บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 316 แสงจรัสนิรันดร
บทที่ 316 แสงจรัสนิรันดร
บทที่ 316 แสงจรัสนิรันดร
ย่าชิงได้รับคำตอบสำหรับคำถามของนางอย่างรวดเร็ว
เจิ้นหลิวชิงไม่มีเจตนาที่จะปิดบังและกล่าวอย่างชัดเจนว่า “ในการเอาชนะฮวาโม่เป่ยก่อนหน้านี้ เฉินซีได้ใช้พลังเพียงครึ่งเดียวในการโจมตีเท่านั้น เจ้าคิดว่าการบ่มเพาะของตัวเจ้าจะสามารถต้านทานการโจมตีของเขาได้หรือไม่ หากเขาได้ใช้พลังทั้งหมดขึ้นมา?”
เดิมทีอันเชี่ยนอวี้รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเพราะในใจของเขา เฉินซีไม่เคยอยู่ในสายตาของเขาเลยสักนิด แต่การชุมนุมธารทองในวันนี้ ทำให้เขาต้องเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเฉินซีเสียใหม่ เนื่องจากเขาจะยอมรับได้อย่างไร หากมีคนบอกว่าเฉินซีนั้นเหนือกว่าเขาอย่างแน่นอน?
แต่หลังจากนั้น เมื่อเขาไตร่ตรองเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างเฉินซีกับบฮวาโม่เป่ยอย่างถี่ถ้วน เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ จำนวนหนึ่งก็ไหลออกมาบนหน้าผากของเขาทันทีและสีหน้าของเขาก็มีร่องรอยความกังวลอยู่เล็กน้อย
หากกระบวนท่านั้นถูกใช้ด้วยพลังของเขาทั้งหมด…
สีหน้าของอันเชี่ยนอวี้หนักอึ้งอย่างชัดเจน คิ้วของเขาขมวดแน่นราวกับว่าเขากำลังประสบกับปัญหาครั้งใหญ่ แม้กระทั่งเขาก็ยังรู้สึกหายใจแทบไม่ออกด้วยซ้ำ หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กัดฟันและกล่าวว่า “ข้ายอมรับว่ากระบวนท่านั้นน่าสะพรึงกลัวจริง ๆ แต่ถ้าข้าใช้ไพ่ตายที่มีอยู่ มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะต้านทานไม่ได้”
“แล้วหลังจากที่เจ้าต้านทานมันแล้วล่ะ?” ดูเหมือนว่าเจิ้นหลิวชิงจะคาดการณ์เช่นนี้ไว้อยู่แล้ว นางจึงเอ่ยถามโดยไม่ต้องคิดเลยสักนิด
อันเชี่ยนอวี้ตกตะลึงไปชั่วขณะ ร่างกายของเขาราวกับสูญเสียพลังที่จะยืนหยัด และความสิ้นหวังก็เกิดขึ้นในใจของทันที ‘ใช่แล้ว… แม้ว่าข้าจะสามารถต้านทานการโจมตีครั้งนี้ได้ แต่มันก็ยังมีครั้งที่สอง ครั้งที่สาม… แล้วข้าจะต้านทานไปได้นานสักเพียงใด?’
เฉินซีสามารถโจมตีครั้งที่สองได้หรือไม่?
แน่นอนว่าเขาสามารถทำได้!
แม้ว่าเขาจะเอาชนะฮวาโม่เป่ยได้ แต่เขาก็สามารถออมพลังไว้ในร่างกาย ดังนั้นเขาจะไม่สามารถโจมตีครั้งที่สองเช่นนี้ได้อย่างไร?
น่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว!
‘เจ้าเด็กคนนี้น่าสะพรึงกลัวจริง ๆ เขาเป็นแค่ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นต้นเท่านั้น แต่เขากลับสามารถเก็บออมพลังไว้ได้ หลังจากที่เผชิญกับการต่อสู้มาหลายสิบครั้งก็ตาม ขีดจำกัดพลังที่แท้จริงของเขาอยู่ที่ใดกันแน่?’
