บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 329 การซุ่มโจมตี
บทที่ 329 การซุ่มโจมตี
บทที่ 329 การซุ่มโจมตี
เมื่อเฉินซีเห็นปฏิกิริยาที่เจ้าของโรงเตี๊ยมและเฉียวเซิงแสดงออกมา สิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้ก็ได้ข้อสรุปอย่างชัดเจน
อันที่จริงก่อนที่จะเข้าสู่เมืองอีกาคลั่ง เฉินซีก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ดังนั้นเขาจึงไม่เลือกที่จะบินไปกลางอากาศ แต่เลือกที่จะลอบเข้าใกล้เมืองอีกาคลั่งจากทางพื้นดินแทน
ที่เขาเลือกกระทำเช่นนี้ ก็เพื่อป้องกันมือสังหารของตำหนักตะวันดำ
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการอาศัยจิตสัมผัสเทพที่ทรงพลังของเขาและเคล็ดวิชาคลื่นจิตสะท้อนที่มีผลต่อจิตสัมผัสเทพของคนอื่น แม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติก็ยังสังเกตเห็นเขาได้ยาก
อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้กลับมีเฉียวเซิงผู้มีฐานการบ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำเท่านั้นที่สังเกตเห็นเขา ซึ่งดูเหมือนว่าอีกฝ่ายได้คาดการณ์ถึงการมาเยือนของเฉินซีและกำลังรออยู่ที่นั่นมาเป็นเวลานานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เมื่ออีกฝ่ายเห็นเฉินซีเดินทางบนพื้นดินและไม่ได้บินอยู่บนท้องฟ้า เขากลับไม่มีทีท่าแปลกใจเลยสักนิด
นี่เป็นเพียงหนึ่งในประเด็นที่น่าสงสัยและเนื่องจากเฉินซีเพิ่งมาถึงที่นี่ เขาจึงไม่แน่ใจว่าความสงสัยของตนนั้นเกินจริงหรือไม่
แต่เมื่อเข้าไปในเมืองอีกาคลั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเข้าไปในโรงเตี๊ยมอีกาคลั่ง และเห็นชื่อหลัวหลานกับอู๋ฝูจื่ออยู่ที่นั่น เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าการมาถึงของตนน่าจะเป็นที่ล่วงรู้ของตำหนักตะวันดำมาตั้งแต่แรก นอกจากนี้ยังพวกมันยังได้เตรียมการวางกับดับเอาไว้ล่วงหน้า
ชื่อหลัวหลานและอู๋ฝูจื่อที่ปรากฏตัวในโรงเตี๊ยมนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ญาณสัมผัสของเฉินซีมักจะแผ่กระจายปกคลุมสภาพแวดล้อมโดยรอบ ซึ่งเขาค้นพบได้อย่างรวดเร็วว่าหลังจากที่ก้าวเข้าไปในโรงเตี๊ยม หุ่นไล่กาจางและหลีกะโหลกผีก็หยุดสิ่งที่พวกมันกระทำอยู่ก่อนที่จะลอบเข้าใกล้โรงเตี๊ยม ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันก็ไม่ได้เข้าไปในโรงเตี๊ยมแต่กลับซ่อนตัวอยู่ในเงามืดแทน
นี่เป็นสิ่งที่น่าสงสัยว่าเพราะเหตุใดมหาวายร้ายชื่อดังสองคนของเมืองอีกาคลั่งถึงเต็มใจที่จะหลบอยู่ในมุมมืดภายใต้สายลมหนาวที่เสียดแทง แต่กลับไม่เต็มใจที่จะเข้าไปในโรงเตี๊ยมที่พลุกพล่านและอบอุ่นแทน?
ทว่าสิ่งที่เฉินซีรู้สึกผิดปกติที่สุดก็คือ นอกจากฉีอิ๋นแล้ว สี่ในห้ามหาวายร้ายผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมืองอีกาคลั่งได้มารวมตัวกันแล้วจริง ๆ!
