บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 324 เมืองอีกาคลั่ง
บทที่ 324 เมืองอีกาคลั่ง
บทที่ 324 เมืองอีกาคลั่ง
การเดินทางจากเมืองนภาครามไปยังนครหลวงธารสายไหมนั้น เป็นหนทางที่ยาวไกล เนื่องจากมันอยู่ห่างออกไปถึงสองแสนห้าหมื่นลี้
แต่ด้วยระยะทางดังกล่าวสำหรับเฉินซี หากเขาใช้ปีกนภาดารกะเพื่อบินอย่างเต็มกำลัง ก็จะใช้เวลาในการเดินทางเพียงสามวันเท่านั้น
แต่เขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้
ในฐานะที่เป็นกลุ่มมือสังหารที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในโลก กองกำลังของตำหนักตะวันดำจึงมีขนาดใหญ่มากจนแม้แต่ราชวงศ์ซ่งเองก็ไม่อาจจะทำสิ่งใดกับพวกมันได้ และทำได้เพียงแต่ปิดตาข้างหนึ่งเพื่อแสร้งเป็นมองไม่เห็นต่อการกระทำของตำหนักตะวันดำ เนื่องจากพวกมันมุ่งเป้าไปที่เฉินซี พวกมันจะไม่มีทางมองข้ามช่องโหว่เล็ก ๆ เช่นนี้อย่างแน่นอน
เฉินซีเดาว่าน่านฟ้าระหว่างเมืองนภาครามกับนครหลวงธารสายไหมนั้นอาจถูกตำหนักตะวันดำปิดกั้นอย่างแน่นหนาเอาไว้แล้ว ซึ่งทันทีที่เขาเปิดเผยร่องรอยของตนเองบนท้องฟ้า เขาจะต้องเผชิญกับการลอบสังหารที่รุนแรงเด็ดขาดของตำหนักตะวันดำอย่างแน่นอน
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย เฉินซีจึงตัดสินใจที่จะเดินทางบนพื้นดินแทน
แม้ว่าการทำเช่นนี้จะทำให้การเดินทางล้าช้ากว่าสองเท่า แต่เมื่อเทียบกับท้องฟ้าที่ไม่มีที่ให้หลบซ่อนเลย เห็นได้ชัดว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาสามารถใช้เพื่อปกปิดร่องรอยของเขา เช่น ภูเขา ป่าไม้ แม่น้ำ เมือง… ถ้าพวกมันถูกใช้ได้อย่างเหมาะสม พวกมันจะสามารถปกปิดร่องรอยของเขาได้อย่างไร้ที่ติ
ในระหว่างเส้นทางจากเมืองนภาครามและนครหลวงธารสายไหมนั้นมีเมืองตั้งอยู่หลายสิบแห่ง เมืองที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาเมืองเหล่านี้คือเมืองเมฆาทมิฬ เมืองพฤกษาขจรและนครอสนีบาต ส่วนเมืองอื่น ๆ ล้วนเป็นเมืองขนาดกลาง
เมืองเมฆาทมิฬ เมืองพฤกษาขจร และนครอสนีบาตเป็นเหมือนกำแพงกั้นที่ล้อมรอบนครหลวงธารสายไหมเป็นรูปครึ่งวงกลม โดยมีเมืองพฤกษาขจรตั้งอยู่ที่ตรงกลาง เมืองเมฆาทมิฬตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกและอยู่ใกล้กับทะเลตะวันออก ส่วนนครอสนีบาตตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกและมีพรมแดนติดกับทะเลอัสนีทางทิศตะวันตกสุด
เนื่องจากการมีอยู่ของเมืองทั้งสามนี้ เส้นทางที่มุ่งจากเมืองนภาครามไปสู่นครหลวงธารสายไหมจึงถูกแบ่งออกเป็นสามทาง
ในเส้นทางเหล่านี้ เส้นทางของเมืองพฤกษาขจรนั้นสั้นที่สุดและปลอดภัยที่สุด มีเมืองกระจายอยู่ตามเส้นทางมากมายและไม่มีจุดอันตรายใด ๆ ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่จึงเลือกเดินทางผ่านเส้นทางนี้
เส้นทางของเมืองเมฆาทมิฬเป็นอันดับสอง ระยะทางของมันนั้นมากกว่าเมืองพฤกษาขจรถึงสองเท่า อีกทั้งยังต้องอ้อมหรือข้ามผ่านแม่น้ำอันตรายหลายสายตลอดเส้นทาง มีผู้คนจำนวนมากเลือกเดินทางผ่านทางนี้เช่นกัน แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นกองคาราวานพ่อค้า เนื่องจากเมืองเมฆาทมิฬตั้งอยู่ใกล้กับทะเลตะวันออก ทำให้พวกเขาสามารถเลือกซื้อสมบัติล้ำค่ามากมายจากทะเลตะวันออกที่อุดมสมบูรณ์ได้ตลอดเส้นทาง
