บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 315 สละสิทธิ์ในการท้าทาย
บทที่ 315 สละสิทธิ์ในการท้าทาย
บทที่ 315 สละสิทธิ์ในการท้าทาย
สิ่งที่เรียกว่าสี่ขอบเขตและสิบสองระดับของเต๋ารู้แจ้ง คือการแบ่ง เต๋ารู้แจ้งที่ผู้บ่มเพาะหยั่งถึงออกเป็นสิบสองระดับและสี่ขอบเขต สามระดับแรกคือขอบเขตแรกรู้ การบรรลุระดับที่หกคือขอบเขตขั้นต้น การบรรลุระดับที่เก้าคือขอบเขตขั้นสูง และการบรรลุระดับที่สิบสองคือขอบเขตขั้นสมบูรณ์
เมื่อเต๋ารู้แจ้งที่ควบคุมโดยผู้บ่มเพาะบรรลุถึงขอบเขตเริ่มต้น ปรากฏการณ์ของเต๋ารู้แจ้งที่ก่อรูปจะปรากฏขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อบรรลุสถานะนี้ ผู้บ่มเพาะจะสามารถควบแน่นเขตแดนเต๋าได้
แต่การทำให้เต๋ารู้แจ้งก่อรูปจนเป็นวัตถุขึ้นมานั้น จะเกิดขึ้นจากการบ่มเพาะมหาเต๋าเท่านั้น ซึ่งเต๋ารองไม่สามารถทำเช่นนี้ได้
ในบรรดาผู้บ่มเพาะที่นั่งอยู่รอบ ๆ สังเวียนของการชุมนุมธารทอง พวกเขาล้วนมีฐานการบ่มเพาะแกนทองคำหยินหยาง ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาต้องการหยั่งถึงเต๋ารู้แจ้งไม่มากก็น้อย ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ระดับของเต๋ารู้แจ้งเป็นอย่างดี ราวกับหลังมือของตัวเอง
เดิมที เมื่อพวกเขาเห็นฮวาโม่เป่ยฟันกระบี่ออกไปและสร้างสัตว์ศักดิ์สิทธิ์กระทิงขุยจากเต๋ารู้แจ้ง พวกเขาก็ตกตะลึงมากพออยู่แล้ว แต่ในขณะนี้ เมื่อพวกเขาเห็นกระทิงเพลิงนรกและกิเลนวารีปรากฏขึ้นพร้อมกันจากการโจมตีของเฉินซี พวกเขาไม่อาจระงับความตกตะลึงได้อีกต่อไป และบรรยากาศโดยรอบก็เข้าสู่ความโกลาหลในทันที
“สวรรค์! ข้าดูไม่ผิดใช่ไหม เต๋ารู้แจ้งแห่งวารีและเต๋ารู้แจ้งแห่งอัคคีของเขาได้บรรลุถึงขอบเขตขั้นต้น และก่อรูปกลายเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา นี่มันมหาเต๋าทั้งสอง! เฉินซีคนนี้ทำสำเร็จได้อย่างไร”
“ช่างอัศจรรย์ยิ่งนัก! ไม่แปลกใจเลย ที่เขาสามารถเอาชนะจี้เยว่ได้ด้วยฐานการบ่มเพาะที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นต้น เพียงแค่ความเข้าใจเต๋ารู้แจ้งขั้นสูงก็เหนือล้ำยิ่งกว่าคนอื่นโดยสิ้นเชิง!”
“น่าสะพรึงกลัว! เขาเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง! ในที่สุด อัจฉริยะเช่นนี้ก็ปรากฏขึ้นในโลกแห่งการบ่มเพาะของดินแดนทางใต้ พรสวรรค์และความแข็งแกร่งโดยธรรมชาติของเขานั้นน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก จนแทบไม่ได้ด้อยไปกว่าอัจฉริยะบางคนในโลกแห่งการบ่มเพาะของที่ราบตอนกลางของเราเลยสักนิด!”
