บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 321 เหตุผลของการซุ่มโจมตี
บทที่ 321 เหตุผลของการซุ่มโจมตี
บทที่ 321 เหตุผลของการซุ่มโจมตี
เฉินซีโกรธมากและความคิดของเขาก็กำลังวุ่นวายอยู่เช่นกัน
การปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของเจิ้นหลิวชิงและย่าชิง รวมถึงข่าวที่ทั้งสองนำมาก็มีมากเกินกว่าที่เขาจะประมวลผลได้ทันไปชั่วขณะหนึ่ง
ภายใต้สายตาประหลาดใจของหญิงสาวทั้งสอง เฉินซีก็ลุกขึ้นทันที ก่อนจะเดินไปถึงโต๊ะ จากนั้นก็เปิดแท่นหมึกแล้วกางกระดาษสีขาวออก หลังจากนั้นก็หายใจเข้าลึก ๆ ก่อนยกพู่กันขึ้นเขียน
ในเวลาเช่นนี้เขายังคงมีอารมณ์จะเขียนอะไรอีกหรือ?
หญิงสาวสองคนเหลือบมองกัน ดวงตาของพวกนางมีร่องรอยความกังวลปรากฏอยู่
การกระทำที่ดูผิดปกติของเฉินซีบ่งบอกว่าในใจไม่ได้สงบเหมือนที่แสดงออกมาภายนอกอย่างเห็นได้ชัด
แต่เขาเขียนอะไรอยู่กันแน่?
หญิงสาวทั้งสองคนไม่ได้รบกวนเฉินซี จากนั้นพวกนางก็เดินออกมาด้านหน้าเงียบ ๆ และหยุดดู
ลายมือเฉินซีนั้นงดงามมาก ลายเส้นดูแข็งแรง งามสง่า และคล่องแคล่วนัก
ตัวอักษรเล็ก ๆ เรียงแถวยาวคล้ายกับอักขระยันต์ที่กำลังหลั่งไหลอย่างมีจังหวะจะโคน ภายใต้แสงสว่างจากหินแสงจันทร์ มันเผยให้เห็นความงามที่ไม่อาจอธิบายได้ คล้ายจะมีกลิ่นอายของมหาเต๋าที่ลึกล้ำซ่อนเร้นอยู่อย่างบอกไม่ถูก
หญิงสาวทั้งสองเผยแววประหลาดใจ พวกนางไม่เคยคิดเลยว่าความรอบรู้ในการเขียนอักษรของเฉินซีนั้นจะล้ำลึกมาก ไม่นาน จิตใจพวกนางก็ถูกเนื้อหาที่เฉินซีเขียนดึงดูดไป
มือมืดหลังม่าน ตำหนักจ้าวปัญญาแห่งที่ราบตอนกลาง นิกายสวรรค์ปฐพี นิกายเตากลั่นเซียนนพเก้า นิกายกระเรียนพิสุทธิ์ เกาะฉลามมังกรแห่งทะเลตะวันออก และภูเขานภาลัยแห่งดินแดนป่าเถื่อนทางตอนเหนือ
กองกำลังใหญ่ทั้งหกนี้สมควรตาย!
และกลุ่มตะวันเร้นแห่งตำหนักตะวันดำ กองกำลังที่สังหารคนเพื่อเงินและทำตัวไม่มีขื่อมีแปแห่งนี้ก็สมควรถูกกวาดล้างให้สิ้นไปเช่นกัน!
พวกนักฆ่ามีระดับพลังอยู่ที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ทุกคนล้วนเชี่ยวชาญการลอบสังหาร มีประสบการณ์การต่อสู้มามากมายและไม่เคยพ่ายแพ้ คนชั่วแบบนี้สมควรตาย!
เส้นทางการลอบสังหารนั้นอยู่ระหว่างเมืองนภาครามกับนครหลวงธารสายไหม เส้นทางควรมาบรรจบกัน และจำต้องกระทำให้ได้…
เมื่อเขียนถึงตรงนี้ เฉินซีก็วางพู่กันลงบนโต๊ะก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ อารมณ์ที่หว่างคิ้วดูสงบลง ราวกับว่าคำทั้งหลายที่เขียนลงไปก่อนหน้านี้ทำให้ความคิดไหลรื่นยิ่งขึ้น ทำให้จิตใจและร่างกายผ่องใส
สาวทั้งสองนางชะงักไป พวกนางสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่ไม่คิดปิดบังจากแผ่นกระดาษนั้น มันหนาแน่นเสียจนไม่อาจคลายออกจากตัวอักษรหมึกดำที่กระจายทั่วกระดาษได้ ทั้งเด็ดเดี่ยวแน่วแน่แทบจะไหลเชี่ยวกรากของมาจากกระดาษก็มิปาน!