จิตใจของอันเชี่ยนอวี้เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย หลังจากนั้นไม่นาน เขาจึงกล่าวอย่างขมขื่นว่า “แม่นางเจิ้นได้ช่วยข้าเป็นอย่างมากในครั้งนี้ มิฉะนั้น ข้าเกรงว่าจะไม่อาจหลีกเลี่ยงจากการพ่ายแพ้ได้”
แม้ว่าเขาจะกล่าวทำนองนี้ แต่น้ำเสียงของเขากลับแสดงความไม่เต็มใจ เมื่อลองไตร่ตรองถึงสิ่งนี้ หากมีใครถูกขอให้ยอมรับว่าตนเองนั้นด้อยกว่าผู้อื่นด้วยคำกล่าวเพียงไม่กี่คำ ไม่ว่าใครก็คงรู้สึกไม่เต็มใจทั้งนั้น
เจิ้นหลิวชิงยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าคงไม่เต็มใจ ดูสิ หวังเต้าซวี่กำลังจะท้าประลองกับเฉินซี และความแข็งแกร่งของเจ้าก็เทียบเท่ากับเขา ดังนั้นเมื่อการต่อสู้ครั้งนี้จบลง บางทีมันอาจจะเปลี่ยนวิธีคิดของเจ้าไปอย่างสิ้นเชิง”
อันเชี่ยนอวี้ตกตะลึง จากนั้นเขาก็มองไปที่สังเวียนประลองหมายเลขสามทันที
ในขณะนี้ สายตาของผู้คนส่วนใหญ่ได้พุ่งไปที่สังเวียนประลองหมายเลขสาม และหวังเต้าซวี่ก็ยืนอยู่บนสังเวียนต่อสู้แล้ว ซึ่งเขากำลังยืนเผชิญหน้ากับเฉินซีอยู่ในระยะไกล
หวังเต้าซวี่เป็นศิษย์ของนิกายแสงจรัส ซึ่งเป็นนิกายเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงในที่ราบตอนกลาง พรสวรรค์ของเขานั้นไม่ธรรมดา ความแข็งแกร่งของเขาก็น่าเกรงขาม และเขามีชื่อเสียงเลื่องลือในโลกแห่งการบ่มเพาะของที่ราบตอนกลางมาตั้งแต่อายุยังน้อย
ในขณะนี้ ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผู้สวมชุดขนนกเรืองแสงกับรองเท้าที่มีลวดลายเมฆและดาวเจ็ดดวงได้ยืนอยู่บนสังเวียนประลองด้วยท่าทางที่สง่าผ่าเผย ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่เขาจะดึงดูดสายตาของผู้คนนับไม่ถ้วน
เคร้ง!
ประกายกระบี่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจากแผ่นหลังของหวังเต้าซวี่ ทำให้เกิดแสงสว่างที่เชื่อมต่อโดยตรงกับเส้นขอบฟ้า ส่องประกายรัศมีไปทั่วท้องฟ้าผืนดินอย่างงดงามและน่าประทับใจ เห็นได้ชัดว่ากระบี่นี้เป็นสมบัติวิเศษระดับปฐพีขั้นสุดยอด ตัวกระบี่ส่องประกายเหมือนน้ำ มีลวดลายเมฆถูกจารึกไว้บนนั้นนับไม่ถ้วนและมันก็เหมือนเมฆหลากสีที่แหวกออกจากขอบฟ้า เผยให้เห็นเส้นรัศมีที่เย็นชาและดุร้ายภายในความสง่างามของมัน
“พี่เฉิน โปรดชี้แนะด้วย” หวังเต้าซวี่ยืนตัวตรงถือกระบี่อยู่ในมือและกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งขันและมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง แก่นแท้และจิตวิญญาณในร่างกายทั้งหมดของเขาถูกควบแน่นในระดับสูง ทำให้เขาเข้าสู่สภาวะที่เหมาะสมที่สุดในทันที ซึ่งเป็นความสามารถที่จำเป็นต่อผู้บ่มเพาะกระบี่ เนื่องจากเต๋าแห่งกระบี่ของผู้ฝึกฝนกระบี่นั้นจะพุ่งไปข้างหน้าด้วยจิตวิญญาณที่ไม่ย่อท้อและบดขยี้อุปสรรคทั้งหมดที่กีดขวางตนเอง
เฉินซีพยักหน้า “เชิญ”
“รัศมีทะยานเวหา!” เมื่อหวังเต้าซวี่ลงมือ เขาปราศจากความลังเลและโจมตีโดยตรง กระบี่ของเขาพุ่งออกไปอย่างดุดัน สาดแสงพร่างพรายออกมาและกลายเป็นปราณกระบี่สีดอกกุหลาบจำนวนมากบนท้องฟ้า ราวกับพายุหิมะที่ส่องประกายเจิดจ้า ซึ่งโหมกระหน่ำไปยังจุดที่เฉินซียืนอยู่
ตู้ม!
พายุหิมะระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ ขณะที่ปราณกระบี่ได้กระจายออกไปโดยทั่ว ทว่าเฉินซีซึ่งสวมชุดสีฟ้ากลับไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากการโจมตีของหวังเต้าซวี่ถูกกระบี่สวินแห่งวายุฟันทำลายจนสิ้นสภาพ
“แสงจรัสเย้ายวน!” หวังเต้าซวี่ดูเหมือนจะไม่แปลกใจเลยสักนิด ร่างของเขาทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าขณะที่เขาก้าวเท้าไปตามรูปแบบของดาวกระบวยใหญ่ จากนั้นปราณกระบี่ก็ฉีกผ่านท้องฟ้า จนปรากฏดอกเบญจมาศอันบอบบางที่เปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์อยู่มากมาย ราวกับพวกมันได้ก่อตัวขึ้นจากมวลเมฆสีดอกกุหลาบ และเมื่อพวกมันถูกแสงอาทิตย์สาดส่อง ก็จะส่องประกายเหมือนแก้วหลากสีที่หมุนตัวอย่างช้า ๆ เปล่งเสียงกังวานไปทั่วท้องฟ้า และดอกเบญจมาศเหล่านี้จะกลายเป็นลำแสงที่ปกคลุมท้องฟ้าพุ่งเข้าหาเฉินซีจากทุกทิศทุกทาง
“พี่หวัง แสดงพลังที่แท้จริงของเจ้าออกมาเถอะ” เฉินซีก้าวไปข้างหน้าในขณะที่เขาเหวี่ยงยันต์ศัสตราออกมาอย่างสบาย ๆ ทำให้ดอกเบญจมาศทั้งหมดแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ และพลังที่เหลืออยู่ของปราณกระบี่ก็ทะลุทะลวงผ่านท้องฟ้า จนมันแยกออกเป็นปุยฝ้ายเล็ก ๆ ซึ่งเผยให้เห็นถึงความเฉียบคมที่รุนแรงและน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง
“ตกลง! ในเมื่อมันเป็นเช่นนี้ ข้าจะไม่ปิดบังพลังที่แท้จริงอีกต่อไป!” ในขณะที่เขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง จู่ ๆ ดวงตาของหวังเต้าซวี่ก็ส่องประกายแสงเจิดจ้าออกมาอย่างกะทันหัน จากนั้นเขาก็สร้างผนึกกระบี่ด้วยมือขวาของเขาและปราณแท้ที่น่าตกตะลึงก็ได้กระจายออกมาจากร่างของเขา
ครืน!
