บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 311 พลังของพุทธองค์และอสูร
บทที่ 311 พลังของพุทธองค์และอสูร
บทที่ 311 พลังของพุทธองค์และอสูร
โอม!
ในเวลาเดียวกันกับที่ฝ่ามือนับพันของจี้เยว่ปรากฏขึ้น ทันใดนั้น เสียงสวดมนต์ที่เป็นประหนึ่งเสียงธรรมชาติก็ดังกึกก้องไปทั่วสวรรค์และโลก จากนั้นบนฝ่ามือแต่ละข้างก็ปรากฏพระพุทธรูปขึ้น แต่ละองค์มีสามเศียรและหกแขนทั่วร่างเปล่งแสงเรืองรอง
บทสวดพุทธคุณ!
พุทธองค์ประทับร่าง!
เมื่อได้เห็นฉากตรงหน้านี้ หัวใจของผู้คนรอบ ๆ สังเวียนต่างก็สั่นสะท้าน พวกเขารับรู้ได้ถึงกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวอันไร้ขอบเขต ทว่าก็งดงามและน่าเกรงขามอย่างชัดเจน
“พลังอิทธิฤทธิ์ของสหายจากนิกายพุทธผู้นี้ช่างน่าอัศจรรย์นัก กลิ่นอายของมันยิ่งใหญ่จริง ๆ และแม้แต่ข้าก็อยากจะสู้กับเขาเช่นกัน…” นายน้อยโจวเลิกคิ้วที่เหมือนกับกระบี่ของเขา ความตื่นเต้นฉายชัดในดวงตาที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
“น่าแปลก เพราะนิกายพุทธถูกฝังอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลา ทักษะการบ่มเพาะของนิกายพุทธในโลกยามนี้จึงมีอยู่น้อยยิ่ง เดิมทีข้าคิดว่าเขาฝึกฝนเพียงแค่ทักษะการบ่มเพาะธรรมดา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะไม่ด้อยไปกว่ากระบวนยุทธ์ระดับเต๋าขั้นสูงเลย” อันเชี่ยนอวี้พึมพำกับตัวเอง
แม้ว่าหวังเต้าซวี่จะไม่ได้พูดอะไร แต่ใบหน้าที่สง่างามของเขาแสดงให้เห็นว่าหัวใจของเขาไม่ได้สงบเลย
“ตอนนี้เด็กคนนั้น เฉินซีกำลังจะพ่ายแพ้” คิ้วของซูเฉินขมวดเข้าหากัน เขายังคงเฝ้ารอที่จะพุ่งขึ้นไปบนสังเวียนการต่อสู้และเหยียบย่ำเฉินซีอย่างโหดเหี้ยม แต่หากจี้เยว่เอาชนะอีกฝ่ายลงได้ เขาก็คงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
“ท่านต้องต่อต้านมันให้ได้นะ!” ย่าชิงกำหมัดของนางเงียบ ๆ ดวงตาที่เต็มไปด้วยดวงดาวนั่นจ้องมองไปที่เฉินซีอย่างไม่กะพริบ
“หากมีโอกาส ข้าอยากจะลองสู้กับจี้เยว่ เพื่อดูว่าพลังอิทธิฤทธิ์ของนิกายพุทธนี้ทรงพลังเพียงใด…” ดวงตาที่ราวกับมีหมอกปกคลุมของเจิ้นหลิวชิงพลุ่งพล่านไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ ขณะที่ชายเสื้อผ้าของนางปลิวไสวตอบรับ
“ฟู่!” บนเวทีการต่อสู้ จี้เยว่เปล่งเสียงอันแผ่วเบาที่แฝงด้วยแก่นแท้ออกมา จากนั้นฝ่ามือนับพันก็หยุดลง ก่อนที่จะรวมกันเป็นฝ่ามือขนาดมหึมาที่โปร่งใสดุจผลึกแก้ว ที่ลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิงสีทองและเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์เจิดจ้า เสียงราชสีห์มังกรคำรามดังขึ้นจากด้านใน พุทธองค์จับจ้องมาด้วยความโกรธ มันปล่อยกลิ่นอายที่น่าเกรงขามและน่าสะพรึงกลัวออกมาอย่างไม่สิ้นสุด
ปัง!