โรงเตี๊ยมเล็ก ๆ ในค่ำคืนที่ปกติเช่นนี้กลับสามารถรวบรวมมหาวายร้ายผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่คนที่มีนิสัยแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ด้วยสิ่งนี้จะไม่ถือว่าผิดปกติเกินไปหรอกหรือ?
เฉินซีไม่ได้คิดเพ้อเจ้อว่าเหล่าวายร้ายทั้งสี่คนนี้จะมาเพื่อต้อนรับการมาถึงของเขา
ดังนั้นย่อมมีเหตุผลเพียงข้อเดียวคือ ได้มีคนเตรียมการทุกอย่างไว้ก่อนที่เฉินซีจะมาถึงเมืองอีกาคลั่ง และพวกมันกำลังรอการมาเยือนของเฉินซีก่อนที่จะรวบรวมยอดฝีมือชั้นนำของเมืองอีกาคลั่งเพื่อรุมสังหารเขา!
เขาไม่จำเป็นต้องคาดเดาว่าเป็นผู้ใดที่เตรียมการทั้งหมดนี้ เพราะคงไม่มีใครอื่นนอกจากตำหนักตะวันดำที่มีความสามารถอันยอดเยี่ยมในการระดมวายร้ายผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ให้ทำตามคำสั่งของพวกมัน
แต่เห็นได้ชัดว่าในสายตาของตำหนักตะวันดำ วายร้ายเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่มีฝีมือมากพอที่จะสังหารเฉินซีได้ ดังนั้นพวกมันจึงสั่งให้เจ้าของโรงเตี๊ยมเตรียมแผนที่ปลอมเอาไว้
แผนการของมือสังหารจากตำหนักตะวันดำนั้นละเอียดถี่ถ้วนมาก และดูเหมือนพวกมันจะมองเห็นหัวใจของผู้คนได้อย่างชัดเจน ดังนั้นพวกมันจึงใช้ความตั้งใจที่ต้องการเข้าไปในป่าทมิฬเป็นการด่วนของชายหนุ่ม เพื่อหลีกเลี่ยงจากการถูกซุ่มโจมตี พวกมันจึงได้จัดทำแผนที่ปลอมขึ้นมา โดยเป้าหมายของพวกมันนั้นไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกจากให้เฉินซีได้แผนที่ปลอมไป เพื่อให้แผนดำเนินตามที่วางไว้และทำให้เขาเข้าไปติดในกับดักที่พวกมันเตรียมเอาไว้
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงการคาดเดาในใจของเฉินซี แต่ปฏิกิริยาที่ดูตื่นตระหนกและสลดใจของเจ้าของโรงเตี๊ยมกับเฉียวเซิงที่อยู่ตรงหน้า ทำให้เขาสามารถยืนยันได้ทันทีว่าการคาดการณ์ทั้งหมดเป็นสิ่งถูกต้อง!
“ข้าได้ยินมาว่าพวกเจ้าทั้งคู่เป็นสมาชิกขององค์รักษ์วิญญาณแห่งราชวงศ์ซ่ง และวัสดุที่วายร้ายเหล่านี้รวบรวมมาจากป่าทมิฬจะถูกส่งต่อไปยังราชสำนักซ่งโดยผ่านทางพวกเจ้าทั้งสองคน ดังนั้นข้าจึงสันนิษฐานว่าพวกเจ้าคงจะลักลอบเก็บทรัพย์สินบางส่วนเพื่อเอาเข้ากระเป๋าของตัวเอง”
เฉินซีมองไปที่เจ้าของโรงเตี๊ยมและเฉียวเซิงที่หน้าซีดเพราะความกลัว จากนั้นจึงกล่าวเฉยเมยว่า “กล่าวตามเหตุผลแล้ว นี่เป็นแหล่งความมั่งคั่งที่ยิ่งใหญ่ ด้วยฐานะขององค์รักษ์วิญญาณแห่งราชวงศ์ซ่ง ข้าสันนิษฐานว่าตำหนักตะวันดำคงจะไม่บีบบังคับพวกเจ้า หากพวกเจ้าทั้งสองไม่เต็มใจที่จะทำ แล้วเหตุใดพวกเจ้าถึงต้องทำตามคำสั่งของพวกมันและตั้งใจวางแผนที่จะฆ่าข้า?”
