บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 322 ตัวนำโชค
บทที่ 322 ตัวนำโชค
บทที่ 322 ตัวนำโชค
ท้องฟ้ายามค่ำคืนมืดมิดประหนึ่งหมึก
การชุมนุมธารทองที่ดำเนินมาหลายวันนี้ได้สิ้นสุดลงแล้วในวันนี้ และผู้บ่มเพาะหลายคนที่มาจากแดนไกลก็เลือกที่จะเฉลิมฉลองในคืนนี้ ไม่ว่าจะชนะหรือพ่ายแพ้ พวกเขาก็จะออกจากเมืองที่ปกคลุมด้วยหมอกและทะเลสาบนับพันแห่งในวันพรุ่งนี้
แม้ว่าการชุมนุมธารทองครั้งนี้จะไม่อาจกล่าวได้ว่ายอดเยี่ยมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่ก็เพียงพอที่จะกล่าวได้ว่างดงามและเต็มไปด้วยการพลิกผันที่ไม่รู้จบ อย่างไรก็ตาม ในหมู่พวกเขามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย นั่นคือ เฉินซี
จี้เยว่แห่งนิกายเหนือเศียรจากแดนเถื่อนทางตอนเหนือ ฮวาโม่เป่ยแห่งเกาะบ่อหยกสวรรค์จากทะเลตะวันออก หวังเต้าซวี่แห่งนิกายแสงจรัส… ผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์ทั้งหมดล้วนพ่ายแพ้ภายใต้คมกระบี่ของเฉินซี
ด้วยเหตุนี้ เฉินซีจึงกลายเป็นผู้บ่มเพาะคนแรกในประวัติศาสตร์ของดินแดนทางใต้ที่ได้รับชัยชนะหนึ่งร้อยครั้งติดต่อกันในการชุมนุมธารทอง นอกจากนี้เขายังเป็นผู้เดียวที่ได้รับชัยชนะหนึ่งร้อยครั้งติดต่อกันในการชุมนุมธารทองครั้งนี้
การสนทนาที่เกี่ยวข้องกับเฉินซีจึงกลายเป็นหัวข้อที่ร้อนแรงที่สุดบนท้องถนนและตามร้านอาหารของเมืองนภาคราม และมันก็ไม่ได้ซาลงแม้การชุมนุมธารทองจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่กลับทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นชาติกำเนิด ประวัติความเป็นมา หรือสิ่งที่เขาเผยออกมาในระหว่างการชุมนุมธารทอง ล้วนเป็นหัวข้อที่ทำให้ผู้คนสนทนาอย่างมีชีวิตชีวาเมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้
ถึงขนาดที่แผ่นหยกเงาซึ่งบันทึกการต่อสู้ทั้งหมดของเฉินซีในระหว่างการชุมนุมธารทองที่ทำโดยพ่อค้าหัวใสได้กลายเป็นสินค้าขายดีเป็นเทน้ำเทท่าและเป็นที่ต้องการมากที่สุดในท้องตลาดขณะนี้
บางคนซื้อมันเพื่อวิเคราะห์เคล็ดวิชาการต่อสู้ของเฉินซี บางคนซื้อมันเพื่อให้ลูกหลานของพวกเขายึดถือเฉินซีเป็นแบบอย่างและบ่มเพาะอย่างขยันขันแข็ง หรือบางคนซื้อมันเพื่อการสะสมเท่านั้น แต่สิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงก็คือคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นหญิงสาวที่ตกอยู่ในห้วงความลุ่มหลง…
ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ ทันทีที่เฉินซีและมู่ขุยเพิ่งก้าวเดินออกมาจากโรงเตี๊ยม ผู้คนจึงจดจำพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว และไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใด พวกเขาจะถูกสายตาของผู้คนนับไม่ถ้วนจับจ้อง มีแม้กระทั่งหญิงสาวใจกล้าบางคน ถึงขั้นรวบรวมความกล้าก้าวไปข้างหน้าและมอบถุงหอม จี้หยก ปิ่นปักผมหยก หรือสิ่งอื่น ๆ ที่พวกนางพกติดตัวมาเพื่อแสดงความรักหรือนิยมชมชอบ ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เฉินซีรู้สึกหนังศีรษะชาหนึบและไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องหลบหนีพวกนางด้วยความกระอักกระอ่วน
หญิงสาวเหล่านี้เปี่ยมล้นไปด้วยความสเน่หาและความหลงใหล
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้มาก ๆ เข้า เฉินซีจึงไม่กล้าเดินไปตามท้องถนนโดยเปิดเผยรูปร่างหน้าตาของตัวเองอีก เขาซื้อเสื้อคลุมและถอนหายใจอย่างโล่งอกหลังจากที่สวมมัน หลังจากนั้นเขากับมู่ขุยก็เริ่มซื้อวัสดุที่จำเป็นสำหรับการสร้างยันต์อักขระ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เฉินซีต้องอับจนหนทางหลังจากเดินทอดน่องผ่านร้านค้านับไม่ถ้วนก็คือ วัสดุที่เขาซื้อมานั้นสามารถสร้างยันต์เลิศล้ำระดับสูงได้เพียงเจ็ดแผ่นเท่านั้น แต่เมื่อเขาไตร่ตรองถึงเรื่องนี้ เขาก็เข้าใจถึงปัญหาของมัน เนื่องจากวัสดุเหล่านี้ล้วนหายากและล้ำค่า ดังนั้นการหาซื้อพวกมันได้จำนวนขนาดนี้จากท้องตลาดก็นับว่าดีมากแล้ว หากเป็นภายใต้สถานการณ์ปกติ วัสดุล้ำค่าหายากเหล่านี้จะปรากฏในการประมูลเท่านั้น
แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นหลัก ประเด็นหลักที่แท้จริงคือหลังจากที่เขาซื้อวัสดุเหล่านี้ โอสถกลั่นแรกเริ่มสองล้านเม็ดที่เขาได้เป็นรางวัลจากการชุมนุมธารทองก็ถูกใช้ไปหมดสิ้น และเขายังต้องจ่ายโอสถกลั่นแรกเริ่มของตัวเองออกไปอีกสามหมื่นเม็ดด้วยซ้ำ ซึ่งนับได้ว่าวัสดุที่ใช้สร้างยันต์เลิศล้ำขั้นสูงเจ็ดแผ่นนั้นมีมูลค่าเท่ากับโอสถกลั่นแรกเริ่มสองล้านสามหมื่นเม็ดเลยทีเดียว!
เมื่อเขานึกถึงตอนที่ตัวเองกับมู่ขุยได้ใช้ยันต์เลิศล้ำระดับสูงไปสิบห้าแผ่นเพื่อต่อสู้กับซือคงเหินและผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ในคราวเดียว เฉินซีก็ไม่อาจสงบสติอารมณ์ได้เท่าไร เพราะถ้าคำนวณถึงมูลค่าของยันต์ที่ใช้ไปเหล่านั้นโดยแลกเปลี่ยนเป็นโอสถกลั่นแรกเริ่ม มันจะมีมูลค่าถึงเพียงใด?