จี้เยว่เปิดการโจมตีครั้งที่สองของเขา ฝ่ามือขนาดมหึมาและทรงพลัง สร้างรอยแยกที่น่ากลัวทิ้งเอาไว้กลางความว่างเปล่า บดขยี้ท้องฟ้าเป็นผงราวกับกระดาษแห้งในทันที
“หากไม่โต้กลับมันก็คงจะไม่สุภาพ ดังนั้นเจ้าควรรับการโจมตีจากข้าเสียบ้าง!” ร่างของเฉินซีสั่นไหว เขาเคลื่อนที่ผ่านท้องฟ้า ยันต์ศัสตราในมือของเขาถูกเต๋ารู้แจ้งปกคลุมอย่างหนาแน่น ในขณะที่เขาใช้เต๋าแห่งกระบี่อัคคีวารีที่เกิดจากการผสมของน้ำและเปลวไฟรวมเข้าไป ฟันทะลุเข้าที่ฝ่ามืออย่างรวดเร็ว ปราณกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ฉีกท้องฟ้าออกและควบแน่นเป็นรอยกระบี่ขนาดมหึมาขึ้นกลางความว่างเปล่า ราวกับว่าพื้นที่ทั้งหมดบนเวทีการต่อสู้ถูกเฉือนออกเป็นสองส่วน ช่างเป็นการโต้กลับที่แข็งแกร่งยิ่งนัก
ตู้ม!
ฝ่ามือผลึกแก้วขนาดมหึมาถูกเฉือนออกเป็นสองท่อน ราชสีห์มังกรที่อยู่ในนั้นแตกเป็นเสี่ยง ๆ พุทธองค์ถูกสังหารสิ้น ทั้งหมดก็กลายเป็นชิ้นส่วนของแสงที่แตกสลายกระจายไปรอบ ๆ
พลังโจมตีเพียงครั้งเดียวนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก!
ผู้คนที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นต่างก็ตกใจจนพูดไม่ออก พวกเขายังคงครุ่นคิดอย่างยากลำบากว่าเฉินซีจะต้านทานฝ่ามือนั้นอย่างไร แต่เฉินซีกลับใช้กระบี่ที่ทรงพลังอย่างยิ่งทำลายวิกฤตตรงหน้าโดยตรง การโต้กลับอันทรงพลังเช่นนี้ทำให้พวกเขาแทบไม่กล้าเชื่อสายตาของตัวเอง
“น้ำกับไฟ สองขั้วสลับกัน กลับเข้ากันได้อย่างอัศจรรย์! เขาเข้าใจกระบี่ข่านแห่งวารีและกระบี่หลีแห่งอัคคีของเคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบไปแล้ว การบ่มเพาะเต๋าแห่งการต่อสู้ของเด็กคนนี้ไม่อาจดูถูกได้จริง ๆ!” นายน้อยโจวรู้สึกสะเทือนใจในทันใด และอดไม่ได้ที่จะปรบมือชื่นชมเฉินซี
อันที่จริง ไม่ใช่แค่นายน้อยโจวเท่านั้น อันเชี่ยนอวี้ หวังเต้าซวี่ ซูเฉิน ย่าชิง เจิ้นหลิวชิงและคนอื่น ๆ เอง ก็รับรู้ได้ถึงจิตกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวในการโจมตีของเฉินซี มันก่อระลอกคลื่นขึ้นในใจทำให้ทุกคนควบคุมความรู้สึกไม่ได้
ในตอนนี้ จี้เยว่ไม่มีเวลาแม้แต่จะถอนหายใจ เขากำลังเผชิญกับการคุกคามจากกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวของเฉินซี ไม่ต้องพูดถึงการถอนหายใจ เขาไม่มีเวลาคิดฟุ้งซ่านด้วยซ้ำ
ช่วงเวลาวิกฤตนี้ เขาหรี่ตาลง ก้าวเท้าขวาถอยหลัง พนมมือขึ้น พลังพุทธองค์อันยิ่งใหญ่ดุจกระแสน้ำ กลั่นตัวเป็นราชสีห์มังกรขนาดใหญ่ หนวดราชสีห์มังกรสะบัดไปรอบ ๆ ดวงตาทอแสงสว่างดุจโคมไฟ ราวกับมันอ้าปากคำรามออก แสงศักดิ์สิทธิ์ม้วนตัวขึ้นอย่างรุนแรง ก่อเป็นกระแสน้ำวนหนาทึบ
“ราชสีห์มังกรจุติ โพธิสัตว์พิโรธ!”