“ท่านต้องการต่อต้านกองกำลังเหล่านั้นจริงหรือ? ไม่คิดจะปล่อยตำหนักตะวันดำไปด้วย?” หลังจากเงียบไปนาน ย่าชิงก็มองเฉินซีด้วยความตกใจและประหม่าเล็กน้อย น้ำเสียงเผยแววหนักหน่วงระคนกังวล
ฟึ่บ!
นางว่าแล้ว กระดาษสีขาวบนโต๊ะก็ดูเหมือนจะไม่อาจฝืนทนต่อจิตสังหารที่แทรกซึมอยู่ในตัวอักษร มันสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เฉินซีพูดอย่างใจเย็น “ข้าต้องเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่ง การกระทำของกองกำลังเหล่านี้มันล้ำเส้นข้าไปแล้ว แม้ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้าจะไม่อาจสะเทือนพวกเขาได้ แต่วันหนึ่งที่ข้าจะทำให้พวกนั้นได้ลิ้มรสชาติเดียวกับกลุ่มตะวันเร้นย่อมต้องมาถึง ใครที่รอดก็อยู่ต่อไป ไม่เช่นนั้นก็ตายเสีย”
“นายท่านพูดถูก ข้ามีความโกรธแค้นอัดแน่นเต็มท้องมานานแล้ว คนพวกนี้ไร้ความละอาย พวกเขาคิดซุ่มโจมตีแต่กลับทำใจกว้าง บอกว่าความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายนับว่าหายกันหากนายท่านรอดจากการลอบสังหารได้ นี่เป็นเรื่องที่อุกอาจมาก” มู่ขุยที่เงียบมาตั้งแต่ต้นทว่าตอนนี้กลับดูเหมือนภูเขาไฟระเบิด เขาเอ่ยด้วยเสียงเกรี้ยวกราดว่า “อีกอย่าง ตั้งแต่ต้นจนจบ ก็เป็นพวกมันที่คอยแต่มาหาเรื่องนายท่าน นายท่านไม่เอาคืนก็ดีเท่าไรแล้ว แต่พวกมันกลับหน้าซื่อใจคด ลอบกัดเราเช่นนี้ ข้าไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าทำลายนิกายพวกนั้น กวาดล้างศิษย์ทั้งหลาย เอาให้ราบเป็นหน้ากลองไปเลย!”
หญิงสาวทั้งสองคนมองใบหน้าไม่พอใจของมู่ขุยและตกตะลึงอยู่ในใจ เพราะพวกนางไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องจะซับซ้อนขนาดนี้
เจิ้นหลิวชิงถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้ากลายเป็นศัตรูกับนิกายเหล่านั้นได้อย่างไร?”
“ใช่แล้ว หายากมากนะที่จะทำให้นิกายทั้งหกขุ่นเคืองในคราวเดียวกัน” ย่าชิงก็เอ่ยขึ้นเช่นกัน ก่อนหน้านี้นางได้รู้ความจริงบางส่วนไปแล้ว เช่นเฉินซีเอาสมบัติวิเศษบางอย่างมาจากองค์ชายหวงฝู่และคนอื่น ๆ ทำให้พวกตาแก่ขอบเขตเซียนปฐพีลงมือ แต่กลับต้องกลับมาจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจรมือเปล่า…
แต่นางไม่รู้ว่าเฉินซีกลายเป็นศัตรูกับนิกายทั้งหกได้อย่างไร
พวกนางมาแจ้งเรื่องกลุ่มตะวันเร้นทันทีที่ได้ข่าว ทำให้เฉินซีรู้สึกซาบซึ้งใจไม่น้อย ดังนั้นเขาจึงไม่ปกปิดมันอีกต่อไปและพูดช้า ๆ ว่า “พูดง่าย ๆ ก็คือต้นเหตุแห่งความบาดหมางเป็นเพราะหวงฝู่ฉงหมิง หลินโม่เซวียน เซียวหลิงเอ๋อร์ หลิวเฟิงจื่อ และหม่านหงมาเห็นสมบัติในครอบครองของข้าเข้า อ้อ ใช่ ยังมีชิงซิ่วอี้และศิษย์น้องของนางอีกสองคนอีก พวกเขาโลภอยากได้มันและลงมือล้อมข้า โดยตั้งใจจะยึดสมบัติของข้าไป…”