เจ้าของโรงเตี๊ยมหัวเราะอย่างน่าสมเพช “เงินขับเคลื่อนหัวใจ ท่านลูกค้าเอ๋ย ท่านควรรู้เช่นกันว่าตราบใดที่มีประโยชน์เพียงพอ อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ในโลกนี้”
เฉินซีพยักหน้าเห็นด้วยอย่างลึกซึ้ง “การซุ่มโจมตีของตำหนักตะวันดำที่มุ่งมาทางข้าในครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะไอ้พวกเฒ่าบัดซบเหล่านั่นอยากได้สมบัติที่ข้าครอบครองอยู่หรอกหรือ?”
เคร้ง!
ยันต์ศัสตราในมือของเฉินซีเปล่งเสียงทุ้มต่ำและชัดเจนในขณะที่มันเผยให้เห็นถึงเจตนาฆ่า แม้ว่าเจ้าของโรงเตี๊ยมและเฉียวเซิงจะเป็นหนึ่งในองค์รักษ์วิญญาณ แต่เนื่องจากพวกมันกล้าวางแผนที่จะเป็นศัตรูกับเขา ดังนั้นพวกมันจึงต้องชดใช้ด้วยชีวิตเท่านั้น
ใบหน้าของเจ้าของโรงเตี๊ยมกับเฉียวเซิงเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวอย่างสุดขีดจนวิญญาณของพวกมันแทบหลุดออกจากร่าง เนื่องจากพวกมันไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนผู้นี้ไม่มีความคิดที่จะปล่อยพวกมันไป แม้พวกมันจะสารภาพความจริงแล้วก็ตาม
“หากเจ้าไม่ฆ่าพวกมัน ข้าจะพาเจ้าไปที่ป่าทมิฬ” ในขณะนี้เอง น้ำเสียงที่สงบนิ่งและไม่แยแสดังมาจากด้านนอกของโรงเตี๊ยม
ต่อจากนั้นก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยม รูปร่างของคนผู้นี้สูงโปร่งจนน่าประทับใจ สีหน้าของเขาแน่วแน่และไม่แยแส โครงหน้าก็คมสันราวกับว่ามันถูกแกะสลักด้วยใบมีด มีคันธนูยาวสีดำสนิทที่อาบไปด้วยแสงสลัวและเย็นยะเยือกคาดอยู่บนหลัง ทั้งร่างกายของคนคนนี้เปล่งกลิ่นอายที่ดุร้ายและหนักแน่นออกมา
“ฉีอิ๋น?” เฉินซีกล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจ จากรูปลักษณ์ของคนผู้นี้ เขามีความคล้ายคลึงกับหนึ่งในห้ามหาวายร้าย ฉีอิ๋นผู้มักจะอยู่ในป่าทมิฬเพื่อต่อสู้และเข่นฆ่าสัตว์อสูร
ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างเฉยเมยและกล่าวว่า “เจ้าคงคาดการณ์ได้เหมือนกัน ตำหนักตะวันดำได้ซุ่มโจมตีอยู่ในป่าทมิฬและกำลังรอให้เจ้าย่างกรายเข้าไป พวกมันเข้าไปพร้อมกับแผนที่ที่ข้าได้วาดไว้ ดังนั้นข้าจึงรู้ตำแหน่งของการซุ่มโจมตี กองกำลังที่ก่อการซุ่มโจมตี และความสามารถในการต่อสู้ของพวกมันราวกับฝ่ามือของข้าเอง”
เฉินซีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถาม “เหตุใดเจ้าถึงบอกเรื่องทั้งหมดนี้กับข้า?”
