บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 325 เริ่มต้น
บทที่ 325 เริ่มต้น
บทที่ 325 เริ่มต้น
เมื่อเฉินซีก้าวลงมาจากรถม้าเกล็ดแดง ในตำหนักจ้าวปัญญาก็ได้มีการประชุมพิเศษเกิดขึ้น
พื้นที่ด้านในสุดของตำหนักจ้าวปัญญานี้เป็นพื้นที่ลวงตาที่เต็มไปด้วยปราณเซียน ทิวเขาสวยงามมากมายตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆและทะเลหมอก ภูเขาแต่ละลูกล้วนเต็มปราณวิญญาณที่หนาแน่นจนน่าตกใจ เขาทั้งหนึ่งร้อยแปดลูกก่อตัวเป็นค่ายกลเทือกเขาอันยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
ปราณวิญญาณจำนวนมหาศาลพรั่งพรูออกมาจากยอดเขา หลังจากได้รับการขัดเกลาจากค่ายกลใหญ่ พวกมันก็ได้กลายเป็นปราณเซียนอันบริสุทธิ์สีฟ้าโปร่งแสงล่องลอยอยู่ทั่วทุกแห่งในที่นี้
บนท้องฟ้ากว้างมีลูกบอลเพลิงขนาดมหึมาที่พร่างพราวแขวนเอาไว้อยู่ มันส่องสว่างไปรอบ ๆ ประหนึ่งดวงอาทิตย์ จึงทำให้พื้นที่ทุกตารางนิ้วถูกอาบไปด้วยประกายแสงที่เจิดจ้างดงาม และเต็มไปด้วยเมฆลายมงคลนับไม่ถ้วน
แสงสว่างงดงามและเมฆมงคลก็หนาแน่น
พื้นที่แห่งนี้ถูกเปิดขึ้นภายในตำหนักจ้าวปัญญา มันเป็นสถานที่ที่ราชันผู้ปรีชา หวงฝู่จิ่งเทียน มักจะใช้บ่มเพาะ
ยามนี้ ณ ใจกลางยอดเขาที่เต็มไปด้วยปราณเซียน หวงฝู่จิ่งเทียนผู้มีร่างกายสูงโปร่งและกำยำ สวมเสื้อคลุมจักรพรรดิลายงูใหญ่เก้าตัว และประดับศีรษะด้วยกวานจักรพรรดิสีทองกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ ดวงตาของเขากะพริบไหว สร้างเกลียวสายฟ้าสีทองที่เปล่งเสียงร้องกึกก้องหมุนวนอยู่รอบตัว แลดูน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
นอกจากนี้บนยอดเขาอีกห้าแห่งรอบ ๆ หวงฝู่จิ่งเทียนเอง ก็มีเงาร่างที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ นักพรตเต๋าหลงเหอแห่งนิกายกระเรียนพิสุทธิ์ จ้าวจื๋อเหม่ยผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีแห่งนิกายสวรรค์ปฐพี ชงซวี่ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีแห่งนิกายเตากลั่นเซียนนพเก้า ผู้เป็นเจ้าของฉายาผู้ไร้พันธะ โม่หลานไห่ผู้เป็นนายเหนือหัวเกาะฉลามมังกรแห่งทะเลตะวันออก และหลิวเสี่ยว ผู้เป็นประมุขภูเขานภาลัยแห่งแดนเถื่อนทางตอนเหนือ
ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีทั้งห้าคนจากที่ราบตอนกลาง ทะเลตะวันออกและแดนเถื่อนทางตอนเหนือ ได้มารวมตัวกันอยู่ที่ตำหนักจ้าวปัญญา!
“ข้าเพิ่งได้รับข่าวมาว่า สหายตัวน้อยจากเมืองหมอกสนได้ออกจากเมืองนภาครามไปด้วยรถม้าเกล็ดแดงแล้ว ในที่สุดกลุ่มตะวันเร้นก็เริ่มลงมือได้แล้ว”
หวงฝู่จิ่งเทียนพูดช้า ๆ ด้วยเสียงดังที่เหมือนเสียงฟ้าร้องและเต็มไปด้วยความภูมิฐานก้องไปทั่วทั้งพื้นที่ “ในวันนี้ ข้าเชิญสหายนักพรตเต๋ามาที่นี่ โดยมีจุดประสงค์ที่เรียบง่ายอย่างยิ่ง นั่นก็คือเพื่อหารือเกี่ยวกับการแบ่งสมบัติที่เด็กคนนั้นครอบครองเอาไว้ หลังจากที่กำจัดเขาได้แล้ว”
การแบ่งสมบัติที่เฉินซีครอบครอง?
ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีทั้งห้าคนตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นดวงตาของพวกเขาก็ลุกโชนขึ้นมาในทันที
เท่าที่พวกเขารู้ สมบัติที่อยู่ในมือของเฉินซีนั้นอย่างน้อยก็มีสามชิ้นแล้วที่เป็นสมบัติอมตะ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ส่วนใหญ่มาจากขุมสมบัติของเฉียนหยวน ทำให้เขาแทบจะเป็นเหมือนภูเขาสมบัติในร่างมนุษย์ ดังนั้นพวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะหวั่นไหวไปกับสิ่งที่เฉินซีครอบครอง และกล้าพอที่จะเสี่ยงเพื่อจัดการกับเขา
แน่นอนว่าสิ่งที่เป็นแรงจูงใจสูงสุดย่อมเป็นสมบัติอมตะทั้งสามชิ้น อย่างไม่ต้องสงสัย
การเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีนั้นอาจดูเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยม แต่แท้จริงแล้วนั้น พวกเขาก็เพียงแค่กลุ่มคนที่ใช้ชีวิตด้วยความยากลำบากมากกว่าผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ระลอกคลื่นแห่งทัณฑ์สวรรค์ทั้งเก้าเป็นเหมือนดาบคมที่ห้อยอยู่เหนือหัว กดดันให้พวกเขาหายใจไม่ออก ความประมาทเลินเล่อเพียงเล็กน้อยอาจทำให้พวกเขาต้องสูญเสียทุกอย่างได้
ดังนั้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการเอาชนะทัณฑ์สวรรค์เหล่านี้ นอกเหนือจากการพยายามบ่มเพาะอย่างยากลำบากแล้ว สมบัติอมตะก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่มีประโยชน์อย่างมาก เมื่อเทียบกับสิ่งอื่น ๆ ที่สามารถเอามาใช้เป็นตัวช่วยได้
ดังนั้นหากจะกล่าวว่า ด้วยสมบัติอมตะเพียงหนึ่งชิ้นก็สามารถช่วยให้ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีอยู่รอดปลอดภัยจากทัณฑ์สวรรค์ได้อย่างต่ำก็ครั้งหนึ่งแล้ว และบางทีก็อาจจะช่วยได้มากกว่านั้น!
ฉะนั้นแล้วสำหรับสัตว์ประหลาดเฒ่าทั้งหกคนนี้ สมบัติอมตะทั้งสามชิ้นของเฉินซีจึงมีพลังดึงดูดที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้อย่างไม่ต้องสงสัย แล้วใครจะยอมปล่อยพวกมันไปง่าย ๆ กัน
“พวกเรามีกันหกคน ทว่าสมบัติอมตะมีเพียงสามเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ยังเป็นสมบัติที่เสียหายและไร้ซึ่งจิตวิญญาณ เมื่อเทียบกับอีกสองชิ้นที่เหลือเห็นได้ชัดว่าพวกมันไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน ข้าสงสัยยิ่งนักว่าราชันผู้ปรีชาจะแบ่งมันเยี่ยงไร?”