จู่ ๆ ทะเลเมฆที่สว่างไสวและยิ่งใหญ่อย่างหาที่เปรียบมิได้ก็ปรากฏขึ้น และมีมวลเมฆสีดอกกุหลาบแผ่ออกไปมากมาย ยิ่งไปกว่านั้น มวลเมฆสีดอกกุหลาบเหล่านี้ก็ก่อตัวขึ้นจากปราณกระบี่อันแหลมคมที่สานเข้าด้วยกันอย่างถี่ยิบ และควบแน่นกลายเป็นทะเลเมฆสีดอกกุหลาบ ปราณกระบี่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับเปล่งแสงเจิดจ้า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้บดบังท้องฟ้าและผืนดิน ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ไปอย่างสิ้นเชิง
ภายใต้แรงกดดันจากเฉินซี หวังเต้าซวี่จึงจำเป็นต้องใช้กระบวนท่าไม้ตายออกมาตั้งแต่เริ่มการต่อสู้
เนื่องจากเขาไม่มีทางเลือกอื่น ก่อนที่จะต่อสู้กับเฉินซีนั้น เขาไม่ได้รู้สึกถึงสิ่งใดเลยสักนิด แต่เมื่อเขาได้ต่อสู้แล้ว หวังเต้าซวี่ก็รู้สึกถึงแรงกดดันจากเฉินซีในท้ายที่สุด การโจมตีแต่ละครั้งของเฉินซีนั้นดูเรียบง่ายและไม่มีกลิ่นอายการต่อสู้ใด ๆ แต่การโจมตีเบา ๆ และเรียบง่ายเหล่านี้กลับน่าสะพรึงกลัวที่สุด เนื่องจากไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าศัตรูจะโจมตีกะทันหันเมื่อใด หรือเมื่อใดที่คู่ต่อสู้สามารถฉกฉวยช่องโหว่และโจมตีอย่างรุนแรง
หากแบ่งผู้บ่มเพาะกระบี่ออกเป็นประเภทต่าง ๆ บางคนก็เป็นหมาป่าเดียวดายที่เคลื่อนไหวอย่างอิสระและกัดฟันรอคอยอย่างอดทนก่อนที่จะโจมตีอย่างโหดเหี้ยม บางคนเป็นอสรพิษที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด และพวกมันก็ลงมือสังหารเมื่อถูกโจมตี บางคนก็เหมือนกับพยัคฆ์ดุร้ายที่ดุดันและมีอำนาจเหนือใครด้วยกลิ่นอายผ่าเผยไร้ผู้เปรียบ…
เฉินซีเป็นดั่งนักล่าที่คุ้นเคยกับกฎของพงไพร และไม่ว่าหมาป่าจะเจ้าเล่ห์เพียงใดหรืออสรพิษจะโหดเหี้ยมเพียงใด และพยัคฆ์จะดุร้ายเพียงใด พวกมันทั้งหมดก็ไม่สามารถหลบหนีการควบคุมของเขาได้โดยสิ้นเชิง
หวังเต้าซวี่ไม่เคยรู้สึกถึงแรงกดดันที่ไม่มองเห็นเช่นนี้จากผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเลยสักครั้ง และการต่อสู้ในวันนี้ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญ
ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลที่จะใช้ไพ่ตายของเขาและพยายามพลิกสถานการณ์ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว เพื่อที่เขาจะเป็นผู้ได้เปรียบอย่างแท้จริงและคว้าเอาชัยชนะในตอนท้ายที่สุด
“แสงจรัสนิรันดร! กระบวนท่านี้คือไพ่ตายของหวังเต้าซวี่ มันแฝงด้วยเต๋ารู้แจ้งแห่งเมฆาจรัสที่เหมือนสายฟ้าเมื่อบรรจบและเหมือนสายลมเมื่อกระจายตัว ในระหว่างการบรรจบและกระจายตัวอย่างฉับพลันนั้น เป็นดั่งใยแมงมุมที่ซุกซ่อนเจตนาฆ่าอยู่ในทุกซอกทุุกมุม หากมีใครถูกมันห่อหุ้มไว้ คนผู้นั้นจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน นอกจากนี้ กระบวนท่านี้ยังเป็นหนึ่งในไพ่ตายที่ทรงพลังที่สุดในวิชากระบวนยุทธ์ระดับเต๋าของนิกายแสงจรัสที่มีนามว่ากระบี่พิชิตนภาจรัสแสง เหตุใดเขาถึงได้ใช้มันตั้งแต่เริ่มการต่อสู้?”