ฉีอิ๋นหันกลับมาและชี้ออกไปนอกโรงเตี๊ยม ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด ผู้คนมากมายยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบงัน ซึ่งน่าตกใจนักที่มันต่างก็เป็นเหล่าวายร้ายที่หลบหนีจากโรงเตี๊ยมไปก่อนหน้านี้
“เพราะข้าไม่ได้ฆ่าพวกมัน เจ้าจึงอยากจะตอบแทนข้าอย่างนั้นหรือ?” เฉินซีดูเหมือนว่าได้เข้าใจอะไรบางอย่าง
ฉีอิ๋นกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “หากพวกมันตาย ก็จะไม่มีใครช่วยข้ารวบรวมวัสดุ และถ้าข้าไม่สามารถส่งมอบวัสดุที่เพียงพอ ข้าก็คงจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน”
เฉินซีกล่าวว่า “เจ้ากลัวการปิดล้อมของราชวงศ์ซ่งหรือ?”
ฉีอิ๋นไม่ได้กล่าวอะไรในเวลานี้และเพียงแค่พยักหน้า
“เอาล่ะ ข้าจะไว้ชีวิตพวกมัน แต่เจ้าต้องตอบคำถามสองสามข้อก่อน” เฉินซีชี้ไปที่เจ้าของโรงเตี๊ยมและเฉียวเซิง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบว่า “ไม่ว่าคำตอบของเจ้าจะจริงหรือเท็จ มันจะส่งผลต่อชะตากรรมของพวกมันโดยตรง”
ฉีอิ๋นไม่ลังเลที่จะตอบกลับเลยสักนิด “ตกลง”
เฉินซีเอ่ยถามออกไปโดยตรง “พวกมันมีกี่คน?”
‘พวกมัน’ ที่เฉินซีเอ่ยมานี้ย่อมหมายถึงมือสังหารของตำหนักตะวันดำ
ฉีอิ๋นกล่าวว่า “มือสังหารหนึ่งร้อยหกสิบสามคนและหัวหน้ามือสังหารที่มีฐานการบ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางอีกสามคน และพวกมันแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม มือสังหารกลุ่มแรกซุ่มอยู่ในป่าทมิฬรวมทั้งหมดห้าสิบสามคน พวกมันถูกนำโดยหัวหน้ามือสังหารขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง”
เฉินซียังคงถามคำถามของเขาต่อไป “หัวหน้ามือสังหาร? เจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นผู้ใด”
ฉีอิ๋นไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย และเขาตอบอย่างตรงไปตรงมา “อันดับที่เจ็ดสิบหกในเทียบอันดับมือสังหารขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแห่งตะวันดำ หัวหน้ามือสังหารกุหลาบโลหิต”
เฉินซีตกตะลึง จากนั้นเขาก็พยักหน้า
หลังจากที่เขาพบว่าตำหนักตะวันดำจะทำการซุ่มโจมตี เขาก็ได้ค้นหาข้อมูลมากมายที่เกี่ยวข้องกับตำหนักตะวันดำ จึงรู้ว่ามือสังหารที่รับใช้ตำหนักตะวันดำนั้นมีระบบลำดับชั้นที่เข้มงวด และอาจแบ่งคร่าว ๆ ได้ว่าเป็นมือสังหารระดับหัวหน้าและมือสังหารธรรมดา
โดยยึดตามฐานการบ่มเพาะที่แตกต่างกัน พวกมันถูกแบ่งออกเป็นมือสังหารขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง มือสังหารขอบเขตจุติ มือสังหารขอบเขตสถิตย์กายา มือสังหารขอบเขตเซียนปฐพี ทุกขอบเขตของการบ่มเพาะจะถูกแบ่งออกเป็นมือสังหารระดับหัวหน้าและมือสังหารธรรมดา
ตำหนักตะวันได้จัดสร้างเทียบอันดับโดยยึดความแข็งแกร่งของมือสังหาร อันได้แก่ เทียบอันดับมือสังหารขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแห่งตะวันดำ เทียบอันดับมือสังหารขอบเขตจุติแห่งตะวันดำ เทียบอันดับมือสังหารขอบเขตสถิตย์กายาแห่งตะวันดำ และอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม เทียบอันดับมือสังหารในแต่ละขอบเขตนั้น จะมีเพียงมือสังหารที่มีแข็งแกร่งที่สุด จึงจะสามารถติดหนึ่งในร้อยอันดับได้ ยิ่งไปกว่านั้น ในแง่ของความแข็งแกร่ง พวกมันยังทรงพลังยิ่งกว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตแกนทองคำหยินหยางชั้นนำบางคนในราชวงศ์ซ่งเสียด้วยซ้ำ