“กระทั่งชิงซิ่วอี้น่ะหรือ!?” หญิงสาวทั้งสองนางเพ่งมองอย่างตั้งใจ แม้ว่าเฉินซีจะพูดอย่างไร้เหตุผล บอกแค่สถานที่ เวลา และตัวเลขบางอย่างมาเท่านั้น แต่หากลองคิดดูแล้ว พวกนางก็เข้าใจได้ว่าสถานการณ์ของเฉินซีในตอนนั้นอันตรายเพียงใด
“ใช่แล้ว ชิงซิ่วอี้ก็อยู่ที่นั่นด้วย แต่เพราะเกิดเรื่องระหว่างต่อสู้ พวกนั้นจึงเอาอะไรจากข้าไปไม่ได้ เป็นข้าที่ชิงเอาสมบัติวิเศษพวกมันมาแทน ความเป็นปฏิปักษ์มันเกิดขึ้นตั้งแต่นั้น” ดวงตาของเฉินซีดูลึกล้ำห่างไกล เหมือนกำลังนึกถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น เขาหลุดจากภวังค์อย่างรวดเร็วและเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบเรื่อยว่า “ด้วยเหตุนี้ พวกตาเฒ่าที่อยู่เบื้องหลังคนเหล่านั้นจึงใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างเพื่อไปยังนิกายกระบี่เมฆาพเนจรและบีบให้พี่ร่วมสาบานของข้าส่งข้าให้พวกเขา”
มากเกินไปแล้ว!
พวกนางได้ยินดังนี้ก็โกรธเป็นยิ่งนัก ล้วนดูถูกการกระทำของหวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ เป็นอย่างมาก คนเหล่านี้มีความโลภในใจ หมายจะชิงสมบัติของผู้อื่น ทว่าสุดท้ายกลับโดนชิงสมบัติไปเสียเอง เรื่องนี้ก็น่าอับอายมากพออยู่แล้ว จึงนับว่าสมควรที่จะถูกชิงของไปแล้ว แต่พวกนั้นกลับไปแจ้งผู้อาวุโสในนิกาย ใช้มันเป็นข้ออ้างให้พวกตาเฒ่าทั้งหลายไปจัดการเฉินซี ใช้คำว่าน่าละอายยังน้อยไปด้วยซ้ำ!
“หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นเล่า?” เจิ้นหลิวชิงถาม
เฉินซีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจพูดความออกไป เห็นได้ชัดว่าพวกนางมองเขาเป็นสหายแล้ว ดังนั้นหากปิดบังไปก็ไม่ใช่เรื่องที่สหายควรทำแก่กัน หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็พูดว่า “ครั้งหนึ่งเพื่อนของข้าเคยทิ้งตราคำสั่งไว้ให้เป่ยเหิง พี่ร่วมสาบานของข้า ก็เป็นเพราะตราคำสั่งนี้ล่ะที่ทำให้พวกตาเฒ่าหวาดกลัวและกลับไปมือเปล่า”
‘ตราคำสั่งชิ้นเดียวแต่กลับทำให้ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีกลุ่มใหญ่ยอมจากไปได้อย่างนั้นหรือ?’ พวกนางได้ยินก็ตกใจ ไม่คิดไม่ฝันว่าเฉินซีจะมีสหายที่น่าเกรงกลัวเช่นนี้ แค่ตราคำสั่งที่สหายผู้นั้นทิ้งไว้ก็ทรงอำนาจเช่นนี้
“ตราคำสั่งนั่นมีอักขระ ‘白’ อยู่เพียงตัวเดียว” ในเมื่อพูดแล้ว เฉินซีก็ไม่คิดปกปิดอะไรอีกและพูดต่อว่า “บางทีพวกเจ้าทั้งสองคนอาจเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับตราคำสั่งที่มีเครื่องหมาย ‘白’ กระมัง อย่างไรก็เถอะ ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตราคำสั่งนี่ล้ำค่าเช่นนี้”
นัยน์ตาเจิ้นหลิวชิงและย่าชิงพลันเป็นประกาย ก่อนจะร้องออกมาพร้อมกัน “หนามม่วงแห่งแดนภวังค์ทมิฬ ตระกูลไป๋!”