ณ พื้นที่รับชม ดวงตาของอันเชี่ยนอวี้เบิกโพลงและเขาไม่อาจเข้าใจได้ว่าหวังเต้าซวี่กำลังคิดอะไรอยู่ ในฐานะสหายที่สนิทสนมที่สุดคนหนึ่งของหวังเต้าซวี่ เขาย่อมรู้ว่ารูปแบบการต่อสู้ของหวังเต้าซวี่นั้น เป็นแบบไล่ต้อนคู่ต่อสู้อย่างช้า ๆ เพื่อผลักดันให้อีกฝ่ายตกอยู่ในความสิ้นหวัง และลงมือพิชิตศึกเมื่อพบช่องโหว่
เจิ้นหลิวชิงเพียงยิ้มเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ไขความกระจ่างให้แก่เขา เนื่องจากบางสิ่งจำเป็นต้องตัดสินผลลัพธ์ของการต่อสู้ก่อนที่ใครจะเข้าใจได้ทุกอย่าง และมันก็ไม่ได้สร้างความแตกต่าง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะชี้แนะและช่วยเหลือมากแค่ไหนก็ตาม
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ทะเลเมฆปล่อยไอน้ำออกมาปกคลุมบริเวณโดยรอบ ทำให้สังเวียนประลองทั้งหมดอยู่ภายใต้ปราณกระบี่ขนาดใหญ่ที่ซัดสาดไปมา ทำให้มันเปล่งเสียงครึกโครมเสมือนกับเสียงรัวกลองที่เกิดจากการปะทะ ในขณะที่มันสั่นสะเทือนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ในทางกลับกัน เฉินซีได้ถูกล้อมรอบอยู่ใจกลางทะเลเมฆ และเมื่อมองจากระยะไกล เมฆสีดอกกุหลาบที่ไร้ขอบเขตก็ล้อมรอบและกดดันเขามาจากทุกทิศทุกทาง ราวกับว่าพวกมันต้องการกลืนกินเขาให้หมดสิ้น
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีที่ปกคลุมท้องฟ้าและผืนดินเช่นนี้ ทันใดนั้น เฉินซีก็เหวี่ยงยันต์ศัสตราในมือของเขาออกไป
เหล่าผู้ชมต่างก็งุนงงสับสน เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าเหตุใดเฉินซีถึงได้นิ่งเฉยและไม่ลงมือด้วยกระบวนท่าที่ทรงพลังที่สุด เพื่อหลบหนีจากทะเลเมฆในช่วงวิกฤตเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น มวลเมฆสีดอกกุหลาบเหล่านี้ก็ถูกควบแน่นจากปราณกระบี่ที่แหลมคม และถ้าเขายังคงล่าช้าเช่นนี้ การโจมตีที่กำลังถาโถมเข้ามาเป็นดั่งพายุที่โหมกระหน่ำ ซึ่งไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยง
ฟิ้ว! หวือ! ฟิ้ว!
ฟิ้ว! ฟึ่บ! ฟิ้ว!
คลื่นเสียงแผ่วเบาของสายลมดังขึ้นอย่างฉับพลัน ราวกับเสียงคร่ำครวญของภูตผีพัดผ่านท้องฟ้าและผืนดิน ซึ่งมันสะเทือนแก้วหูของผู้คนที่อยู่ในบริเวณโดยรอบ จนพวกเขารู้สึกเสียดหูอย่างรุนแรง
ครืนนนน!
ในขณะนี้ ผู้คนต่างก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีพายุที่หมุนอย่างบ้าคลั่งปรากฏขึ้นรอบ ๆ ตัวเฉินซีและเชื่อมตรงไปยังเส้นขอบฟ้า มวลพลังที่เหมือนพายุนั้น ดูเหมือนเป็นวัตถุที่จับต้องได้และเผยให้เห็นกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวที่สามารถบดขยี้ ฉีกกระชากเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และทำลายทุกสรรพสิ่งขณะที่มันกระจายออกไปยังบริเวณโดยรอบ
ภายใต้ความเกรี้ยวกราดของพายุนี้ ทะเลเมฆที่ม้วนตัวอยู่ก็ขาดออกจากกันเหมือนปุยฝ้ายกลายเป็นเกลียวเมฆที่ถูกพายุพัดพาไป
พายุหมุนที่บดขยี้มวลเมฆ!