ส่วนเส้นทางของนครอสนีบาตนั้นมีความอันตรายที่สุดในบรรดาเส้นทางทั้งสามสาย และมันอันตรายถึงขั้นที่ถูกเลิกใช้มาหลายร้อยปี เนื่องจากไม่มีใครเต็มใจที่จะย่างกรายเข้าไปที่นั่นและล้อเล่นกับชีวิตของพวกเขา
เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะเส้นทางจากเมืองนภาครามไปยังนครอสนีบาตและมุ่งไปยังนครหลวงธารสายไหมนั้น เต็มไปด้วยแนวเทือกเขาที่อันตรายและน่าสะพรึงกลัว อีกทั้งยังมีป่าโบราณที่มีสัตว์อสูรดุร้ายออกอาละวาด หรือแม้แต่ดินแดนเยือกแข็งที่เต็มไปด้วยพายุน้ำแข็งโหมกระหน่ำ… ด้วยเหตุนี้ เส้นทางนี้จึงเต็มไปด้วยอันตรายอยู่ทุกฝีก้าวและจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งแทบไม่มีที่ปลอดภัยให้หลบพักเลยแม้แต่แห่งเดียว
ในช่วงหลายร้อยที่ผ่านมา มีผู้บ่มเพาะบางคนที่รู้สึกว่าพลังของพวกเขาแกร่งกล้า และต้องการท้าทายขีดจำกัดด้วยการเข้าสู่เส้นทางที่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าในทุกฝีก้าว แต่ท้ายที่สุดก็ไม่มีใครที่รอดชีวิตและมาถึงนครอสนีบาตก่อนที่จะเข้าสู่นครหลวงธารสายไหมได้สำเร็จเลยสักคน นับแต่นั้นเป็นต้นมา เส้นทางนี้จึงถูกเลิกใช้ไป และไม่ค่อยมีใครกล้าย่างกรายเข้าไป
แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่บ้างเช่นกัน เมื่ออาชญากรที่ดุร้ายและชั่วช้าซึ่งเป็นที่ต้องการตัวของนิกายต่าง ๆ ถูกบีบบังคับจนไม่มีทางเลือกอื่นอีก พวกเขาจะเลือกใช้เส้นทางนี้และอาศัยอันตรายต่าง ๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ภายในเพื่อหลีกเลี่ยงการจับกุม ด้วยวิธีนี้ พวกเขาจึงสามารถหลบหนีจากการไล่ล่า แต่การกระทำเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการแสวงหาความตาย
เพราะจวบจนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีผู้หลบหนีคนใดที่สามารถก้าวเท้าออกมาจากมันได้เลยสักคนเดียว!
แต่ทั้งหมดนี้เป็นความประหลาดใจที่น่ายินดีสำหรับเฉินซี เท่าที่เขากังวล การเดินทางในสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายและเจตนาฆ่านั้นมีความเสี่ยงเป็นอย่างมาก แต่ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เขาสามารถใช้อันตรายเหล่านี้ เพื่อรับมือกับการลอบทำร้ายจากนักฆ่าที่ตำหนักตะวันดำส่งมาเพื่อจัดการกับเขา
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เส้นทางนี้เป็นสังเวียนแห่งชีวิตและความตายโดยธรรมชาติ!
เมื่อต่อสู้ในสถานที่แห่งนี้ มีความเป็นไปได้ที่ตัวแปรต่าง ๆ จะเกิดขึ้นและตราบใดที่เขาสามารถใช้ตัวแปรเหล่านี้ได้อย่างเหมาะสม การที่เขาจะบดขยี้การลอบสังหารของตำหนักตะวันดำก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย
ดังนั้นเมื่อเขาเห็นเส้นทางเหล่านี้ในแผนที่ เฉินซีจึงเลือกเส้นทางสายนี้โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย และเขาได้ตัดสินใจออกจากเมืองนภาครามเพื่อเดินทางไปยังนครหลวงธารสายไหมโดยผ่านนครอสนีบาต!