เฉินซีพยักหน้า “คงเป็นเช่นนั้น”
“ไม่แปลกใจเลย เห็นว่ากระทั่งจักรพรรดิซ่งยังเคยไปเยี่ยมผู้นำตระกูลไป๋คราหนึ่ง แต่กลับไม่อาจผ่านเข้าประตูหน้าไปได้ อำนาจของตระกูลไป๋ในแดนภวังค์ทมิฬมีเหลือล้นน่าเกรงขามขนาดไหนก็เห็นได้ชัดกันแล้ว” นัยน์ตากระจ่างของเจิ้นหลิวชิงนั้นใสดั่งหยดน้ำ เต็มไปด้วยระลอกน้ำงดงามตา นางถอนหายใจออกมา “เมื่อพบตราคำสั่งตัว ‘白’ ของหนามม่วงตระกูลไป๋ พวกตาเฒ่าประหลาดย่อมไม่กล้าด่วนลงมือได้หรอก เมื่อไรที่จักรพรรดิเกรี้ยวโกรธก็จะเกิดกองศพพะเนินสูง แต่หากหนามม่วงตระกูลไป๋ลงมือ ก็นับว่าเป็นหายนะที่กวาดล้างทั้งราชวงศ์ได้เลยทีเดียว!”
เจิ้นหลิวชิงดูเหมือนจะเข้าใจบางอย่างแทน จึงพูดด้วยความเข้าใจขึ้นอย่างฉับพลัน “ไม่น่าแปลกใจที่การเคลื่อนไหวของตำหนักตะวันดำในครั้งนี้จะเป็นการลอบสังหารและไม่ใช่การไล่ล่า ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังหาทางหนีไว้ให้เจ้าอีกด้วย กลายเป็นว่าพวกเขาต้องมานั่งกังวลกลัวตระกูลไป๋แก้แค้นอีก”
ย่าชิงคำรามเสียงเย็น “หากพวกเขากังวลเรื่องนี้ พวกเขาจะไม่กล้าทำการลอบสังหารหรอก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ต้องการทำให้ตระกูลไป๋ขุ่นเคือง แต่ก็ไม่คิดจะปล่อยเฉินซีไป ดังนั้นจึงคิดทำเช่นนี้
นับว่าปวดหัวหนักจนคิดวิธีออกมาได้”
ที่จริงแล้ว แม่นางทั้งสองได้คาดเดาไว้ในใจแล้วว่าที่พวกตาเฒ่าประหลาดไม่ยอมแพ้และเสี่ยงหาเรื่องเฉินซีซึ่งอาจทำให้หนามม่วงตระกูลไป๋ไม่พอใจนั้นย่อมมีเหตุผล บางทีอาจเป็นเพราะ ‘สมบัติ’ ในความครอบครองของเฉินซีมีค่ามากเกินไป จึงมีแรงดึงดูดต่อผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีเช่นพวกเขา นอกจากสมบัติอมตะแล้ว ยังมี ‘สมบัติ’ อื่นใดที่จะดึงความสนใจจากผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีได้บ้างเล่า?
แต่พวกนางถามต่อคงไม่ดี ทุกคนล้วนมีความลับเป็นของตน หากไม่สอบถามเรื่องสมบัติของเฉินซีจะเป็นการดีกว่า
เฉินซีย่อมเข้าใจว่าต้นเหตุมาจากไหน นั่นก็คือสมบัติในครอบครองของเขานั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ หรือระเบียนแดนมรณะและพู่กันพิพากษามารที่เขาได้มาจากจ้าวแห่งยมโลก หรือกระทั่งหลิงไป๋ ทั้งหมดล้วนสามารถทำให้ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีบ้าคลั่งได้ พวกตาเฒ่าเหล่านั้นย่อมไม่ต่างกัน
“แล้วเจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อ” เจิ้นหลิวชิงถาม
คำถามกลับไปยังหัวข้อก่อนหน้าอีกครั้ง แต่ตอนนี้ที่เฉินซีจัดความคิดได้แล้ว และไม่เหลือความประหม่าในใจอีก เขาจึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “ล่าสังหารไปจนถึงนครหลวงธารสายไหม”
“ท่านอยากให้ข้าเคลื่อนพลหอขุมทรัพย์สวรรค์เพื่อช่วยท่านเข้าไปยังนครหลวงธารสายไหมหรือไม่?” ย่าชิงถามด้วยความเป็นห่วง
เฉินซียิ้ม “ไม่จำเป็นหรอก กลุ่มตะวันเร้นเล็งเป้ามาที่ข้าและใช้เพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเท่านั้น หากหอขุมทรัพย์สวรรค์เข้ามาเกี่ยวข้องจะไม่เป็นประโยชน์ต่อพวกเจ้าเอง อาจทำให้เรื่องเลวร้ายลงด้วย ไม่ต้องห่วง เส้นทางการบ่มเพาะของข้าจนถึงตอนนี้ มีคนหมายชีวิตข้ามานักต่อนักแล้ว แต่ข้าก็ยังมีชีวิตรอดอยู่ ส่วนพวกนั้นล้วนสิ้นชีพไปแล้ว”
