ากลัวเกินไป! ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้ทำลายแนวคิดเรื่องความแข็งแกร่งก่อนหน้านี้ของเขาจนหมดสิ้นแล้ว หากว่าก่อนหน้านี้มีคนบอกเขาว่าขอบเขตเคหาทองคำสามารถสู้กับขอบเขตจุติได้อย่างสูสีแล้วละก็ เขาคงจะหัวเราะเยาะดูถูกคำบอกเล่านี้อย่างแน่นอน แต่ในตอนนี้ หลังจากที่เขาได้เห็นการต่อสู้ของเฉินซีกับลุงของเขาแล้ว เขาก็ทำได้เพียงเชื่ออย่างสนิทใจว่านี่เป็นความจริง ในโลกนี้มักมีตัวประหลาดบางตัวที่คอยแหกกฎและทำลายระเบียบแบบแผนอยู่เสมอ ซึ่งเฉินซีจัดเป็นหนึ่งในตัวประหลาดเหล่านั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ชั่วครู่ต่อมา ซือคงเหินก็หันหลังกลับและหนีไปทันที กระบองหนาม? ห้องเก็บมรดกของนิกายป้ายเหล็ก? เขาไม่สนใจเรื่องพวกนั้นอีกต่อไปแล้ว ยามนี้เขาสนใจเพียงว่าจะรักษาชีวิตของตนเอาไว้ได้อย่างไรเท่านั้น
“นายน้อยใหญ่ซือคง คิดจะหนีแล้วอย่างนั้นหรือ? หากไม่ใช่เพราะเจ้ากดดันเราอย่างหนัก เจ้าจะมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร? มีเพียงจุดจบเดียวสำหรับผู้ที่ทำให้ข้าเฉินซีขุ่นเคืองนั่นคือความตาย!”
ท่ามกลางเสียงที่เมินเฉย ร่างของเฉินซีก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าซือคงเหินอย่างรวดเร็ว จากนั้นยันต์ศัสตราก็ถูกวาดออกไปในแนวขวาง ขณะที่เต๋ากระบี่วายุอัสนีตัดผ่านศีรษะของซือคงเหินไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เสียงของเฉินซีจะจบลงเสียอีก
ฉัวะ!
จนกระทั่งศีรษะของซือคงเหินร่วงลงพื้น และมีน้ำพุเลือดพุ่งออกจากลำคอของเขา เสียงตวัดกระบี่จึงได้ดังขึ้น เห็นได้ว่าความเร็วของเฉินซีเมื่อครู่นั้นเร็วยิ่งกว่าความเร็วของเสียงหลายเท่า
“อ๊ากกก! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงฆ่าเหินเอ๋อร์ เจ้า เจ้า เจ้า… พวกเจ้าทุกคนสมควรตาย!” ดวงตาของหย่งหลินราวกับจะถลนออกมา สายเลือดหลั่งไหลจากตาลงมาตามกรอบหน้าของชายชรา เขากู่ร้องคำรามขึ้นไปบนท้องฟ้า ร่างกายของเขาเหมือนภูเขาไฟที่กำลังจะระเบิด มันเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวประหนึ่งต้องการทำลายล้างโลกและบดขยี้ทุกสิ่งทุกอย่างให้สิ้น
ปัง!
ภาพเงาสัตว์อสูรที่มู่ขุยปลดปล่อยออกมาก็ถูกทำลายลงในหมัดเดียว ทำให้มู่ขุยได้รับผลกระทบจนกระอักเลือดออกมา ในขณะที่ร่างของเขากระเด็นลอยออกไปหลายสิบจั้ง
ท้ายที่สุดมู่ขุยก็มีฐานการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง แม้ว่าจะอาศัยยันต์เลิศล้ำขั้นสูงเพื่อให้ความแข็งแกร่งของเขาพุ่งสูงขึ้น และโชคดีที่สามารถเปิดใช้งานพลังมรดกภายในสายเลือดเพื่อปลดปล่อยภาพเงาสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์อย่างหมาป่าจันทรคราสออกมาได้ แต่ภายใต้การโจมตีอันเกรี้ยวกราดของหย่งหลิน เขาก็ยังดูจะอ่อนแอกว่ามาก ถ้าไม่ใช่เพราะเขาหลบได้ทัน การโจมตีครั้งนี้คงจะฆ่าเขาไปแล้ว ทว่าเขาก็ยังได้รับบาดเจ็บอย่างหนักทำให้ไม่สามารถสู้ต่อไปได้อยู่ดี
หลังจากที่หย่งหลินตกสู่ความโกรธจนหน้ามืด และจัดการมู่ขุยไปให้พ้นทางแล้ว เขาก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเฉินซี พร้อมกับฝ่ามือยักษ์ที่กวาดไปบนท้องฟ้าของเขา รวบรวมปราณเย็นเยียบที่น่ากลัวและรุนแรง จากนั้นเขาก็โจมตีออกไปด้วยพละกำลังทั้งหมดของเขา
ตู้ม!