ซึ่งเมื่อหลายปีก่อน เฉินซีก็เคยได้ยินเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนโลกแห่งการบ่มเพาะของราชวงศ์ซ่งทั้งหมด
ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางที่ได้รับการกล่าวขานว่ามีความแข็งแกร่งพอที่จะติดอันดับหนึ่งในร้อยอันดับแรกของการชุมนุมดาวรุ่ง ได้เสียชีวิตอย่างอนาถด้วยน้ำมือของมือสังหารขอบเขตแกนทองคำหยินหยางของตำหนักตะวันดำ ในการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว ยิ่งกว่านั้น มือสังหารคนนั้นก็ไม่ได้ถูกจัดอันดับอยู่ในเทียบอันดับมือสังหารขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแห่งตะวันดำเลยด้วยซ้ำ!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง มือสังหารคนนั้นของตำหนักตะวันดำ เป็นเพียงแค่มือสังหารธรรมดาทั่วไปและฝีมือห่างไกลจากมือสังหารระดับหัวหน้าเป็นอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้ จึงสามารถจินตานการถึงความน่าสะพรึงกลัวของมือสังหารระดับหัวหน้า ที่มีฐานการบ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางของตำหนักตะวันดำได้อย่างชัดเจน และในโลกภายนอก ด้วยความแข็งแกร่งของพวกมันแต่ละคน ย่อมสามารถติดอันดับหนึ่งในร้อยของการชุมนุมดาวรุ่งได้อย่างแน่นอน!
แน่นอนว่าพวกมันส่วนใหญ่อาจมีอายุไม่เพียงพอหรือมากเกินที่จะเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่ง อย่างไรก็ตาม ด้วยกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ทำให้มีเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางที่มีอายุต่ำกว่าสามสิบปีเท่านั้นที่สามารถเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งได้
แต่ทั้งหมดนี้ไม่สามารถช่วยเฉินซีให้คลายกังวลได้ เพราะเขาได้ตระหนักเป็นอย่างดีว่ามือสังหารที่จะซุ่มโจมตีตน ย่อมไม่มีเงื่อนไขมากมายเหมือนเช่นการเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่ง
“มือสังหารธรรมดาห้าสิบสามคนและมือสังหารระดับหัวหน้าอีกหนึ่งคน ซึ่งอยู่ในอันดับที่เจ็ดสิบหกของเทียบอันดับมือสังหารขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแห่งตะวันดำ อีกทั้งยังเป็นเป็นเพียงหนึ่งในสามกลุ่มมือสังหาร… ไอ้เฒ่าบัดซบพวกนี้ได้ทุ่มเงินไปมากจริง ๆ มิฉะนั้น ตำหนักตะวันดำคงไม่ส่งมือสังหารจำนวนมากออกมา” เฉินซีรวบรวมความคิดของเขาอย่างรวดเร็ว และหลังจากที่รับรู้ถึงกำลังพลที่ตำหนักตะวันดำส่งออกมา เขาก็ไม่รู้สึกหนักใจสักเท่าใดนัก และร่องรอยของจิตวิญญาณต่อสู้ก็ลุกโชนอยู่ในแววตาของเขาแทน “ถ้าข้าสามารถรอดจากการรอบล้อมสังหารครานี้ได้ ข้าคงจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม…”
“พวกมันวางกำลังซุ่มโจมตีอย่างไร” เฉินซีถามอีกครั้ง
ฉีอิ๋นตอบอย่างเฉยเมยว่า “พวกมันทั้งหมดรวมตัวกันที่ช่องเขาในป่าทมิฬ พวกมันวางกับดักเป็นชั้น ๆ และกำลังรอให้เจ้าเดินเข้าไปหา”
“พวกมันไม่กระจายตัวออกไปหรือ?”