ครืน!
พริบตาต่อมา กระบี่อัคคีวารีฉีกผ่าอากาศ พุ่งเข้าหากระแสน้ำวนและฉีกกระชากมันออกเป็นชิ้น ๆ เมื่อราชสีห์มังกรที่ก่อตัวขึ้นจากแสงศักดิ์สิทธิ์สีทองปะทะกับการโจมตีนี้ ร่างกายทั้งหมดของมันก็บิดเบี้ยวอย่างรุนแรงและเกือบจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ไปในทันที รัศมีของมันหม่นหมองลง ไร้ซึ่งความแวววาวดังแรกเริ่ม ราวกับไม่เหลือจิตวิญญาณอยู่เลยแม้แต่น้อย
“ต้องการเอาชนะข้าด้วยกระบวนกระบี่เพียงท่าเดียวหรือ? พินาศไปซะ!” ในที่สุดจี้เยว่ก็เข้าใจว่าเขาประเมินความแข็งแกร่งของเฉินซีต่ำไป นอกจากความรู้สึกตกใจที่ผุดขึ้นในใจของเขาแล้ว พลังพุทธองค์ในร่างกายของเขาถูกเปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์ในทันที ภาพมายาของราชสีห์มังกรฟื้นกลับขึ้นมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ร่างของมันปกคลุมไปด้วยชั้นเกล็ดสีทองที่แวววาวดุจโลหะ
ปัง!
ภาพมายาของราชสีห์มังกรยืนตระหง่านอยู่บนท้องฟ้าฟาดกรงเล็บลงมา ทำลายพลังของกระบี่ทิ้งไปในทันที ทว่าสิ่งที่ทำให้จี้เยว่ประหลาดใจก็คือ หลังจากที่พลังของกระบี่ถูกทำลายลงแล้ว ประกายชิ้นส่วนเล็ก ๆ จากกระบี่เหล่านั้น กลับพุ่งเข้าผ่าร่างของราชสีห์มังกรอย่างรุนแรง ทำให้แรงสั่นสะเทือนมหาศาลถาโถมเข้าใส่เขา แม้จะมีร่างกายที่แข็งแกร่ง เขาก็ยังคงรู้สึกถึงความเจ็บปวดอยู่ดี
โชคดีที่ประกายกระบี่แสงเหล่านั้นไม่ได้ไร้ที่สิ้นสุด และหมดลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ภาพราชสีห์มังกรเชื่อมโยงกับจี้เยว่โดยตรง มันจึงยังคงยืนหยัดอยู่บนท้องฟ้าและส่งเสียงคำรามอย่างต่อเนื่องได้
“ไม่เลว ข้าขอยอมรับว่าข้าประเมินเจ้าต่ำไปตั้งแต่แรก” จี้เยว่สูดหายใจเข้าลึก ๆ ทำให้พลังงานและเลือดที่อยู่ในร่างกายของเขาพลุ่งพล่าน ความรู้สึกอึดอัดถูกลบให้หายไป ส่งให้กลิ่นอายของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ
เฉินซีไม่ฉวยโอกาสไล่ตามชัยชนะ เขาเพียงแค่กล่าวอย่างใจเย็น “หากเจ้ามีพละกำลังเพียงน้อยนิด เจ้าก็ย่อมต้องพ่ายแพ้ มันคงจะเป็นการดีกว่าถ้าเจ้าจะถอนตัวออกจากการต่อสู้นี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“เจ้าคิดว่าจะเอาชนะข้าได้ด้วยเล่ห์กลเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนั้นหรือ? เจ้ายังไม่มีคุณสมบัติพอ!” จู่ ๆ จี้เยว่ก็เผยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายและน่ากลัวขึ้น ลวดลายดอกบัวสีแดงที่เหมือนรอยสักบนหัวของเขาทอแสงสีแดงเข้ม ดุจดอกบัวสีเลือดที่บานสะพรั่งในพริบตา กลิ่นอายสีดำอำมหิตพลุ่งพล่านออกมาจากทุกกลีบของมัน “เดิมทีข้าตั้งใจจะมอบบทเรียนให้เจ้าเล็กน้อย แล้วปล่อยเจ้าไปหลังจากเจ้าส่งมอบเจดีย์บำเพ็ญทุกข์มาให้ข้า แต่ในเมื่อเจ้าไม่รู้จักรับฟังเหตุผล ทั้งยังหยิ่งยโส เช่นนั้นก็อย่าโทษที่ข้าทำให้เจ้าอับอายแล้วกัน!”
“เจ้าบ่มเพาะทั้งทักษะนิกายพุทธและนิกายอสูรจริง ๆ สินะ?” เฉินซีหรี่ตาลง เขาสังเกตเห็นว่ากลิ่นอายของจี้เยว่นั้นมาจากแหล่งกำเนิดเดียวกับสองพี่น้องเถิงและฟ่านอวิ๋นหลาน กลิ่นอายของพวกเขาล้วนดุดัน แข็งกร้าว หยิ่งยโส และรุนแรง
เท่าที่เขารู้ นอกจากผู้บ่มเพาะอสูรของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตแล้ว ยังคงมีผู้บ่มเพาะบางส่วนในราชวงศ์ซ่งที่ฝึกฝนทักษะของนิกายอสูรอยู่ ตราบเท่าที่พวกเขาไม่ได้ก่ออาชญากรรมชั่วร้ายหรืออุกอาจจนเกินไป พวกเขาก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อของการถูกไล่ล่าจากผู้อื่น
“เจ้าเพิ่งจะสังเกตเห็นเอาป่านนี้รึ? แน่นอนว่าข้าได้บ่มเพาะทั้งทักษะของนิกายพุทธและนิกายอสูร โดยยึดพุทธองค์เอาไว้ในใจและใช้มารเป็นแขนขา ข้าได้นำทั้งสองมารวมกันและฝึกจนเชี่ยวชาญ ข้าเป็นทั้งมารที่ทำลายล้างโลกและพุทธองค์ผู้ปลดปล่อยโลกให้พ้นทุกข์ แล้วนักกระบี่ตัวจ้อยเช่นเจ้าจะมาเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้อย่างไร?”
ในยามนี้ ร่างกายของจี้เยว่ได้ถูกปกคลุมไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์มากมาย แต่ดวงตาของเขากลับลุกโชนด้วยเปลวเพลิงอสูร ทั้งหยิ่งยโสและเจ้าเล่ห์ แม้จะเหมือนพุทธองค์แต่ก็เหมือนอสูร กลิ่นอายของเขาตอนนี้แข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิมถึงสองเท่า!