‘ไม่แปลกใจเลยที่ยันต์เลิศล้ำระดับสูงจะหายากมาก แค่วัสดุในการสร้างพวกมันก็หายากอย่างน่าอัศจรรย์แล้ว อีกทั้งยังต้องมอบความไว้วางใจให้กับปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระเพื่อสร้างมันขึ้นมา มูลค่าของมันก็จะสูงยิ่งขึ้น…’
แต่หลังจากที่เขากลับมาที่โรงเตี๊ยม เฉินซีก็เลิกคิดถึงเรื่องที่ไม่จำเป็นและจ้องมองไปที่วัสดุต่าง ๆ ที่วางอยู่เต็มโต๊ะ เขาครุ่นคิดถึงขั้นตอนของการสร้างยันต์อักขระต่าง ๆ ในใจของเขาอย่างเงียบ ๆ
โดยไม่รู้ตัว เวลาก็ได้ล่วงเลยมาจนถึงกลางดึกและใกล้จะรุ่งสางในอีกไม่กี่ชั่วยาม
สายลมอ่อน ๆ พัดผ่านท้องฟ้า ท้องฟ้ายามค่ำคืนนี้ดูเงียบสงบ และปลอดโปร่งยิ่ง
ดวงตาที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้นของเฉินซีหรี่ลงอย่างกะทันหัน และเขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นในขณะที่กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ในเมื่อเจ้ามาแล้ว เหตุใดถึงต้องปกปิดตนเองอยู่อีก”
หน้าต่างเปิดออกช้า ๆ โดยไม่ใช่ผลจากสายลม จากนั้นก็มีชายหนุ่มเท้าเปล่าในชุดผ้าป่านเดินเข้ามา ใบหน้าที่เรียบเนียนของเขามีความหนักแน่นและจริงจัง ดอกบัวสีแดงสดที่งดงามราวกับรอยสักก็ปรากฏขึ้นบนศีรษะที่ล้านเลี่ยนของเขา แท้จริงแล้วเขาคือจี้เยว่ ผู้เป็นศิษย์ของนิกายเหนือเศียรจากแดนเถื่อนทางตอนเหนือ
“พี่เฉินอยู่จนดึกดื่นเช่นนี้ หรือว่าท่านกำลังรอข้ามาโดยตลอด?” ดูเหมือนจี้เยว่จะไม่แปลกใจที่เฉินซีสามารถสังเกตเห็นการมาถึงของเขา และในความเป็นจริง เขาก็ไม่ได้ปกปิดร่องรอยของเขาเลยแม้แต่น้อย
เฉินซีเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะและจ้องตรงไปยังผู้ขัดเกลากายาที่ช่ำชองทั้งในวิถีแห่งพุทธและอสูรขณะที่เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบว่า “เจ้าติดตามข้ามาตลอดตั้งแต่ข้าออกจากโรงเตี๊ยม มันคงจะแปลก ถ้าเจ้าไม่ปรากฏตัวในคืนนี้”
จี้เยว่ตกตะลึง จากนั้นเขาก็หัวเราะเบา ๆ “ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าพี่เฉินจะสังเกตเห็นถึงตัวข้า”
เฉินซีจ้องมองจี้เยว่อย่างเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายศีรษะและถอนหายใจพร้อมกับกล่าวว่า “หากเจ้ามีสิ่งใดก็กล่าวมาตามตรงเถอะ เจ้าคงไม่ได้มาที่นี่ตอนกลางดึกเพียงเพื่อสนทนากับข้าหรอกใช่หรือไม่?”
“เอาล่ะ ในเมื่อพี่เฉินเป็นคนตรงไปตรงมา เช่นนั้นข้าขอเรียนตามตรงว่าที่ข้ามาที่นี่ในครั้งนี้ก็เพื่อสิ่งเดิมพันเมื่อวันก่อน” จี้เยว่ยิ้มบางและกล่าวว่า “แน่นอนว่าเพื่อให้พี่เฉินเต็มใจมอบเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ให้แก่ข้า นอกจากเคล็ดวิชาการบ่มเพาะของนิกายพุทธแล้ว ข้าจะมอบเคล็ดวิชาการบ่มเพาะของนิกายอสูรให้อีกเช่นกัน เพราะท้ายที่สุดแล้ว แม้ว่าเคล็ดวิชาของนิกายพุทธกับนิกายอสูรจะแตกต่างกัน แต่ก็สามารถเกื้อหนุนกันได้ หากท่านเชี่ยวชาญพวกมันอย่างถ่องแท้และผสานพวกมันเข้าด้วยกัน ความแข็งแกร่งของพี่เฉินจะยกระดับไปมากกว่านี้อย่างแน่นอน ดังนั้นด้วยเงื่อนไขเหล่านี้เพียงพอที่จะบ่งบอกถึงความจริงใจของข้าได้หรือไม่?”