“พวกมันได้ศึกษาการต่อสู้ที่ผ่านมาของเจ้า โดยเฉพาะการต่อสู้ระหว่างเจ้ากับซือคงเหิน ผู้เป็นนายน้อยคนโตของตระกูลซือคงแห่งเมืองเฟิงเย่ และเหตุการณ์ที่เจ้าบดขยี้ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางทั้งสิบแปดคนด้วยตัวของเจ้าเอง พวกมันศึกษาเรื่องนี้อย่างละเอียดจนเข้าใจอย่างถ่องแท้และตระหนักได้ว่าการกระจายกำลังออกไปมีแต่จะสร้างโอกาสให้เจ้าใช้ประโยชน์จากมัน” เมื่อเขากล่าวถึงจุดนี้ ดวงตาของฉีอิ๋นก็ส่องประกายอันแปลกประหลาด ในขณะที่เขาจ้องมองไปยังเฉินซีราวกับประหลาดใจต่อความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งชายหนุ่มได้เปิดเผยในระหว่างการต่อสู้เหล่านี้ จากนั้นใบหน้าของเขาก็กลับคืนสู่ความปกติและอธิบายต่อไป
คำพูดที่ฉีอิ๋นได้กล่าวออกมาทั้งหมดนั้นได้อธิบายถึงทุกการกระทำของตำหนักตะวันดำอย่างไม่ต้องสงสัย เพื่อที่จะสังหารเฉินซี ตำหนักตะวันดำจึงได้รวบรวมข้อมูลโดยละเอียด เพื่อศึกษาพฤติกรรมที่ผ่านมาของเขาและวางแผนรับมืออย่างถี่ถ้วน ก่อนที่จะระดมกำลังเพื่อซุ่มโจมตี
“บางทีข้าควรเปลี่ยนพฤติกรรมของข้า…”
เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตระหนักถึงปัญหาได้ในทันใด จากนั้นจึงจ้องตาของฉีอิ๋นแล้วกล่าวว่า “ป่าทมิฬนั้นกว้างใหญ่ไพศาล เหตุใดพวกมันถึงมั่นใจว่าข้าจะเดินเข้าไปในจุดที่พวกมันซุ่มโจมตีอยู่”
ท่าทางของฉีอิ๋นยังคงเฉยเมยในขณะที่เขาตอบ “อย่างที่ข้าได้กล่าวไป พวกมันซุ่มโจมตีอยู่ที่ช่องเขาและถ้าเจ้าต้องการผ่านป่าทมิฬ เจ้าก็ต้องผ่านที่นั่น”
เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวพร้อมกับพยักหน้าว่า “คำตอบของเจ้าทำให้ข้าพึงพอใจยิ่งนัก ในวันพรุ่งนี้ จงพาข้าไปที่ป่าทมิฬช่วงรุ่งสาง แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้จะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น”
ฉีอิ๋นดูเหมือนจะตกตะลึงเล็กน้อยเพราะเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเฉินซีที่เร่งรีบจะเดินทางก่อนหน้านี้ จะตัดสินใจเลือกเดินทางในวันพรุ่งนี้แทน อย่างไรก็ตาม เขาก็ฟื้นจากอาการตกตะลึงได้อย่างรวดเร็วเพราะเขาไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องทั้งหมดนี้ ก่อนจะพยักหน้าตกลง
“เมื่อข้าเพิ่งมาถึงเมืองอีกาคลั่ง ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามีนิสัยเงียบขรึมและไม่ค่อยกล่าววาจา ดูเหมือนข่าวลือเช่นนั้นจะไม่เป็นความจริง” เฉินซีชำเลืองมองฉีอิ๋นก่อนจะหันหลังกลับเพื่อออกจากโรงเตี๊ยม และเขากำลังมองหาที่พักที่ปลอดภัยเพื่อใช้พักผ่อน
“นั่นหมายความว่าอย่างไร?” ฉีอิ๋นขมวดคิ้วขณะที่มองไปยังร่างของเฉินซีที่หายลับไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน จากนั้นเขาก็ยืนอยู่เงียบ ๆ ณ จุดนั้นเป็นเวลานาน