ประมุขแห่งเกาะฉลามมังกรแห่งทะเลตะวันออก โม่หลานไห่กล่าวขึ้น คนผู้นี้นั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขาด้วยท่าทางของผู้มีอำนาจเหนือกว่า รัศมีของมหาสมุทรที่กว้างใหญ่และแสงสีน้ำเงินห่อหุ้มร่างกายทั้งหมดของเขาเอาไว้ ทำให้ไม่อาจมองเห็นรูปลักษณ์ของเขาได้ชัดเจน เมื่อมองจากที่ไกล ๆ เขาเป็นดุจดั่งเทพเจ้าผู้เกิดมาจากทะเลสีคราม ซึ่งดำรงอยู่ในจุดสูงสุดที่ใคร ๆ ก็ทำได้แค่เพียงเงยหน้าขึ้นมอง
อันที่จริงแล้ว ในแง่ของกลิ่นอายอันโอ่อ่า ทุกคนล้วนมีจุดเด่นเป็นของตนเอง ความแข็งแกร่งของพวกเขาทั้งหมดอยู่ที่ขอบเขตเซียนปฐพีขั้น 6 และไม่มีใครด้อยไปกว่าใคร ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงไม่อาจนั่งในระดับที่ทัดเทียมกับหวงฝู่จิ่งเทียนผู้เป็นราชันได้
ความเย็นชาผุดขึ้นในใจของหวงฝู่จิ่งเทียน ขณะที่เขาตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ข้าเรียกทุกคนมาที่นี่ ก็เพราะข้าอยากฟังความคิดเห็นของพวกท่าน ข้าสงสัยว่ามีใครพอจะมีความคิดดี ๆ เรื่องนี้บ้างหรือไม่?”
ทุกคนมองหน้ากัน แต่ก็ไม่มีใครพูดสิ่งใดออกมา หากเป็นไปได้พวกเขาก็ย่อมต้องการครอบครองสมบัติวิเศษทั้งสามชิ้นอยู่แล้ว ใครที่ไหนอยากจะแบ่งปันมันกับผู้อื่นอย่างเท่าเทียมกัน?
แต่เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
เพราะไม่ว่าจะเป็นใครในหมู่พวกเขา ต่างก็ยอมตายเสียดีกว่าจะยอมทิ้งโอกาสที่จะได้รับสมบัติวิเศษมา ดังนั้นไม่ว่าใครก็ย่อมไม่ยอมทั้งนั้น
ทว่าสมบัติวิเศษที่ว่านั้นกลับมีเพียงสามชิ้นเท่านั้น หากพวกเขาเลือกที่จะแบ่งส่วนกัน ก็ต้องมีสามคนที่จะไม่ได้รับของ เมื่อเผชิญกับปัญหาที่ยากเช่นนี้ พวกเขาจึงทำได้เพียงใช้ความเงียบเพื่อแสดงจุดยืนต่อปัญหาดังกล่าว
“ราชันผู้ปรีชาเอ๋ย กลุ่มตะวันเร้นยังไม่ทันได้ลงมือครานี้ เด็กคนนั้นก็ยังทั้งสบายดีและมีชีวิตอยู่ การทำเช่นนี้จะไม่เป็นการด่วนสรุปเกินไปหน่อยหรือ?”
นักพรตเต๋าหลงเหอขมวดคิ้วสีขาวของตน ขณะที่เขาทำลายความเงียบลงด้วยการพูดขึ้นมาอย่างช้า ๆ ว่า “ที่จริง จนถึงตอนนี้ชายชราผู้นี้ก็ยังคงกังวลใจอยู่เรื่องหนึ่ง ครั้งนี้พวกเราทั้งหกคนได้ร่วมมือกันฝากฝังให้ตำหนักตะวันดำทำการซุ่มโจมตีครั้งใหญ่เพื่อจัดการกับเฉินซี หากเรื่องนี้ถูกตระกูลไป๋แห่งเทือกเขาหนามม่วงพบเข้า ผลที่ตามมาก็นับได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าห่วงไม่น้อย”
เมื่อพูดถึงตระกูลไป๋แห่งเทือกเขาหนามม่วง ตัวประหลาดเฒ่าต่างก็รู้สึกว่าหัวใจของพวกเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ สีหน้าของพวกเขาดูจริงจังกันมากขึ้น ถึงแม้จะรู้ว่าการกระทำนี้จะทำให้ตระกูลไป๋ขุ่นเคือง แต่เมื่อได้พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา พวกเขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี ราวกับว่ามีกระบี่เล่มหนึ่งเล็งที่ด้านหลังของพวกเขาอยู่ตลอดเวลา
“ความกังวลของสหายเต๋าหลงเหอเองก็ไม่เกินความจำเป็นไปหน่อยหรือ? เรื่องในครานี้เราไม่ได้เป็นผู้ลงมือด้วยตัวเอง ดังนั้นหากตระกูลไป๋ต้องการที่จะตำหนิใคร พวกเขาก็ทำได้เพียงระบายความโกรธไปที่ตำหนักตะวันดำเท่านั้น มันจะเกี่ยวอะไรกับเรากัน?”