ครึ่งเดือนหลังจากการชุมนุมธารทองสิ้นสุดลง
ในวันนี้ ท้องฟ้าสีครามปลอดโปร่งสดใส เนื่องจากดวงอาทิตย์ที่งดงามส่องแสงมาจากเบื้องบน มีรถม้าเกล็ดแดงที่ถูกลากโดยอาชาเกล็ดแดงสิบสามตัวกำลังออกจากเมืองนภาครามด้วยความเร็วดุจสายฟ้า
รถม้าเกล็ดแดงที่เขาโดยสารอยู่นี้มีความยาวราวร้อยยี่สิบจั้งและกว้างประมาณสิบสองจั้ง ซึ่งสามารถรองรับคนได้มากกว่าร้อยคน รถม้านี้เป็นของผู้พิทักษ์วิญญาณแห่งราชวงศ์ซ่งและถูกใช้เป็นพาหนะเพื่อขนส่งผู้คนระหว่างเมืองโดยเฉพาะ และไม่ใช่แค่ผู้บ่มเพาะที่สามารถโดยสารได้เท่านั้น แม้แต่คนธรรมดาทั่วไปก็สามารถโดยสารได้หลังจากที่พวกเขาจ่ายค่าโดยสาร
ว่ากันว่ามีรถม้าสมบัติขนาดใหญ่ประเภทหนึ่งที่มีนามว่ารถม้าเยือกจันทรา ซึ่งมีระดับเหนือกว่ารถม้าเกล็ดแดง มันสามารถรองรับคนได้นับพัน ทั้งยังมีการป้องกันที่แข็งแกร่งและสะดวกสบายเป็นอย่างมาก ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือค่าโดยสารของมันค่อนข้างแพง แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่เฉินซีไม่เลือกรถม้าเยือกจันทรา เหตุผลที่แท้จริงก็คือขั้นตอนในการโดยสารรถม้าเยือกจันทรานั้นเข้มงวดเป็นอย่างยิ่ง และเฉินซีก็ไม่ต้องการเปิดเผยเส้นทางของเขาทันทีที่เขาออกจากเมืองนภาคราม
แม้ว่าความสามารถในการป้องกันของรถม้าเกล็ดแดงจะถือได้ว่าธรรมดา แต่ก็มีผู้บ่มเพาะนับสิบคนเป็นผู้คุ้มกัน พวกเขาล้วนเป็นสมาชิกของผู้พิทักษ์วิญญาณแห่งราชวงศ์ซ่ง และเป็นตัวแทนของราชวงศ์ซ่งอันยิ่งใหญ่ ด้วยเหตุนี้ กลุ่มโจรที่เฝ้าจับตามองรถม้าเกล็ดแดงจึงไม่ค่อยเป็นที่พบเห็น
เพราะท้ายที่สุดแล้ว การกระทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการล่วงเกินศักดิ์ศรีของราชวงศ์ซ่ง และถ้าใครกล้ากระทำในลักษณะนี้ คนผู้นั้นจะต้องถูกกองกำลังของราชวงศ์ซ่งล้างแค้น!