นี่เป็นเพียงคำอธิบายต่อปรากฏการณ์เช่นนี้
“แสดงให้ข้าดูสิว่าเจ้าแข็งแกร่งพอที่จะทำลายไพ่ตายของข้าได้ไหม!” หวังเต้าซวี่ก้าวถอยไปสองสามก้าวด้วยความตกใจและจากนั้นก็กลับคืนสู่ความปกติ
“งั้นเจ้าก็รับกระบวนท่าของข้าด้วยสิ โลกันตร์เพลิงสวรรค์!” ในขณะที่เก็บออมพลังของเขาไว้ที่ประมาณหกส่วน ร่างของเฉินซีก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับเปลวไฟโปร่งแสงที่พวยพุ่งออกมาจากยันต์ศัสตราในมือของเขาอย่างกะทันหัน จากนั้นคลื่นเปลวเพลิงที่ไร้ขอบเขตก็ระเบิดออกไปยังทุกทิศทุกทาง สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเหมือนกับฉากของภูเขาไฟที่กำลังปะทุ โดยมีหินหลอมเหลวที่ร้อนดั่งมังกรที่ทะลวงทุกสิ่ง และมันก็ครอบคลุมสังเวียนประลองทั้งหมดในทันที
เปลวไฟเหล่านี้ก่อตัวขึ้นจากปราณกระบี่ ซึ่งแฝงไปด้วยเต๋ารู้แจ้งแห่งอัคคีที่รุนแรงและเกรี้ยวกราด หากลองมองอย่างระมัดระวัง จะพบว่าการกระบวนท่านี้คล้ายกับกระบวนท่าแสงจรัสนิรันดรที่หวังเต้าซวี่เพิ่งใช้ออกมา
แต่มันก็ยังมีความแตกต่างอยู่เล็กน้อย หากถือว่าปราณกระบี่ของหวังเต้าซวี่เป็นเหมือนทะเลเมฆที่พวยพุ่ง ปราณกระบี่ของเฉินซีในขณะนี้ก็เหมือนกับทะเลเพลิงอันยิ่งใหญ่ที่ถาโถมอย่างดุดัน!
นี่เป็นการกระบวนท่าที่เฉินซีบัญญัติขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ และอาจถือได้ว่าเป็นฝึกฝนและการประยุกต์ใช้ได้อย่างสร้างสรรค์
ซึ่งมันสายเกินไปแล้วที่จะหลบ ดังนั้นหวังเต้าซวี่จึงโคจรปราณแท้ทั้งหมดของเขาทันที เพื่อควบแน่นม่านพลังกระบี่ที่แยกตัวเขาออกจากสิ่งรอบข้าง ทว่าเมื่อทะเลเพลิงถาโถมเข้ามา ในที่สุดเขาก็รู้ว่าพลังของมันน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงใด
ปัง! ปัง! ปัง!
ทันใดนั้น หวังเต้าซวี่ก็ไม่รู้ว่าตนเองถูกโจมตีไปกี่ครั้ง และม่านพลังกระบี่ก็ใกล้จะพังทลายแล้ว
‘บัดซบ! มันแทบจะต้านทานไม่ได้แล้ว ไม่ว่าพลังป้องกันของมันจะแข็งแกร่งถึงเพียงใด แต่มันก็ไม่สามารถต้านทานการโจมตีที่ถาโถมอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเช่นนี้ และมีบางครั้งที่มันเล็ดรอดเข้ามาราวกับหยดน้ำไหลผ่านซอกหิน’ ในขณะนี้ หวังเต้าซวี่รู้ว่าเขาได้ทำผิดพลาดอย่างร้ายแรงก่อนหน้านี้ และนั่นหมายความว่าเขาไม่ควรตั้งรับอีกต่อไป…
“แสงจรัส…” ปฏิกิริยาของหวังเต้าซวี่นั้นรวดเร็วมากเช่นกัน และเขาก็ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนการป้องกันเป็นการโจมตีและฝ่าวงล้อมที่แน่นหนาในทันที แต่เฉินซีจะให้โอกาสแก่เขาได้อย่างไร ปราณกระบี่เคลื่อนไหวอย่างหนาแน่นและรุนแรงยิ่งขึ้น บังคับให้เขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้านทานการโจมตีด้วยกำลังทั้งหมดของเขาและสีหน้าของเขาก็ค่อย ๆ ซีดลง
เพล้ง!
ม่านพลังกระบี่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เมื่อพวกเขาเห็นทะเลเพลิงกำลังจะกลืนกินหวังเต้าซวี่ แม้แต่ผู้คนในบริเวณพื้นที่รับชมก็ทนมองไม่ได้ ในขณะนี้ ทะเลเพลิงทั้งหมดได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับว่ามันระเหยไปในอากาศและมันแสดงให้เห็นถึงทักษะการควบคุมพลังอย่างแม่นยำของเฉินซี
“ข้าแพ้แล้วจริง ๆ…” หวังเต้าซวี่มีสีหน้างุนงงสับสน ในขณะที่เขาพึมพำอย่างไม่มีที่สิ้นสุด