เมื่อเห็นว่าเฉินซีตั้งใจไว้แล้วเช่นนั้น พวกนางจึงไม่โน้มน้าวอีก อยู่คุยกับเขาอีกนิดก่อนจะบอกลาและจากไป พวกนางรู้ว่าถึงจะอยู่ไปก็ไร้ประโยชน์ อีกทั้งมันจะเสียเวลาชายหนุ่มด้วย ดังนั้นออกไปเสียก่อน และให้เฉินซีได้มีเวลาเตรียมกลยุทธ์รับมือศัตรูดีกว่า
“นายท่าน ไม่จำเป็นต้องกังวลไปหรอกขอรับ ถึงข้าจะต้องตาย ก็จะทำให้นายท่านไปถึงนครหลวงธารสายไหมอย่างปลอดภัยให้ได้!” หลังจากที่หญิงสาวทั้งสองออกไป สีหน้าของมู่ขุยก็เคร่งขรึมขึ้นเมื่อพูดออกมา
เฉินซีชะงักไป จากนั้นปฏิเสธเสียงเรียบ “คราวนี้เจ้าอย่ามาก้าวก่ายและอยู่ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ไปเสียเถอะ หากเจ้าอยู่ข้างกายข้าแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ข้าคงไม่อาจอภัยให้ตนเองได้ชั่วชีวิต เจ้าก็ควรรู้ว่าความแข็งแกร่งของข้าในตอนนี้ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเลยด้วยซ้ำ”
“ข้า…” มู่ขุยเอ่ยเสียงกังวล
เฉินซีไม่รอให้เขาพูดและเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง “มู่ขุย คราวนี้เจ้าต้องฟังข้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ข้ายังต้องไปการชุมนุมดาวรุ่งและไปสมรภูมิบรรพกาล ทั้งยังต้องไปแดนภวังค์ทมิฬอีก… ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำ แล้วข้าจะตายง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน?”
มุมปากของมู่ขุยกระตุกเล็กน้อยยามพยักหน้า
เฉินซีตบไหล่เขาและพูดว่า “ไปทำการบ่มเพาะอยู่ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ให้ดีเถอะ เจ้าอยู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นกลางแล้วไม่ใช่หรือ? เมื่อถึงนครหลวงธารสายไหม เจ้าต้องบรรลุถึงขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสูงให้ได้ อย่าทำข้าผิดหวังเล่า”
มู่ขุยกัดฟันจนเกิดเสียง และพูดด้วยเสียงเด็ดเดี่ยวว่า “ไม่ต้องห่วงนายท่าน ข้าจะปลิดชีวิตตนเองหากทำไม่สำเร็จ!”
เฉินซีชะงักไป มู่ขุยเก่งทุกด้าน แต่เก็บคำพูดเฉินซีมาใส่ใจเกินไป ราวกับว่าหากไม่ทำทุกสิ่งให้สำเร็จก็ยินดีพร้อมที่จะตายเพื่อชดใช้
“ไปกันเถอะ ไปหาซื้อของสร้างยันต์และแผนที่ช่วงระหว่างเมืองนภาครามและนครหลวงธารสายไหมกับข้าก่อนและหากเจ้าชอบอะไรก็ให้บอกมาทันทีจะได้ซื้อไปด้วยเลย ถึงเวลาใช้โอสถกลั่นแรกเริ่มสองล้านเม็ดที่ได้มาจากการชุมนุมธารทองแล้ว…”
“นายท่าน เมื่อไรเราถึงจะออกจากเมืองนภาครามหรือขอรับ?”
“เมื่อการแปรสภาพร่างของข้าก้าวหน้าไปถึงขอบเขตแกนทองคำหยินหยางและทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว เวลานั้นคงไม่สายเกินไปที่จะไปจากที่นี่”
“นายท่าน ข้ายังกังวลอยู่เล็กน้อย…”
“หากเจ้าพูดเรื่องไร้สาระอีก ข้าจะโยนเจ้าเข้าไปในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์แล้วนะ เจ้าไม่มั่นใจในตัวข้าขนาดนั้นเลยหรือ?”
…
จากนั้นคู่นายบ่าวก็เดินออกไปยังร้านค้าต่าง ๆ ในเมืองนภาครามอย่างรวดเร็ว พวกเขาใช้จ่ายเงินดั่งสาดน้ำ จัดการทุกสิ่งอย่างไร้ความยับยั้งชั่งใจราวกับไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าอันตรายกำลังคืบคลานเข้าใกล้