ในสายตาของทุกคน ภาพลักษณ์ของเฉินซียิ่งใหญ่ขึ้นอีกครั้ง และตัวตนของเขาสามารถทัดเทียมกับผู้บ่มเพาะชั้นยอดในรุ่นเยาว์บางคน แต่ผลของการต่อสู้ยังไม่ได้รับการตัดสินให้แน่ชัด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถแยกแยะได้ว่าความแข็งแกร่งของเฉินซีนั้นทรงพลังถึงเพียงใด
“เห็นได้ชัดว่า เฉินซีได้ปกปิดความแข็งแกร่งในการโจมตีครั้งนี้ กระทิงเพลิงนรกที่พุ่งออกมาในขณะที่ท่องพายุอยู่นั้นก็เป็นมหาเต๋าเช่นกัน ส่วนกิเลนวารีที่ปรากฏขึ้นในขณะที่อาบด้วยแสงจากสายฟ้าก็คล้ายกับมหาเต๋าแห่งอัสนี หากเฉินซีโจมตีอย่างเต็มที่ในครั้งนั้น ข้าเกรงว่าจะมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อีกสองตัวที่เกิดจากลมและสายฟ้าปรากฏขึ้น”
เจิ้นหลิวชิงหายใจเข้าลึก ๆ ราวกับกำลังระงับความตกใจของตัวเองขณะที่กล่าวออกมาช้า ๆ ว่า “ข้าเคยพบกับเฉินซีครั้งหนึ่งในขุมสมบัติเฉียนหยวน ภายใต้การประเมินจากศิลาทดสอบเต๋าของจักรพรรดิสิ่งประดิษฐ์ในเวลานั้น เต๋ารู้แจ้งที่เขาหยั่งถึงนั้นได้เหนือกว่าตัวข้าและทุกคนโดยสิ้นเชิง และท้ายที่สุด เฉินซีก็เป็นผู้ได้อันดับหนึ่ง เนื่องจากเต๋ารู้แจ้งต่าง ๆ เกือบทั้งหมดที่เขาได้หยั่งถึงนั้นคือมหาเต๋า ในขณะที่ข้าด้อยกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งในเวลานั้น…ฐานการบ่มเพาะของเขาอยู่ที่ขอบเขตเคหาทองคำเท่านั้น”
ย่าชิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนนางจะไม่เคยคิดมาก่อนว่าเจิ้นหลิวชิงจะยอมรับว่าตนเองด้อยกว่าเฉินซีในแง่การหยั่งถึงเต๋ารู้แจ้ง ทำให้นางอดตกตะลึงไม่ได้ เจิ้นหลิวชิงนั้นเป็นคนที่จักรพรรดิฉู่องค์ปัจจุบันให้การยอมรับเป็นการส่วนตัวว่า สามารถเทียบกับชิงซิ่วอี้และหวงฝู่ฉิงอิง แต่เฉินซีกลับสามารถเอาชนะเจิ้นหลิวชิงในแง่ของการหยั่งถึงเต๋ารู้แจ้ง นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาอาจทรงพลังมากกว่าชิงซิ่วอี้และหวงฝู่ฉิงอิงหรือ?
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการแข่งขันของเต๋ารู้แจ้งเท่านั้น แต่ถ้าผลลัพธ์ดังกล่าวแพร่กระจายออกไป มันจะทำให้เกิดคลื่นพายุในโลกแห่งการฝึกฝนอย่างแน่นอน!
ครืนนน!
ทันทีที่กระทิงเพลิงนรกและกิเลนวารีปรากฏตัวบนสังเวียนต่อสู้หมายเลขสาม พวกมันก็แยกการโจมตีของฮวาโม่เป่ยออกจากกันทันที และมวลพลังธาตุน้ำจำนวนมหาศาลก็ถาโถมใส่สังเวียนประลองทั้งหมดจนมันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
โฮกก!