เฉินซีไม่ได้ไตร่ตรองถึงเรื่องนี้เลยสักนิด ก่อนที่เขาจะตอบกลับอย่างราบเรียบว่า “ข้าไม่ต้องการมัน ขอบคุณสำหรับความหวังดีของเจ้า”
ใบหน้าของจี้เยว่แข็งค้าง และเขาพยายามข่มความโกรธไว้ในใจขณะที่เขากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เหตุใดท่านถึงไม่ไตร่ตรองดูอีกสักครั้งล่ะพี่เฉิน? หากพลาดโอกาสเช่นนี้แล้ว ท่านจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน”
มุมปากของเฉินซีมีร่องรอยของการเหยียดหยามขณะที่เขากล่าวว่า “สิ่งที่ข้าอยากรู้ก็คือ ตัวเจ้ามั่นใจแล้วหรือว่าจะสามารถโน้มน้าวข้าโดยอาศัยเคล็ดวิชาการบ่มเพาะทั้งสองนี้?
“ท่านจะตกลงใช่ไหม” ทันใดนั้น รอยยิ้มบางก็ผุดขึ้นที่มุมปากของจี้เยว่ และมันก็เหมือนกับกระแสน้ำวนซึ่งเต็มไปด้วยเสน่ห์ ในขณะที่ประกายแสงประหลาดที่ดูเหมือนสีทองแต่ไม่ใช่สีทองพุ่งออกมาจากดวงตาของเขาในเวลาเดียวกัน ซึ่งทำให้ใจของผู้พบเห็นรู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในจิตสำนึกของเฉินซีอย่างกะทันหัน และในสภาพที่มึนงงของเขา ราวกับชายหนุ่มได้ขึ้นไปอยู่บนสรวงสวรรค์ ซึ่งมีมังกรสวรรค์มากมายกำลังบินล่องลอย ในขณะที่วิหคอมตะหลากสีร่ายรำอยู่กลางอากาศ ดอกไม้โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า ดอกบัวสีทองผุดขึ้นออกมาจากผืนดิน และมีแว่วเสียงสวดมนต์ขณะที่เหล่าสาวกหมอบกราบบูชาด้วยสีหน้าที่อิ่มเอมใจและสงบสุข
“สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนเป็นทุกข์และพวกมันล้วนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ยามที่ภัยพิบัติที่คาดไม่ถึงตกลงมาจากสวรรค์ ทำให้ชีวิตของพวกมันเต็มไปด้วยความยากลำบาก พระพุทธองค์ของข้าทรงเมตตากรุณาและได้โปรดสัตว์ทั้งมวล ผู้ติดตามพระพุทธองค์ของเราจะพบแต่ความสุขสงบไปชั่วนิรันดร์…” คลื่นเสียงสวดมนต์ดังกึกก้องอยู่ในใจของเฉินซีและมันเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของความเมตตา จนเขาอยากจะคุกเข่าลงกราบและสวดภาวนาตามด้วยความเลื่อมใส
ทว่าภายใต้เสียงสวดมนต์นี้ ดวงตาของเฉินซีก็ฉายแววงุนงงสับสนออกมา
เมื่อจี้เยว่สังเกตเห็นสิ่งนี้ ความรู้สึกเหยียดหยามก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา “ไม่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งถึงเพียงใด แต่เจ้าก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงจากมนต์ชำระบาปสะท้านอัสนีของข้าได้!”