เฉินซีส่ายหัว ‘คนผู้นี้ช่างไม่รู้จริง ๆ ว่าท้องฟ้าสูงและแผ่นดินหนามากแค่ไหน เขาไม่คิดเลยหรือว่าหากตนปกปิดความแข็งแกร่งเอาไว้ได้ แล้วข้าจะทำเช่นเดียวกันไม่ได้? จนถึงตอนนี้ข้ายังใช้ความแข็งแกร่งไปเพียงห้าในสิบเท่านั้นเอง’
“ข้าจะยอมรับความพ่ายแพ้ หากข้าไม่สามารถเอาชนะเจ้าได้ในสามกระบวนท่า”
สีหน้าของจี้เยว่แข็งค้างไปชั่วขณะ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นมืดมน เขาจ้องมองมาทางเฉินซีอย่างไม่ปิดบังจิตสังหารที่มีแม้แต่น้อย “ดี ข้าอยากจะรู้ยิ่งนักว่าใครกันแน่ที่จะเอาชนะได้ในสามกระบวนท่า!”
ตู้ม!
ทันทีที่พูดจบ จี้เยว่ก็กระทืบพื้นจนแหลกราวกับมีดาวตกพุ่งชน จนเวทีสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เขาพุ่งออกไปอย่างรุนแรงราวกับลูกธนูที่หลุดออกจากคันศร มือซ้ายของเขาลุกโชนด้วยเปลวเพลิงอสูร ในขณะที่มือขวาของเขามีแสงศักดิ์สิทธิ์ม้วนตัวอยู่ หนึ่งชั่วร้ายและเอาแต่ใจอีกหนึ่งยิ่งใหญ่และสง่างาม สร้างขึ้นเป็นสองความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทว่ากลับน่าสะพรึงไม่แพ้กัน
“เลือดอสูรไร้ขอบเขต ย้อมทั่วผืนฟ้า พุทธองค์ถือกระบี่สังหาร ลบล้างบาปของผู้คน!”
ปัง!
จี้เยว่ระเบิดพลังเรียกเงาฝ่ามือนับพันออกมา พลังทำลายล้างที่เต็มเปี่ยมทำให้ท้องฟ้าเกิดการบิดเบี้ยว ธารพุทธเพลิงสีทองไหลย้อมลงมา ในขณะที่เสียงโหยหวนของเทพปีศาจที่โกรธเกรี้ยวดังก้องไปทั่วสวรรค์และโลก กระจายไปทุกทิศทุกทาง
“ละทิ้งความชั่วร้ายและหลุดพ้น ละทิ้งความชั่ว…” เสียงสวดมนต์ของพุทธองค์ดังขึ้น
“เข้าสู่นิกายอสูรของข้า ทำตามคำสั่งของข้า ทำลายโลกหล้า ท่องไปในจักรวาลอย่างอิสระ…” คลื่นคำสั่งของเทพปีศาจกระจายตัวออกมา
เปลี่ยนพื้นที่ทั้งหมดของสังเวียนประลองเป็นโลกที่ผสมผสานระหว่าง โลกที่กว้างใหญ่และสง่างามกับโลกที่ลุกโชนด้วยเปลวเพลิงปีศาจ สนามพลังที่ขัดแย้งและบิดเบี้ยว ทำให้ผู้คนรู้สึกเลือดลมปั่นป่วน วิญญาณสั่นคลอนจนแทบกระอักเลือด
“จี้เยว่เป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง เขาถึงกับสามารถรวมพุทธะกับอสูรเข้าด้วยกันเพื่อสร้างเส้นทางใหม่ที่เป็นของตนเองได้ แค่การเคลื่อนไหวนี้เพียงอย่างเดียวก็มากพอที่จะทำให้ข้าให้ความสนใจกับเขาอย่างจริงจังแล้ว” นายน้อยโจวรู้สึกสะเทือนใจ ความปรารถนาในการต่อสู้เขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของจี้เยว่ที่เปิดเผยออกมาได้กระตุ้นจิตวิญญาณของการต่อสู้ของเขาอย่างรุนแรง