เฉินซีไม่สามารถหลบหลีกการโจมตีนี้ได้ทัน เขาจึงทำได้เพียงกัดฟันแล้วเหวี่ยงกระบี่ต้านกลับไปด้วยแรงทั้งหมดที่มี แต่การโจมตีของเฉินซีกลับถูกความแข็งแกร่งของฝ่ามือนี้ทำลายไปเกือบจะในทันที ก่อนที่มันจะทำลายพลังจากยันต์เลิศล้ำที่ไหลอยู่บนร่างกายของเฉินซี แล้วส่งเขากระเด็นไปไกลกว่าสิบลี้ ปราณและเลือดในร่างกายของเขาปั่นป่วนจนแทบจะอาเจียนออกมาเป็นเลือด
น่าสะพรึงกลัว!
ความแข็งแกร่งของผู้บ่มเพาะขอบเขตจุตินั้น ไม่ใช่สิ่งที่ความแข็งแกร่งของเขาในปัจจุบันจะสามารถเอาชนะได้อย่างแน่นอน และถึงเขาจะพึ่งพาความแข็งแกร่งของยันต์เลิศล้ำขั้นสูง มันก็ไม่มีทางที่เขาจะฆ่าหย่งหลินได้อยู่ดี
นี่เป็นช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างขอบเขตที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
อย่างไรก็ตาม ตราบเท่าที่เขาฆ่าซือคงเหินได้ เฉินซีก็พึงพอใจมากแล้ว ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหย่งหลินผู้โกรธเกรี้ยว ซึ่งกำลังจะลงมือโจมตีเขาอีกครั้ง เฉินซีจึงไม่ลังเลที่จะใช้ปีกนภาดารกะเลยแม้แต่น้อย และอาศัยความเร็วที่เทียบได้กับการเคลื่อนย้ายทางไกลของมัน เพื่อมาถึงด้านข้างของมุ่ขุยก่อนที่จะทำลายยันต์เลิศล้ำแผ่นสุดท้ายที่เหลืออยู่ในครอบครอง
ยันต์เลิศล้ำนี้ถูกเรียกว่า ‘ไร้ร่องรอยนานนับหมื่นลี้’ มันเป็นวิธีการหลบหนีที่เขาเตรียมไว้เมื่อนานมาแล้ว และในตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่จะใช้มัน
ฟุ่บ!
ทันทีที่ยันต์ถูกทำลาย ระลอกคลื่นสีทองก็ปกคลุมร่างของเฉินซีกับมู่ขุย พริบตาต่อมา ทั้งสองคนก็หายวับไปอย่างสมบูรณ์และไร้ร่องรอย
“บัดซบ! เวรเอ๊ย! สวรรค์ช่างมืดบอด เหตุใดสวรรค์จึงปล่อยให้มดปลวกสองตัวนั้นหนีไปจากข้าได้เช่นนี้!?” ปฏิกิริยาของหย่งหลินนั้นรวดเร็วอย่างมาก เมื่อเขาเห็นทั้งสองคนหายไป จิตสัมผัสเทพที่น่าสะพรึงกลัวของเขาก็ถูกกวาดส่งออกไปในทันที พันลี้ สองพันลี้ สามพันลี้…
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ชายชราก็ไม่สามารถค้นหาร่องรอยของทั้งสองคนได้เลยแม้แต่น้อย เขาเข้าใจว่าทั้งสองคนอาจหนีไปนานแล้ว แต่ถึงแม้ว่าเขาจะเข้าใจ เมื่อเขานึกถึงความตายอันน่าสลดของซือคงเหินที่เขาเฝ้าเลี้ยงดูให้เติบโตมา เขาก็ยังคงรู้สึกโกรธจนดวงตาของเขากลายเป็นสีแดงก้ำ สีหน้าบิดเบี้ยว ไฟโทสะที่ไม่มีที่ระบายกำลังพลุ่งพล่านสุมอยู่เต็มอก จนทำให้เขาแทบจะเป็นบ้า
“ข้าไม่เคยคิดเลยว่า ผู้สรรเสริญวิญญาณเงา เฉิงหย่งหลิน ผู้มีจิตใจอำมหิตและเลือดเย็น มีช่วงเวลาแห่งความโกรธเกรี้ยวอยู่ด้วย…” ในขณะนั้นเองเสียงที่แผ่วเบาราวกับสายลมก็ดังก้องขึ้นมา เขย่าสวรรค์และโลก