“ฮึ่ม! ตอนนั้นข้าปล่อยเจ้าไป แต่ตอนนี้ข้าจะให้เจ้าได้ตายอย่างสงบอยู่ในสรวงสวรรค์!” ดวงตาของจี้เยว่เบิกกว้าง ในขณะที่แสงสีทองภายในดวงตาของเขานั้นบริสุทธิ์และหนาขึ้น หลังจากนั้นเขาก็พุ่งเข้าหาเฉินซีอย่างรวดเร็ว
เขาเชื่อว่าเฉินซีจะต้องตายในอีกไม่ช้า และจะเป็นการตายอย่างเงียบ ๆ ราวกับเขาหลับลึกอย่างไม่มีวันตื่น
ทว่าในขณะเดียวกันนี้ ดวงตาของเฉินซีซึ่งแต่เดิมเต็มไปด้วยความงุนงงสับสน จู่ ๆ ก็ปล่อยประกายแสงออกมาอย่างดุเดือด ซึ่งมันไม่เพียงทำลายแสงสีทองที่โจมตีเฉินซีเท่านั้น มันยังพุ่งตรงไปยังห้วงจิตสำนึกของจี้เยว่ในทันที
ปัง!
จิตใจของจี้เยว่สั่นสะท้านรุนแรงราวกับว่าถูกฟ้าผ่า และหัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจผสมตื่นตระหนก ‘เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้! เจ้าคนผู้นี้สามารถเอาชนะมนต์ชำระบาปสะท้านอัสนีของข้าได้อย่างไร’
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะเข้าใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ความเจ็บปวดอันรวดร้าวราวกับถูกใบเลื่อยเชือดเฉือนก็พลันแล่นริ้วไปทั่วห้วงจิตสำนึกของเขา ความรู้สึกนั้นราวกับว่าจิตสำนึกของเขากำลังถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และมันปวดร้าวจนถึงจุดที่แทบจะหมดสติไปในทันที ในที่สุดเขาก็ล้มลงกับพื้นอย่างรุนแรงและหมดสติไปในพลัน
“เจ้าคงอยากตายจริง ๆ ความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณของข้าได้เหนือกว่าขอบเขตจุติอย่างสมบูรณ์แล้ว ดังนั้นมันจะสับสนกับเล่ห์เหลี่ยมต่ำช้าของเจ้าได้อย่างไร” เฉินซียืนขึ้นและอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว ในขณะที่เขามองไปยังจี้เยว่ที่อยู่บนพื้น
แม้ว่าการโจมตีทางจิตวิญญาณจะไร้รูปร่าง แต่ในแง่ของความอันตราย พวกมันน่ากลัวยิ่งกว่าการโจมตีกายภาพ เพราะหากเกิดความผิดพลาดเพียงครั้งเดียว จิตวิญญาณจะเสียหายอย่างไม่อาจกู้กลับ ทำให้คนกลายเป็นคนสติฟั่นเฟือนโดยสมบูรณ์ แม้ว่าจะเป็นตัวเฉินซีเองก็ยังไม่กล้าใช้การโจมตีวิญญาณอย่างง่ายดายเช่นนั้น เว้นแต่จะเป็นสถานการณ์ที่รับประกันชัยชนะของเขา
ก่อนหน้านี้ เฉินซีจงใจเปิดเผยจุดอ่อนเพื่อให้จี้เยว่คิดว่ามีโอกาสที่จะลงมือ ทำให้จิตใจของพระหนุ่มมีช่องโหว่และไร้การปกป้องโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่เฉินซีฉวยโอกาสนี้ เพื่อใช้กระบวนท่าสังหารเทวากับอีกฝ่ายอย่างเต็มกำลัง ทำให้เฉินซีสามารถทำลายจิตสำนึกของจี้เยว่ได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว หลังจากนั้น จี้เยว่ก็สูญเสียสติสัมปชัญญะของเขา และก็ไม่ต่างจากคนฟั่นเฟือนที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ นอกจากเพียงนอนอยู่นิ่ง ๆ รอคอยความตายในช่วงชีวิตนี้เท่านั้น
“การกระทำเช่นนี้ก็เป็นดั่งคำกล่าวที่ว่า ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว จริง ๆ เฮ้อ เวรกรรม…”
เสียงล้มลงกับพื้นของจี้เยว่ทำให้มู่ขุยที่อยู่ด้านนอกตกใจและรีบเดินเข้ามาในห้องก่อนที่จะสังเกตเห็นจี้เยว่ที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น เขาจึงกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “นายท่าน ท่านฆ่าเขาหรือ?”