ราชันหวงฝู่จิ่งเทียนหัวเราะเสียงดังและกล่าวด้วยความเฉยเมย “ยิ่งไปกว่านั้น มิใช่ว่าเราช่วยชีวิตเด็กคนนี้ไว้หรือ? ตราบใดที่เขาไม่มุ่งหน้าไปยังนครหลวงธารสายไหม เขาก็ยังสามารถมีชีวิตที่ดีต่อไปได้”
จ้าวจื๋อเหม่ยพยักหน้า “ราชันผู้ปรีชากล่าวได้ถูกต้องแล้ว เราได้กำชับตำหนักตะวันดำเอาไว้แล้วว่าในการซุ่มโจมตีครานี้พวกมันไม่อาจใช้ผู้ที่มีขอบเขตสูงกว่าแกนทองคำหยินหยางได้ และเรายังให้คนไปแจ้งแล้วว่าหากเขาสามารถเอาชีวิตรอดจากกลุ่มตะวันเร้นมาได้ ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างเราก็จะถือว่าเป็นโมฆะ ด้วยเงื่อนไขเหล่านี้ก็เรียกได้ว่าเพียงพอแล้วสำหรับการแสดงความบริสุทธิ์ใจของเรา ถึงตระกูลไป๋จะทราบเรื่อง พวกเขาก็คงจะไม่ปฏิบัติต่อเราอย่างไร้เหตุผลหรอกใช่หรือไม่? ”
คำพูดของหวงฝู่จิ่งเทียนและจ้าวจื๋อเหม่ยทำให้การแสดงออกของทุกคนผ่อนคลายขึ้น ใช่แล้ว การซุ่มโจมตีครานี้มีเงื่อนไขและทางหนีทีไล่ตั้งเอาไว้เพื่อเด็กคนนั้นอยู่แล้ว นอกจากนั้นพวกเขาทุกคนก็ยังไม่ได้เคลื่อนไหวด้วยตัวเองแต่อย่างใด ถึงตระกูลไป๋จะทราบเรื่องนี้แล้วจะอย่างไร?
คิ้วสีขาวของนักพรตเต๋าหลงเหอยังคงขมวดแน่น ก่อนที่เขาจะถอนหายใจ “ทุกท่าน ไม่ใช่ว่าข้าขี้ขลาด แต่มีใครในหมู่พวกท่านที่เคยได้ยินเกี่ยวกับการลอบสังหารที่ล้มเหลวของตำหนักตะวันดำบ้าง? ไม่ว่าเราจะเริ่มด้วยเงื่อนไขมากมายเพียงใด สุดท้ายแล้วเด็กคนนั้นก็ต้องตายอยู่ดี ฉะนั้นตราบใดที่ตระกูลไป๋ลงมือสืบสวนดูอีกสักเล็กน้อย พวกเขาก็ย่อมจะรู้เรื่องราวทั้งหมดได้อยู่ดี”
หวงฝู่จิ่งเทียนกล่าวโต้ด้วยความไม่พอใจ “เช่นนั้นแล้วสหายเต๋าหลงเหอจะถอนตัวหรือไม่? เอาล่ะ ตอนนี้นับว่ายังไม่สายเกินไปที่ท่านจะถอนตัว ข้าจะไม่กล่าวสิ่งใดอีก แม้ว่าตระกูลไป๋ต้องการจะตำหนิ มันก็จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับท่าน แต่หลังจากที่เฉินซีตาย โอกาสในส่วนแบ่งจากสมบัติอมตะทั้งสามชิ้นก็จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับท่านเช่นกัน”
เมื่อพูดเรื่องนี้หวงฝู่จิ่งเทียนก็กวาดตามองไปที่คนอื่น ๆ และพูดอย่างเย็นชา “หากท่านใดต้องการที่จะถอนตัว ก็เชิญกล่าวเถิด ข้าสัญญาว่าข้าจะไม่กล่าวว่าอะไรอีก”
เมื่อมันเกี่ยวข้องกับสมบัติอมตะทั้งสามแล้ว แม้แต่นักพรตเต๋าหลงเหอก็ยังต้องเงียบไป จึงไม่มีทางที่คนอื่น ๆ จะถอนตัวออกไปอย่างแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าการทำเช่นนี้ ไม่เพียงแค่จะช่วยให้พวกเขารอดพ้นจากความโกรธแค้นของตระกูลไป๋ได้ แต่ยังเลี่ยงการทำให้คนอื่น ๆ เกิดความขุ่นเคืองใจและมองตนเป็นศัตรูได้อีก ผลกระทบเหล่านี้ย่อมส่งผลต่อนิกายที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา ดังนั้นมันจึงไม่คุ้มค่าที่จะสละและจากไปอย่างยิ่ง