เสียงคำรามของหมีที่กำลังสั่นสะท้านสวรรค์ดังก้องออกมา เมื่อกระทิงเพลิงนรกที่ปกคลุมไปด้วยคลื่นเปลวไฟและกีบเท้าทั้งสี่ของมันกระทืบไปบนท้องฟ้า เขาสีขาวหยกที่เหมือนกับกระบี่โค้งของมันก็ปะทะกับฮวาโม่เป่ยอย่างรุนแรง จนเหวี่ยงร่างของเขากระเด็นขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที ทำให้ร่างกายของเขาลอยขึ้นจากสังเวียนประลองอย่างควบคุมไม่ได้
โครม!
ฮวาโม่เป่ยล้มลงกับพื้น เห็นได้ชัดว่าการโจมตีครั้งนี้ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ใบหน้าของเขาซีดอย่างน่าสยดสยอง เขากระอักเลือดสีแดงเข้มออกมาเต็มปาก จากนั้นจิตวิญญาณต่อสู้ของเขาก็ถดถอยและไม่สามารถลุกขึ้นได้อีกต่อไป
เขาพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียว…
เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ผู้คนในพื้นที่รับชมอดไม่ได้ที่จะเปล่งเสียงอุทานด้วยความตกตะลึง ราวกับว่าพวกเขาเป็นห่วงชีวิตของฮวาโม่เป่ย ในขณะเดียวกันก็ดูเหมือนไม่กล้าเชื่อว่าฮวาโม่เป่ยจะพลาดท่าอย่างรวดเร็ว
“เยี่ยมมาก! ท่านไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริง ๆ พี่เฉิน ท่านได้รับความเคารพจากข้าแล้ว” ฮวาโม่เป่ยฝืนอดทนต่ออาการบาดเจ็บสาหัสเพื่อยืนขึ้น และแม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ความยินดีเล็ก ๆ ได้พรั่งพรูออกมาบนใบหน้าของเขาในขณะที่เขากล่าวด้วยสายตาที่เร่าร้อนว่า “หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ ข้าได้เปิดหูเปิดตามากมาย และข้าจะเอาชนะท่านในการชุมนุมดาวรุ่งในปีหน้า พี่เฉิน ท่านไม่ควรหย่อนวินัยในการฝึกฝน มิฉะนั้น ข้าจะไล่ตามท่านทันอย่างแน่นอน!”
“ตกลง แล้วข้าจะรอเจ้า” เฉินซีพยักหน้าอย่างจริงจัง แม้ว่าฮวาโม่เป่ยจะคลั่งไคล้การต่อสู้ แต่เขาก็เป็นคนเปิดเผย กล้าหาญ และตรงไปตรงมา คู่ต่อสู้เช่นนี้สมควรได้รับความเคารพ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเขามีโอกาส การเป็นสหายกับฮวาโม่เป่ยก็ไม่เลวนัก
ฮวาโม่เป่ยประสานกำปั้นของเขาจากระยะไกลและไม่กล่าวอะไรอีก ก่อนจะสะพายกระบี่ของเขาไว้บนหลังและจากไปด้วยท่าทางที่ไร้กังวล ซึ่งอันที่จริง เขาไม่ได้เต็มใจที่จะออกจากการชุมนุมธารทองทั้งที่งานยังไม่จบลงเลยแม้แต่น้อย
บางทีในใจของเขา อาจจะบรรลุเป้าหมายในครั้งนี้แล้ว
การแข่งขันนี้ทำให้ทุกคนเปิดหูเปิดตาได้อย่างแท้จริง รวมถึงผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติที่เป็นประธานในการต่อสู้
ฉากที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือตอนที่เฉินซีถูกตรึงอยู่ในเกลียวคลื่น จากนั้นเขาก็ฟันออกไปด้วยเต๋ารู้แจ้งที่ก่อรูปทั้งสองประเภทในการโจมตีเพียงครั้งเดียว ฉากนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกทึ่งอย่างแท้จริง