แน่นอนว่าในโลกนี้ไม่มีวันขาดแคลนผู้สิ้นหวังที่ไม่สนใจชีวิตของพวกเขา แต่นับว่าโชคดีที่รถม้าเกล็ดแดงมีทรัพย์สินไม่มากนัก เนื่องจากลูกค้าที่โดยสารอยู่นั้น ส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดาที่ยากจนและไม่ค่อยมีเงินในกระเป๋า ดังนั้นจึงมีโจรไม่กี่กลุ่มที่รู้สึกสนใจมัน
เฉินซีสังเกตเห็นว่าผู้คุ้มกันของรถม้าเกล็ดแดงคันนี้ค่อนข้างแข็งแกร่ง พวกเขาล้วนมีประสบการณ์และมีความสามารถค่อนข้างมาก ฐานการบ่มเพาะของพวกเขาน่าจะอยู่ที่ประมาณขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ดังนั้นด้วยการมีอยู่ของพวกเขา อย่างน้อยก่อนที่จะถึงเมืองอีกาคลั่ง เขาก็ไม่ต้องกังวลกับความปลอดภัยในการเดินทาง
เมืองอีกาคลั่งอยู่ห่างจากเมืองนภาครามประมาณสองพันลี้ หลังจากที่ลงจากรถม้า เขาจะสามารถเดินทางผ่านเมืองอีกาคลั่งเพื่อเข้าสู่ป่าทมิฬได้ หากเขาเข้าไปในป่าทมิฬ ย่อมหมายความว่าเขาได้ย่างเข้าสู่เส้นทางที่มุ่งสู่นครอสนีบาตแล้ว
หลังจากที่เขาเบือนสายตาออกไปทางอื่น เฉินซีก็ค่อย ๆ ยืดกล้ามเนื้อและร่างกายของเขา แล้วเขาก็สัมผัสได้ว่าพลังจิตสัมผัสเทพของเขาเกือบจะฟื้นคืนสู่สภาพสมบูรณ์แล้ว เนื่องจากเมื่อคืนที่ผ่านมา เขาได้ใช้วัสดุสำหรับสร้างยันต์อักขระที่ซื้อมา เพื่อสร้างยันต์เลิศล้ำระดับสูงขั้นที่เจ็ดให้เสร็จก่อนที่จะรุ่งสาง ดังนั้นเขาจึงไม่รีรอที่จะก้าวขึ้นรถม้าเกล็ดแดงเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม มู่ขุยได้เข้าไปบ่มเพาะในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ ดังนั้นเฉินซีจึงกำลังเดินทางคนเดียว
“พี่ใหญ่ ท่านเป็นผู้บ่มเพาะใช่หรือไม่” เสียงของเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะดังแว่วมาทางเขาและมันช่างนุ่มนวลยิ่งนัก เจ้าของเสียงนั้นเป็นเด็กน้อยอายุประมาณหกหรือเจ็ดขวบ ซึ่งสวมชุดธรรมดาและมีรูปลักษณ์ที่ธรรมดาเป็นอย่างมาก เขามีดวงตาที่ดำสนิทและใสกระจ่าง เมื่อเขามองไปที่เฉินซี ดวงตาของเขาก็ส่องประกายด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเด็กสามัญชนธรรมดา และดูเหมือนสภาพครอบครัวของเขาจะไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากสังเกตได้จากชุดผ้าป่านเนื้อหยาบที่เขาสวมอยู่นั้นถูกซักจนขาวโพลน
เฉินซีตกตะลึง จากนั้นเขาก็พยักหน้าพร้อมกับแย้มยิ้ม เมื่อเขาสังเกตได้ว่าเด็กน้อยรู้สึกประหม่าเล็กน้อยราวกับเกรงว่าจะทำให้เขาขุ่นเคือง บางทีในใจของเด็กน้อย ผู้บ่มเพาะคงเป็นดั่งเทพที่อยู่สูงเกินเอื้อม ซึ่งมีความสามารถในการบัญชาสายลมและมวลเมฆ หรือทะยานผ่านท้องฟ้า และมีอำนาจเหนือสรรพสิ่ง
อันที่จริง สามัญชนยังคงเป็นคนส่วนใหญ่ในโลกใบนี้ หรืออาจกล่าวได้ว่าผู้บ่มเพาะเป็นเพียงส่วนน้อยในบรรดาผู้คนบนโลกใบนี้ อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ทำได้เพียงตื่นขึ้นมาเพื่อทำงานในตอนเช้าแล้วกลับมานอนในตอนกลางคืน พวกเขาไม่สามารถหลีกหนีจากความแก่ ความเจ็บ และความตาย และไม่สามารถควบคุมชะตากรรมของตนเองได้ ซึ่งบางทีในอีกไม่กี่สิบปีต่อมา พวกเขาอาจกลายเป็นกองดิน ทำให้ชีวิตที่แสนสั้นและธรรมดาของพวกเขาเป็นดั่งมด
ทว่าสามัญชนเหล่านี้เองที่ให้กำเนิดโลกมนุษย์อันไร้ขอบเขตและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในนั้น ดังนั้นเมื่อไตร่ตรองทุกสิ่งแล้ว ผู้บ่มเพาะเองก็คือผู้ที่ทะลวงผ่านและได้กลายมาจากสามัญชนเช่นเดียวกัน
ดังนั้นในความคิดของเฉินซีจึงไม่มีความคิดผิด ๆ ที่ว่ามนุษย์เป็นเหมือนสิ่งไร้ค่าที่ใคร ๆ ก็สามารถเหยียบย่ำได้เหมือนมด
ดูเหมือนว่าเด็กน้อยจะได้รับผลกระทบจากรอยยิ้มของเฉินซี ความกังวลใจของเด็กน้อยจึงได้หายไปมากกว่าครึ่ง เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะรวบรวมความกล้าเพื่อเอ่ยปากถามว่า “พี่ใหญ่ ท่านช่วยสอนข้าบ่มเพาะได้หรือไม่”
“เหตุใดเจ้าถึงต้องการบ่มเพาะหรือ?” เฉินซีรู้สึกงุนงง ในตอนนี้เขากำลังจะเผชิญกับการลอบทำร้ายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ดังนั้นภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาจะตกลงตามคำขอของเด็กน้อยได้อย่างไร?