“ไม่ แต่เขาก็ไม่ต่างอะไรจากคนตายแล้ว” เฉินซีส่ายศีรษะ
“เยี่ยมมาก ให้ข้าดูว่าคนผู้นี้มีสิ่งใดอยู่บ้าง…” มู่ขุยไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านั้น เขาถูฝ่ามือเข้าด้วยกันขณะที่เขาพุ่งไปข้างหน้าเพื่อเริ่มค้นหาของที่ริบมาได้
จี้เยว่คนนี้คู่ควรแก่การได้รับการขนานนามว่าเป็นศิษย์ที่มาจากนิกายที่ยิ่งใหญ่เช่นนิกายเหนือเศียร เขาครอบครองโอสถกลั่นแรกเริ่มมากกว่าหนึ่งล้านเม็ด และโอสถทิพย์ต่าง ๆ ที่ใช้รักษาอาการบาดเจ็บ ซึ่งมีมูลค่ามหาศาลในตลาดเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ยังมีเคล็ดวิชาการบ่มเพาะพลังอิทธิฤทธิ์อีกสองอย่าง ซึ่งก็คือเคล็ดวิชาอวตารเทพและเคล็ดวิชาฝ่ามือผนึกโพธิสัตว์ราชสีห์มังกร ส่วนเคล็ดวิชาการบ่มเพาะของนิกายพุทธและเคล็ดวิชาการบ่มเพาะของนิกายอสูร เขาไม่ได้พกติดตัวมาด้วย
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะเมื่อเห็นสิ่งนี้ ‘คนผู้นี้มาที่นี่ในคืนนี้ แต่ไม่มีความตั้งใจที่จะแลกเคล็ดวิชาการบ่มเพาะของนิกายพุทธและนิกายอสูรกับเจดีย์บำเพ็ญทุกข์เลยสักนิด มิฉะนั้น เหตุใดเขาถึงไม่พกติดตัวมาด้วย?’
อย่างไรก็ตาม เฉินซีกลับชื่นชอบเคล็ดวิชาอวตารเทพที่มีพลังอิทธิฤทธิ์จนไม่อยากปล่อยมันไป พลังอิทธิฤทธิ์นี้ไม่จำเป็นต้องบ่มเพาะโดยผู้บ่มเพาะนิกายพุทธเท่านั้น แต่ผู้บ่มเพาะกายาคนอื่น ๆ ก็สามารถบ่มเพาะมันได้เช่นเดียวกัน และเฉินซีก็สังเกตว่าเคล็ดวิชาอวตารเทพและร่างแปลงสวรรค์มีความคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง เนื่องจากทั้งสองวิชานี้สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายได้ในพริบตาและใช้เพื่อส่งเสริมความสามารถอื่น ๆ ของพลังอิทธิฤทธิ์ ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวของทั้งสองวิชานี้ก็คือ ร่างแปลงสวรรค์สามารถซื้อได้ทั่วไปในท้องตลาด ในขณะที่เคล็ดวิชาอวตารเทพเป็นเคล็ดวิชาลับที่ไม่ถ่ายทอดให้กับคนนอกนิกาย ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพบมันในท้องตลาด และจะสามารถพบได้ในนิกายเก่าแก่และนิกายใหญ่บางแห่งเท่านั้น
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะคาดเดาเล็กน้อย ‘พลังของฝ่ามือมหาดารานั้นจะน่าสะพรึงกลัวเพียงใด หากข้าผสานมันเข้ากับเคล็ดวิชาอวตารเทพและร่างแปลงสวรรค์ก่อนที่จะใช้มันออกไป’