ในโลกแห่งการบ่มเพาะทั้งหมดของราชวงศ์ซ่ง ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางที่สามารถหยั่งถึงเต๋ารู้แจ้งในระดับเริ่มต้น อาจถือว่าหาได้ยากเช่นเดียวกับขนวิหคเพลิงและเขากิเลน ชั่วขณะนั้น ทุกกระบวนท่าที่เฉินซีใช้บนสังเวียนประลองได้กลายเป็นสิ่งลี้ลับในสายตาของผู้คน และทำให้พวกเขาคาดเดาได้อย่างคลุมเครือว่า เหตุใดนายน้อยโจวและคนอื่น ๆ ถึงต้องการท้าประลองกับเฉินซี
เนื่องจากความแข็งแกร่งที่เฉินซีได้เผยออกมานั้น ทำให้ผู้บ่มเพาะทั้งหลายไม่สามารถยับยั้งความปรารถนาที่จะต่อสู้ในใจของพวกเขาได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เฉินซีเอาชนะฮวาโม่เป่ยแล้ว ก็ไม่มีผู้เข้าแข่งขันคนใดขึ้นมาบนสังเวียนเพื่อท้าประลองกับเขาอีกเลย
ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังรอให้นายน้อยโจวและคนอื่น ๆ เคลื่อนไหว บางทีภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คงมีเพียงผู้บ่มเพาะของขอบเขตแกนทองคำหยินหยางรุ่นเยาว์ที่มีชื่อเสียงมาเนิ่นนานเช่น นายน้อยโจวและคนอื่น ๆ เท่านั้นที่จะสามารถสยบเฉินซีได้
ในเวลาไม่นาน สายตาของทุกคนก็เคลื่อนออกจากสังเวียนประลองหมายเลขสาม และจับจ้องไปที่สังเวียนประลองที่นายน้อยโจว อันเชี่ยนอวี้ หวังเต้าซวี่ และซูเฉินยืนอยู่
เฉินซีไม่ได้นิ่งเฉยและฉวยโอกาสนี้รีบกินโอสถเหลวหยกนภาหลายเม็ดเพื่อเติมเต็มแก่นแท้ของเขา นับตั้งแต่ก้าวขึ้นสู่สังเวียนและต่อสู้จนถึงตอนนี้ โดยเฉพาะหลังจากต่อสู้กับจี้เยว่และฮวาโม่เป่ย แก่นแท้ภายในร่างกายของเขาได้ถูกใช้ไปแทบหมดสิ้น ซึ่งเขาไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ฐานการบ่มเพาะของเขาในขอบเขตแกนแท้ทองคำหยินหยางขั้นต้นนั้นอ่อนแอจนน่าสมเพชจริง ๆ และถ้าไม่ใช่เพราะเขาสำรองปราณแท้ไว้ตั้งแต่การต่อสู้เริ่มขึ้น เขาคงไม่สามารถยืนหยัดได้จนถึงตอนนี้
แต่นับว่าโชคดี หลังจากบรรลุขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ตราบเท่าที่เขามีโอสถสนับสนุนอย่างเพียงพอ เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าปราณแท้ของเขาจะเหือดแห้ง เพราะปราณแท้ของเขาจะฟื้นตัวทันทีเมื่อเขากินโอสถเข้าไป แน่นอนว่าการต่อสู้อย่างต่อเนื่องไม่เพียงแค่ใช้ปราณแท้เท่านั้น แต่ยังใช้พลังใจและพลังวิญญาณของเขาด้วย หากทั้งจิตใจและร่างกายของเขาเหนื่อยล้า มันจะส่งผลต่อความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเขาอย่างมาก
แต่ทั้งหมดนี้ไม่สามารถส่งผลกระทบต่อเฉินซีได้ เนื่องจากเขาผ่านประสบการณ์การต่อสู้ที่ดุเดือดมานับครั้งไม่ถ้วนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ความแข็งแกร่งทางจิตใจและความตั้งใจของเขาถูกขัดเกลาจนแข็งเหมือนเหล็กกล้าชั้นดีและแข็งแกร่งมานานแล้ว ดังนั้นการต่อสู้ที่เขาเผชิญอยู่ จึงไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกดดันเลยแม้แต่น้อย
“คนผู้นั้นคือใครกัน? เขามีปากที่ยื่นออกมาและคางเหมือนลิง รูปร่างหน้าตาของเขาน่าสังเวชยิ่งนัก แต่เขากลับสามารถต่อสู้กับนายน้อยโจวได้จนถึงตอนนี้?”