“น่าทึ่งมาก ข้าเกรงว่าหากต้องเผชิญหน้ากับท่าโจมตีนี้ ข้าคงจำต้องใช้กำลังทั้งหมดที่มี” ดวงตาของอันเชี่ยนอวี้ทอประกายในขณะที่เขาพึมพำ “แล้วเฉินซีล่ะ? เขาจะเอาชนะท่าโจมตีนี้ได้อย่างไร”
“ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน” หวังเต้าซวี่พยักหน้า
“เฉินซีจะชนะได้หรือไม่?” ย่าชิงหันมองไปทางเจิ้นหลิวชิง ดวงตาของนางแสดงความกังวลเล็กน้อยออกมาอย่างไม่รู้ตัว ในตอนนี้นางสูญเสียความตั้งใจที่จะโต้เถียงกับเจิ้นหลิวชิงไปสิ้น
“การต่อสู้ยังไม่สิ้นสุด แค่เฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ ต่อไป แล้วเจ้าก็จะรู้ได้เอง” เจิ้นหลิวชิงมองตอบอย่างมั่นใจก่อนที่จะพูดต่อช้า ๆ “เขาจะไม่หยุดอยู่แค่นี้”
ทุกคนที่อยู่ในที่นั่งของผู้ชมต่างแสดงสีหน้าประหลาดใจและเสียดาย ในความคิดของพวกเขาภายใต้การเคลื่อนไหวนี้ น่ากังวลว่าเฉินซีจะพ่ายแพ้แล้วกลับไปพร้อมกับความเกลียดชัง
ราวกับเวลาหยุดลงไปชั่วขณะ
พลังงานที่น่าสะพรึงกลัวทั้งสอง แสงศักดิ์สิทธิ์และเปลวเพลิงอสูรปกคลุมไปทั่วทั้งสังเวียนประลอง ผนึกการเคลื่อนไหวของเฉินซีเอาไว้ภายในอย่างสมบูรณ์ ราวกับฟางในทะเลพายุ ซึ่งดูไม่สำคัญอะไรและยังอ่อนแอ
‘สองพลังจากพุทธองค์และอสูร ควรเป็นเหมือนน้ำและไฟ หยินและหยาง แผ่นฟ้าและผืนดิน พวกมันคือสองขั้วที่ปฏิเสธกันและกัน หากนำไปใช้กับเพลงหมัดมหาทำลายล้างได้ก็ดูจะไม่เลว…’ เฉินซียังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง ทั้งยังมีเวลาสัมผัสถึงความลึกลับในการโจมตีครั้งนี้ของจี้เยว่อีก แต่เขาก็ได้พบว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้รวมพลังของพุทธองค์และอสูรเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ พลังงานทั้งสองเพียงแค่ผสานเข้ากันผ่านวิธีการที่น่าอัศจรรย์เท่านั้น ทว่ายังไม่ได้หลอมรวมกัน
“หากสหายผู้นี้หลอมรวมพวกมันเข้าด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์แล้วละก็ บางทีเขาอาจจะบีบใช้ข้าพลังเต็มที่ออกมาได้ก็เป็นไปได้ ทว่าน่าเสียดายยิ่งที่เขามาหยุดเอาแค่นี้” ปลายกระบี่ของเฉินซีเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ไอน้ำที่พวยพุ่งและเปลวไฟที่เป็นลูกคลื่น ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันบนพื้นผิวของยันต์ศัสตรา และไหลอยู่ภายในประหนึ่งสายฟ้าไหลเวียนในกลุ่มเมฆพายุ พร้อมกับกระแสน้ำวนที่ไร้ร่องรอย…
ในเวลานี้ พลังงานของมหาเต๋าทั้งสี่อันได้แก่ น้ำ ไฟ สายฟ้า และสายลมได้หลอมรวมกันอย่างไร้ที่ติอยู่บนตัวยันต์ศัสตรา จิตสังหารที่พลุ่งพล่านและบริสุทธิ์ราวจะแช่แข็งทุกสิ่งรอบข้างให้หยุดนิ่ง!