ทุกคนในที่แห่งนี้ล้วนเป็นคนชราที่มีอายุยืนยาว ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถแยกแยะข้อดีและข้อเสียเล็กน้อยนี้ได้โดยธรรมชาติ
หวงฝู่จิ่งเทียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเย้ยหยันอยู่ในใจ ทันใดนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง ก่อนที่เขาจะสะบัดมือเปิดประตูขึ้นจากความว่างเปล่าด้านข้างของตน จากนั้นแผ่นหยกก็ลอยออกมาและถูกมือของเขาคว้าเอาไว้
“ฮ่า ๆๆ สวรรค์เข้าข้างข้าจริง ๆ !”
หลังจากที่หวงฝู่จิ่งเทียนอ่านเนื้อหาในแผ่นหยกจบ เขาก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ก่อนจะกล่าวขึ้น “ทุกท่านข้าจะขอแจ้งข่าวดีให้ได้ทราบ ตามข้อมูลที่ส่งมาจากตำหนักตะวันดำ ยามนี้ตระกูลไป๋แห่งเทือกเขาหนามม่วงกำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผลัดยุคสมัย ประมุขตระกูลไป๋คนใหม่กำลังจะขึ้นสู่ตำแหน่งและไม่มีเวลาสนใจสิ่งอื่น และหลังจากที่หัวหน้าตระกูลไป๋คนใหม่ขึ้นสู่ตำแหน่ง เขาก็จะรวมกำลังพลทั้งหมดของตระกูลเพื่อบุกเบิกดินแดนใหม่ ทำให้ตระกูลไป๋ไม่สามารถส่งกองกำลังขนาดใหญ่มายังราชวงศ์ซ่งอย่างน้อยหนึ่งพันปี!”
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดนั้น พวกเขาก็พากันตกตะลึง คิ้วขมวด ก่อนจะหัวเราะออกมาดัง ๆ กับความประหลาดใจที่น่ายินดีนี้
“แต่ว่านะ สหายเต๋า แม้ว่าเราจะไม่ต้องกังวลเรื่องกองกำลังของตระกูลไป๋แล้ว แต่เราก็ยังคงต้องระวังคนจากตระกูลไป๋ที่เป็นห่วงเป็นใยเด็กคนนี้เป็นพิเศษ ดังนั้นหากไม่จำเป็นจริง ๆ จะเป็นการดีกว่าที่เราจะไม่ลงมือด้วยตนเอง แล้วปล่อยให้ตำหนักตะวันดำรับผิดชอบเรื่องนี้เอาเอง” หวงฝู่จิ่งเทียนยิ้มขณะที่กล่าวเตือนพวกเขา
ทุกคนพยักหน้า เพราะพวกเขาเองก็พิจารณาถึงความเป็นไปได้นี้ไว้เช่นกัน
“เอาล่ะ เด็กคนนั้นคงหนีจากหายนะครานี้ไม่ได้แล้ว ทีนี้เรามาหารือกันเถิดว่าจะแบ่งสมบัติอมตะทั้งสามชิ้นอย่างไร” หวงฝู่จิ่งเทียนกลับสู่ความเคร่งขรึมและกล่าวถึงปัญหาก่อนหน้านี้อีกครั้ง
ตอนนี้ความกังวลในใจของทุกคนถูกกำจัดออกไปอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รังเกียจที่จะถกเถียงถึงปัญหานี้ และเริ่มหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยกันทันที
…
เมืองนภาคราม ในพื้นที่ลวงตาที่ถูกเปิดขึ้นที่ไหนสักแห่ง
ชายผู้มีรูปร่างหน้าตาธรรมดาโค้งคำนับอย่างเคร่งขรึมและพูดขึ้นว่า “หัวหน้าหน่วย 7 ได้ส่งข่าวนี้ไปยังราชันผู้ปรีชาแล้ว เรามาเริ่มแผนการกันเลยดีหรือไม่?”