“บัดซบ! ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าคนนี้ นายน้อยโจวคงได้รับชัยชนะสี่สิบเอ็ดครั้งติดต่อกันไปตั้งนานแล้ว!”
“อันเชี่ยนอวี้แห่งนิกายกระบี่สะบั้นนภาและหวังเต้าซวี่แห่งนิกายแสงจรัสได้รับชัยชนะติดต่อกันสามสิบเก้าครั้ง ในขณะที่ซูเฉินได้รับชัยชนะสี่สิบครั้งติดต่อกัน และกำลังจะเริ่มการต่อสู้ครั้งที่สี่สิบเอ็ด หากนายน้อยโจวยังคงไม่ได้รับชัยชนะ ข้าเกรงว่าซูเฉินจะขึ้นเป็นผู้นำ”
ในขณะเดียวกันก็เกิดความโกลาหลในพื้นที่รับชม
เฉินซีตกตะลึงและเงยหน้าขึ้นมอง เขาเห็นว่าในสังเวียนประลองหมายเลขหนึ่ง นายน้อยโจวกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดกับผู้บ่มเพาะที่มีรูปร่างผอมบาง มวลพลังถาโถมและกระแสลมโหมกระหน่ำไปยังทุกทิศทาง ทำให้การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือดและไม่ธรรมดา
“หืม? นั่นมันสหายของซูเฉินมิใช่หรือ?” เฉินซีสังเกตเห็นได้อย่างรวดเร็วว่า เขาเคยเห็นชายที่การทะเบียนสำหรับการชุมนุมธารทองคนนี้ ซึ่งในเวลานั้นคนผู้นี้ได้เยาะเย้ยมู่ขุย ดังนั้นเฉินซีจึงจดจำเขาได้อย่างแม่นยำ
“ดีมาก หลิวอวี้ไป๋ เพื่อให้ซูเฉินขึ้นเป็นผู้นำ เจ้าไม่ลังเลที่จะลงมือ เพื่อขัดขวางนายน้อยคนนี้ วิธีการของตำหนักจ้าวขุนศึกนั้นสกปรกยิ่งนัก!” นายน้อยโจวตะโกนออกมาเสียงดัง ร่างของเขาเหมือนมังกรขณะทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า และนิ้วของเขาก็กางออกเหมือนกรงเล็บก่อนที่จะตะปบไปที่ศีรษะของหลิวอวี้ไป๋อย่างดุร้ายและไร้ความปรานี
“ฮิ ๆ นายน้อยโจว ในเมื่อคนอื่นสามารถท้าประลองกับเจ้าได้ ข้าก็สามารถท้าประลองเจ้าได้เช่นกัน เรื่องนี้ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่เจ้าคิด” หลิวอวี้ไป๋หัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ ร่างผอมบางของเขาก็วูบไหวไปมาเหมือนลูกข่างที่กำลังหมุน ซึ่งสามารถหลบหลีกการโจมตีอย่างรุนแรงของนายน้อยโจวได้อย่างหวุดหวิด แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ความแข็งแกร่งของเขาด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด แม้เขาจะสามารถหลบหลีกภายใต้การโจมตีที่ดุเดือดของนายโจว แต่เขาไม่สามารถตอบโต้ได้อย่างเต็มที่
“ฮึ่ม! เจ้าคิดทำให้ซูเฉินได้เป็นผู้นำด้วยวิธีการเช่นนี้หรือ?” นายน้อยโจวคำรามด้วยความดูถูกเหยียดหยาม จากนั้นเขาก็ตะโกนเสียงดังไปทางพื้นที่รับชม “หลินจวิน จงหยุดซูเฉินเพื่อข้า!”
“ขอรับนายน้อย”
ฟิ้ว!