“เอ๊ะ นายท่าน ดูนี่สิขอรับ สิ่งนี้มันคืออะไรกัน” มู่ขุยกล่าวออกมาทันที เขาถือผลึกสีแดงเลือดไว้ในมือ และมันก็เป็นสิ่งที่เขาพบจากกองสิ่งของที่จี้เยว่ครอบครองอยู่
ผลึกสีแดงเลือดนี้มีรูปร่างเหมือนเพชร มันเป็นผลึกโปร่งแสงสมบูรณ์และมีของเหลวที่ดูเหมือนเลือดไหลเวียนอยู่ภายใน เมื่อมองจากระยะไกล เฉินซียังสัมผัสได้ถึงพลังโลหิตที่แข็งแกร่งที่จู่โจมใบหน้าของเขา นอกจากนี้มวลพลังเลือดนี้ยังไม่มีกลิ่นคาวของเลือด แต่เป็นพลังงานที่บริสุทธิ์และเข้มข้นแทน เมื่อเขาสูดดมกลิ่นของมัน ก็ให้ความรู้สึกเสมือนกับการดื่มน้ำค้าง ทำให้เลือดเนื้อในร่างกายของเขารู้สึกถึงความสบาย
“ผลึกโลหิตจ้าววิญญาณ!?” เฉินซีโพล่งออกมาอย่างกะทันหัน ดูเหมือนว่าเขาจะเคยได้ยินมาเล็กน้อยว่า “เมื่อมีใครบ่มเพาะกายาจนบรรลุขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแล้ว การเติมเต็มของปราณจ้าววิญญาณจะพบกับอุปสรรคครั้งใหญ่ เมื่อปราณจ้าววิญญาณเหือดแห้งและหมดสิ้นไป มันจะต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูเป็นอย่างมาก แต่ถ้ามีผลึกโลหิตจ้าววิญญาณอยู่ในความครอบครอง หลังจากที่ดูดซับพลังงานจำนวนมหาศาลที่บรรจุอยู่ภายใน มันก็สามารถเปลี่ยนเป็นปราณจ้าววิญญาณทันทีที่เมื่อมันหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ปราณจ้าววิญญาณที่เหือดแห้งฟื้นคืนสู่สภาพเดิม”
สมบัติวิเศษชิ้นนี้เกือบจะคล้ายกับโอสถกลั่นแรกเริ่มและโอสถเหลวหยกนภาที่ผู้บ่มเพาะปราณต้องการ และสรรพคุณของมันก็คล้ายคลึงกัน
“คนผู้นี้มีของเหล่านี้อยู่กี่ชิ้น?” ความรู้สึกตื่นเต้นพลุ่งพล่านอยู่ในใจของเฉินซี เนื่องจากเขาแน่ใจว่าผลึกสีเลือดเหล่านี้คือผลึกโลหิตจ้าววิญญาณ ซึ่งว่ากันว่าสมบัติชิ้นนี้อยู่ในใจกลางโลกและได้รับการหล่อเลี้ยงจากแก่นแท้ของโลก ทำให้มันหายากและรวบรวมได้ยาก
“เขามีมันอยู่เกือบหมื่นชิ้นเป็นอย่างน้อย ซึ่งก่อนหน้านี้ข้าคิดว่ามันเป็นเพียงกองอัญมณีสีแดงที่ไร้ประโยชน์เท่านั้น” มู่ขุยเกาศีรษะและหัวเราะเบา ๆ
“ดูเหมือนจี้เยว่จะเป็นดั่งตัวนำโชคให้แก่ข้าจริง ๆ ไม่เพียงแต่มอบพลังอิทธิฤทธิ์ที่น่าเกรงขามให้กับข้าเท่านั้น แต่เขายังมีผลึกโลหิตจ้าววิญญาณอยู่เป็นจำนวนมากอีกด้วย การมีพวกมันอยู่ในความครอบครองควบคู่ไปกับวารีศักดิ์สิทธิ์ชำระไอมารและจี้หยกวิญญาณมังกร ข้าจะสามารถขัดเกลากายาจนบรรลุขอบเขตแกนทองคำหยินหยางได้อย่างราบรื่นภายในสามเดือน!” เฉินซีกำหมัดแน่นขณะที่เขากล่าวด้วยแววตาที่ลุกโชน