ชายชราที่มีหน้าตาใจดีและเมตตายืนอยู่ห่างออกไปด้านหน้าชายคนนั้นราวสิบจั้ง หากเฉินซีอยู่ที่นี่เขาจะจำได้อย่างแน่นอนว่าชายชราคนนี้คือชุยซาน ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติซึ่งเป็นผู้ดูแลสังเวียนประลองหมายเลขสามที่การชุมนุมธารทอง!
อย่างไรก็ตาม ชุยซานดูต่างกันกับก่อนหน้านี้เลย ในยามนี้ทั่วทั้งร่างของเขากำลังปลดปล่อยกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวมากออกมา ควบแน่นกันอยู่ที่ด้านหลังของเขา จนก่อตัวเป็นดวงอาทิตย์สีดำขนาดมหึมาที่ดูลึกลับอย่างยิ่ง
ชุยซานขบคิดก่อนกล่าวว่า “เฉินซีผู้นี้ไม่อาจประมาทได้ ข้าเห็นการต่อสู้ของเขามาเป็นหนึ่งร้อยครั้ง ความแข็งแกร่งของเขาถือว่าสูงกว่านายน้อยโจวกับซูเฉินอยู่บ้างเล็กน้อย ทวนแผนการให้ข้าอีกครั้ง ข้าจะได้ดูว่ามีข้อบกพร่องหรือไม่”
เจียงซวินคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับไป “แผนการคราวนี้มีมือสังหารขอบเขตแกนทองคำหยินหยางทั้งหมด 163 คน พวกเขาทั้งหมดจะถูกแบ่งโดยผู้บัญชาการสามคน ซึ่งได้แก่ อันดับที่ 76 ในการจัดอันดับขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ‘กุหลาบโลหิต’ อันดับที่ 68 ‘จิ้งจอกสีชาด’ และอันดับที่ 65 ‘พรางเวหา’”
“เส้นทางสำหรับดำเนินการในครั้งนี้อยู่ในพื้นที่อันตรายระหว่างเมืองนภาครามกับนครอสนีบาต ผู้นำทั้งสามได้นำกลุ่มเข้าประจำตำแหน่งและกระจายกำลังไปตลอดเส้นทางเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงรอให้เฉินซีตกลงไปในตาข่ายเท่านั้น”
“และยังมีผู้บัญชาการอีกสองสามคนกับกำลังพลอีกประมาณห้าสิบคน รอคำสั่งในกรณีฉุกเฉินอยู่”
ชุยซานพยักหน้า “ดี ต่อหน้ากองกำลังเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง แม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติก็ยังไม่อาจรอดพ้นจากความตายไปได้ กระจายคำสั่งให้กลุ่มตะวันเร้นเริ่มการซุ่มโจมตี! จำไว้ แผนครานี้ต้องสำเร็จเท่านั้น ไม่อนุญาตให้มีการล้มเหลวโดยเด็ดขาด!”
เจียงซวินพยักหน้าก่อนจะหันหลังกลับและจากไป
“เดิมทีข้าวางแผนจะพาเขากลับไปยังตำหนักตะวันดำเพื่อรับใช้ข้า ด้วยความแข็งแกร่งของเขา เขาจะต้องกลายเป็นมือสังหารชั้นหนึ่งในหมู่ผู้บัญชาการขอบเขตแกนทองคำหยินหยางได้อย่างแน่นอน น่าเสียดายนักที่ราคาของผู้ว่าจ้างนั้นสูงเกินไป อีกทั้งพวกเขาต้องการให้จัดการแบบหากยังอยู่ต้องเห็นร่าง หากว่าตายต้องเห็นศพเสียอีก ข้าคงทำได้เพียงแค่ยอมแพ้…”
ชุยซานถอนหายใจแผ่วเบาก่อนจะสะบัดมือ และหายตัวไปพร้อม ๆ กันกับพื้นที่ลวงตาในทันที