ก่อนสิ้นเสียงของเขา ร่างหนึ่งก็พุ่งออกมาจากพื้นที่รับชม คนผู้นี้สูงโปร่งและดุร้าย มีดวงตาเฉียบคมและผิวสีทองเหลือง ซึ่งเผยให้ผู้อื่นรู้สึกถึงความดุร้ายและไม่ยอมสยบให้แก่ผู้ใด เขาเหยียบย่ำอยู่กลางอากาศ ทำให้เกิดเสียงแตกดังก้องไปบนท้องฟ้าและมันก็เผยให้เห็นถึงการบ่มเพาะที่ทรงพลังของเขา จากนั้นเขามาถึงสังเวียนประลองของซูเฉินในพริบตา
“นายน้อยซู โปรดชี้แนะด้วย” หลินจวินประสานกำปั้นของเขาและกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
สีหน้าของซูเฉินมืดมนทันที เนื่องจากเขาเหลือการต่อสู้อีกเพียงครั้งเดียวก็จะได้บดขยี้ศัตรูที่เป็นชนวนต้นเหตุที่ทำให้ตระกูลของเขาถูกทำลาย แต่น่าเสียดายที่เขาถูกรบกวนในช่วงเวลาที่สำคัญ
ยิ่งไปกว่านั้น เขาสามารถแยกแยะได้ว่าหลินจวินเป็นผู้บ่มเพาะเช่นกัน บางทีความแข็งแกร่งของหลินจวินอาจด้อยกว่าเขา แต่ถ้าหลินจวินจงใจพัวพันเขาอย่างสุดความสามารถ เขาก็ไม่สามารถเอาชนะ หลินจวินได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ
“นายน้อยซู ระวังด้วย!” หลินจวินไม่รั้งรอแม้แต่น้อย เขากระทืบพื้นอย่างดุดัน จากนั้นก็กระโจนเข้าหาซูเฉินเหมือนเสือดาว
กระแสลมส่งเสียงหวีดหวิวรอบตัวเขา ซูเฉินไม่กล้าคิดอีกต่อไปเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงพลังงานอันดุร้ายที่พลุ่งพล่านบนร่างของหลินจวิน และเขาก็ทำได้เพียงเดินหน้าเพื่อจัดการกับคู่ต่อสู้ของเขา ทันใดนั้นซูเฉินก็ติดอยู่ในการต่อสู้กับหลินจวินแล้ว
เมื่อเห็นฉากนี้ เฉินซีจึงส่ายศีรษะ ทั้งนายน้อยโจวและซูเฉินอาจจะสูญเสียตำแหน่งที่หนึ่งไป เมื่อคิดว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะเขา เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ
แต่อันที่จริง ในใจของเฉินซี เขาคาดหวังว่าซูเฉินจะขึ้นสังเวียนประลองของเขา เพราะเขาต้องการฆ่าซูเฉินเหมือนกับที่ซูเฉินต้องการฆ่าเขา!
นี่เป็นศัตรูตัวฉกาจ และเป็นไปไม่ได้ที่จะกำจัดโดยไม่ฆ่าอีกฝ่าย
“อันเชี่ยนอวี้ได้รับชัยชนะสี่สิบเอ็ดครั้งติดต่อกัน!”
“หวังเต้าซวี่ได้รับชัยชนะสี่สิบเอ็ดครั้งติดต่อกัน!”