เด็กน้อยกล่าวโดยไม่คิด “พรสวรรค์ของน้องชายดีกว่าของข้า และตอนนี้เขากำลังบ่มเพาะอยู่ที่เมืองหนานตู้ ข้าเกรงว่าในอนาคตเขาจะกลายเป็นเทพและข้าจะไม่ได้พบกับเขาอีก ดังนั้นข้าจึงอยากบ่มเพาะเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ท่านพ่อของข้าบอกว่า พรสวรรค์ของข้านั้นไม่ดีนักและทรัพย์สินที่ครอบครัวของข้ามีอยู่ก็ไม่เพียงพอที่จะส่งเสริมให้ข้าได้บ่มเพาะ ดังนั้น…” ในขณะที่เขากล่าว สีหน้าของเด็กน้อยก็หม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด
เฉินซีตกตะลึงและนิ่งเงียบไป เนื่องจากเขากำลังนึกถึงตัวเองและเฉินฮ่าว เขานึกถึงการตัดสินใจของเฉินเทียนลี่ผู้เป็นปู่ของเขา ซึ่งข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวระหว่างพวกเขาก็คือ เขาได้เดินไปบนเส้นทางของการบ่มเพาะ ในขณะที่เด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้ายังไม่ได้ก้าวไปบนเส้นทางสายนี้ ดังนั้น หากเขาไม่ช่วยเด็กน้อยในตอนนี้ บางทีเด็กคนนี้อาจจะเป็นแค่คนแปลกหน้าสำหรับน้องชายไปตลอดชีวิตของเขา
เพราะท้ายที่สุด ผู้บ่มเพาะและสามัญชนก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“สิ่งนี้คือเคล็ดวิชาการบ่มเพาะลมปราณ เจ้าจงซ่อนมันไว้ในร่างกายอย่างระมัดระวังและอย่าได้ให้ผู้อื่นสังเกตเห็น มิฉะนั้นชีวิตของเจ้าจะตกอยู่ในอันตราย เจ้าจงจำคำนี้ไว้” เฉินซียิ้ม เขามีกองเคล็ดวิชาการบ่มเพาะลมปราณอยู่ในครอบครองมากมาย และพวกมันได้มาจากซากศพของศัตรูของเขา ดังนั้นเขาจึงเลือกเคล็ดวิชาการบ่มเพาะขั้นพื้นฐานที่เรียบง่ายและสามารถเข้าใจได้ง่าย ก่อนจะส่งมันให้กับเด็กน้อย
เด็กน้อยตกตะลึงและดูเหมือนจะไม่เคยคิดมาก่อนว่า ‘โชคชะตาที่จะกลายเป็นเซียน’ จะมาหาเขาอย่างง่ายดาย หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็หายจากอาการตกตะลึง ก่อนที่จะรีบซ่อนแผ่นหยกไว้ในเสื้อผ้าอย่างระมัดระวัง จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยท่าทางตื่นเต้นว่า “พี่ใหญ่…”
เฉินซีขัดจังหวะ “ไม่ต้องขอบคุณข้า จงบ่มเพาะอย่างเหมาะสม ไม่เพียงแต่เจ้าจะต้องแข็งแกร่งในอนาคต เจ้าต้องดูแลน้องชายและพ่อแม่ของเจ้าให้ดีด้วย เจ้าเข้าใจไหม? นอกจากนั้น เรื่องนี้ถือเป็นความลับระหว่างเราสองคนและเจ้าห้ามให้ผู้ใดล่วงรู้เป็นอันขาด”
เด็กน้อยพยักหน้าหงึกหงัก “ข้าเข้าใจแล้ว โปรดวางใจเถอะพี่ใหญ่”
เฉินซียิ้มและไม่กล่าวอะไรต่อ เพราะเขาสังเกตเห็นว่าพ่อของเด็กน้อยได้ตื่นจากการหลับใหลและกำลังจ้องมองมาที่เฉินซีอย่างหวาดระแวง
“เราจะถึงเมืองอีกาคลั่งในอีกราวหนึ่งช่วงก้านธูป เจ้าจะลงไปที่นั่นใช่หรือไม่” ในขณะนี้ มีผู้คุ้มกันคนหนึ่งเดินเข้ามาถามเฉินซี
เฉินซีพยักหน้าและเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าท่าทางของผู้คุ้มกันคนนี้ให้ความรู้สึกแปลก ๆ เล็กน้อย
“เมืองอีกาคลั่ง? พระเจ้า! นั่นไม่ใช่สถานที่ที่อสูรมารวมตัวกันหรือ?” มีคนอุทานด้วยความตกใจ ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ข้างเฉินซีก็ถอยห่างออกไปราวกับว่าพวกเขากำลังหลีกเลี่ยงสัตว์ร้าย และแม้แต่เด็กน้อยคนเมื่อครู่ก็ยังถูกพ่อของเขาโอบอุ้มและพาออกไปไกล
ทุกคนต่างมองไปที่เฉินซีด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความหวาดกลัว ความสงสัยและความชิงชัง ซึ่งการจ้องมองของพวกเขานั้นดูผิดปกติเป็นอย่างมาก
เฉินซีตระหนักได้ในทันทีว่า เมืองอีกาคลั่งนั้นเป็นเมืองที่ไม่มีความสงบสุขและมันก็วุ่นวายเป็นอย่างมาก เนื่องจากมันเป็นทางเข้าเดียวที่จะนำไปสู่ป่าทมิฬ และเป็นทางเข้าของเส้นทางที่สามซึ่งนำไปสู่นครหลวงธารสายไหม ดังนั้นจึงมีกลุ่มโจรดุร้ายและชั่วร้ายจำนวนมากรวมตัวกันอยู่ที่นั่น อีกทั้งยังมีผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ที่เป็นอาชญากรซึ่งเป็นที่ต้องการตัวของราชวงศ์ซ่ง และหากพวกเขาพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาก็จะลอบเข้าไปในป่าทมิฬเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกไล่ล่า
ในสายตาของทุกคนในโลกภายนอก เมืองอีกาคลั่งนั้นเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย และมันก็เป็นแหล่งกบดานของเหล่าอาชญากรชั่วร้าย
ซึ่งเห็นได้ชัดว่า ‘อสูร’ ที่สามัญชนเหล่านี้กล่าวออกมาในขณะนี้ น่าจะหมายถึงกลุ่มโจรเหล่านั้น และเมื่อพวกเขาได้ยินว่าเฉินซีต้องการไปที่เมืองอีกาคลั่ง พวกเขาจึงถือว่าเฉินซีเป็นคนเช่นพวกนั้น
ในเวลาไม่นาน รถม้าเกล็ดแดงก็หยุดลง และเฉินซีก็เดินออกจากรถม้าในทันที
“ในที่สุดอสูรตนนี้ก็จากไป”
“ช่างน่ากลัวเหลือเกิน! นี่เรานั่งรถม้าเกล็ดแดงคันเดียวกับอสูรอยู่หรือนี่…”
“ใช่แล้ว อสูรสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์และพวกมันชอบกินหัวใจของมนุษย์ พวกมันน่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุด!”
หลังจากที่เฉินซีลงจากรถม้า ทุกคนบนนั้นต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ราวกับว่าพวกเขาได้ส่งเทพเจ้าแห่งโรคระบาดออกไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาก็เริ่มพูดคุยกันอย่างมีชีวิตชีวา
‘พี่ใหญ่ไม่ใช่ปีศาจ! ในใจของข้า ‘หลินฮ่าว’ พี่ใหญ่คือเทพที่แท้จริง และข้าจะตอบแทนเขาในอนาคตอย่างแน่นอน’ มีเพียงเด็กหนุ่มที่นอนอยู่ตรงมุมหน้าต่างของรถม้า กำลังจ้องมองร่างของเฉินซีราวกับต้องการประทับรูปลักษณ์ของเฉินซีไว้ในใจ เพื่อที่เขาจะได้ไม่ลืมมันไปตลอดชีวิต