ในขณะนี้ เสียงของผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติที่เป็นประธานในการต่อสู้ได้ดังขึ้นจากสังเวียนประลองทั้งสองแห่งอย่างพร้อมเพรียงกัน ซึ่งหมายความว่าทั้งสองคนนี้มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้ท้าชิงคนแรกที่จะท้าประลองกับเฉินซีในเวลาเดียวกัน
ไม่ต้องกล่าวถึงเฉินซี แม้แต่ผู้คนที่อยู่ในตอนนี้ก็อาจไม่เคยจินตนาการถึงผลลัพธ์เช่นนี้มาก่อน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคนก็คือ อันเชี่ยนอวี้กลับส่ายศีรษะและกล่าวกับเฉินซีว่า “ข้าเห็นการต่อสู้ของเจ้ากับฮวาโม่เป่ยก่อนหน้านี้ ข้ารู้สึกว่าการได้รับชัยชนะโดยไม่ต้องใช้ไพ่ตายนั้นเป็นเรื่องยากสำหรับข้า ดังนั้นข้าจะไม่ต่อสู้ในครั้งนี้”
เฉินซีตกตะลึง แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
“เจ้าจะไม่สู้กับเขาจริง ๆ หรือ?” หวังเต้าซวี่เอ่ยถาม
“มันไม่สายเกินไปที่จะประลองกับเขาอีกครั้งที่การชุมนุมดาวรุ่งในปีหน้า” ใบหน้าของอันเชี่ยนอวี้สงบอย่างผิดปกติขณะที่เขากล่าวอย่างเฉยเมยว่า “การต่อสู้ก่อนหน้านี้ทำให้ข้าประทับใจเป็นอย่างมาก การเข้าร่วมการชุมนุมธารทองของข้าในครั้งนี้ถือว่าคุ้มค่าแล้ว ดังนั้นข้าจึงตั้งใจที่จะกลับไปที่นิกายและเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะ และเมื่อการชุมนุมดาวรุ่งมาถึง ความแข็งแกร่งของข้าจะก้าวหน้าไปอีกขั้นอย่างแน่นอน”
ทันทีที่เขากล่าวจบ อันเชี่ยนอวี้ก็กระโดดลงจากสังเวียนประลองและจากไปเพียงลำพัง เขาไม่สนใจสายตาแปลก ๆ ที่ทุกคนมองมาที่เขาเลยแม้แต่นิดเดียว
“หรือว่าคนผู้นี้กำลังปกปิดความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา? เจ้าไม่ได้ยินที่สิ่งที่เขาบอกว่ายังมีไพ่ตายอยู่อีกหรือ? บางทีเขาอาจไม่เต็มใจที่จะเปิดเผยมันตอนนี้และต้องการใช้มันในระหว่างการชุมนุมดาวรุ่งเท่านั้น?”
“หึ! เห็นได้ชัดว่าเขารู้ว่าตนเองด้อยกว่าเฉินซี ดังนั้นเขาจึงหลีกเลี่ยงการต่อสู้และหลบหนีไป”
“ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้น อันเชี่ยนอวี้เป็นผู้บ่มเพาะอันดับต้น ๆ ของนิกายกระบี่สะบั้นนภาและด้วยการกระทำเช่นนี้ของเขา ก็ย่อมมีเหตุผลที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่เบื้องหลัง แต่น่าเสียดายที่เราไม่สามารถเป็นสักขีพยานต่อความไร้เทียมทานของเขาในการในการชุมนุมธารทองอีกต่อไป”
ผู้คนต่างพูดคุยถึงเรื่องนี้อย่างมีชีวิตชีวา ก่อนหน้านี้ที่ฮวาโม่เป่ยพ่ายแพ้และจากไปด้วยสีหน้าไร้กังวลนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย แต่อันเชี่ยนอวี้กลับตัดสินใจจากไปโดยไม่คิดจะต่อสู้กับเฉินซีนั้น มันดูน่าแปลกเกินไป
“แม่นางเจิ้น ข้าได้ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าแล้ว เจ้าควรจะตอบคำถามของข้าได้แล้วกระมัง?” อันเชี่ยนอวี้มาถึงพื้นที่รับชมและหัวเราะอย่างขมขื่นขณะที่เขามองไปที่เจิ้นหลิวชิง เมื่อเผชิญกับการถกเถียงถึงเขาจากผู้คน ความกดดันที่มีต่อเขานั้นยิ่งใหญ่มากเช่นกัน
ย่าชิงผงะไปครู่หนึ่งและตระหนักได้ทันทีว่า “การที่อันเชี่ยนอวี้ยอมสละสิทธิ์ในการท้าประลองนั้น ต้องได้รับผลกระทบมาจากเจิ้นหลิวชิงอย่างแน่นอน ผู้หญิงคนนี้กำลังคิดจะทำสิ่งใดกันแน่?