บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 331 ฝ่าวงล้อมที่แน่นหนา
บทที่ 331 ฝ่าวงล้อมที่แน่นหนา
บทที่ 331 ฝ่าวงล้อมที่แน่นหนา
ร่างที่สวมชุดดำทั้งสิบเก้าร่างมาถึงอย่างไร้สุ้มเสียงราวกับเป็นวิญญาณจากขุมนรก และดวงตาคู่หนึ่งที่ปรากฏบนใบหน้าซึ่งถูกปกคลุมด้วยผ้าสีดำนั้นเย็นยะเยือกจนดูไม่มีความรู้สึก
เมื่อเหล่าอาชญากรถูกจ้องมองด้วยสายตาเช่นนี้ หัวใจของพวกเขาก็สั่นสะท้านในทันใดและรู้สึกหนาวสั่นไปทั่วร่างกายโดยไม่มีเหตุผล ราวกับพวกเขาได้ตกลงไปในบ่อน้ำแข็งอันเยือกเย็น ความกลัวอันไร้ขอบเขตก็เกาะกุมไปทั่วร่างกายของพวกเขา
วายร้ายเหล่านี้มีประสบการณ์ในการฆ่าฟันอย่างโชกโชน และเพียงกวาดสายตาผ่านแค่แวบเดียว พวกเขาก็สามารถแยกแยะได้ในทันทีว่า เจตนาฆ่าที่แผ่ออกมาจากคนชุดดำทั้งสิบเก้าคนนั้นเยือกเย็นและหนาแน่นยิ่งกว่าเจตนาฆ่าของพวกเขามากกว่าสิบเท่า ซึ่งพวกมันดูเป็นดั่งปีศาจแห่งการเข่นฆ่าที่ก้าวเดินอยู่ท่ามกลางกองซากศพและทะเลเลือด!
คนในชุดดำที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำกลุ่มหรี่ลงเมื่อกวาดมองไปที่ศพของฉีอิ๋นบนพื้นดิน
มีหนึ่งในคนชุดดำคนหนึ่งได้พุ่งไปที่ข้างหน้าเพื่อตรวจสอบศพของฉีอิ๋นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวว่า “เขาเพิ่งถูกฆ่าตาย และช่วงเวลาที่เขาตายน่าจะไม่เกินเก้าลมหายใจที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าแผนการของเราจะล้มเหลวและเป้าหมายคงสังเกตเห็นพวกเราแล้ว มันจึงหลบหนีไป แต่คาดว่าคงยังไปได้ไม่ไกล”
ผู้นำชุดดำกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ไม่จำเป็นต้องไล่ล่า ครั้งนี้ท่านผู้บัญชาการได้แบ่งพวกเราทั้งห้าสิบสามคนออกเป็นสามกลุ่มเล็ก ๆ และเราจะเข้าปิดล้อมมันจากสามทิศทาง เว้นเสียแต่ว่าเจ้าเด็กคนนั้นจะหนีกลับไปที่เมืองอีกาคลั่ง ไม่เช่นนั้นมันจะถูกอีกสองกลุ่มซุ่มโจมตีและสังหารอย่างแน่นอน”
แต่แล้วคนเป็นผู้นำก็หยุดไปชั่วขณะ จากนั้นจึงเหลือบมองกลุ่มอาชญากรที่อยู่ตรงนั้นแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเย็นชาว่า “ฆ่าพวกมันทั้งหมด อย่าปล่อยให้รอดแม้แต่คนเดียว!”
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ทันทีที่ผู้นำคนนั้นกล่าวจบ คนชุดดำคนหนึ่งก็ลงมือทันที ปฏิกิริยาตอบสนองและการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของพวกเขาถึงขั้นทำให้เส้นผมของคนตั้งตรง ราวกับว่าพวกเขาเป็นเครื่องจักรสังหารที่พร้อมรับคำสั่งอยู่ตลอดเวลา เมื่อพวกเขาได้รับคำสั่ง คนเหล่านี้ก็ลงมือแบบไม่ต้องคิดเลย
ถัดมาเสียงร้องโหยหวนมากมายได้ดังก้องไปทั่วบริเวณป่าอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าความแข็งแกร่งของวายร้ายเหล่านี้จะไม่ต่ำต้อย แต่เมื่อเผชิญกับการโจมตีจากคนชุดดำเหล่านี้ พวกเขาก็ดูอ่อนแอเป็นอย่างมาก ในช่วงเวลาหนึ่งอึดใจที่ผ่านพ้นไปจะมีหนึ่งในนั้นที่จะต้องเสียชีวิต
การต่อสู้นี้เช่นนี้สามารถบรรยายได้ว่าเป็นการฆ่าล้างฝ่ายเดียว ไม่นานนักบริเวณโดยรอบก็เต็มไปด้วยเลือด
บนยอดต้นไม้ที่อยู่ใกล้เคียง ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง ในขณะที่จิตสัมผัสเทพของเขาได้แผ่กระจายออกไปผ่านเคล็ดวิชาคลื่นจิตสะท้อน ทำให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในการต่อสู้สะท้อนออกมาภายในจิตใจของเขาอย่างเต็มที่
เดิมที ก่อนที่เขาจะฆ่าฉีอิ๋น จิตสัมผัสเทพที่ทรงพลังยิ่งกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติของเขาก็ได้สังเกตเห็นถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมโดยรอบ ไม่เพียงแต่เขาจะเห็นคนชุดดำเหล่านี้เท่านั้น ทว่าเขายังเห็นคนชุดดำที่กำลังใกล้เข้ามาจากอีกสองทิศทางเสียด้วยซ้ำ
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเขาสังเกตเห็นแล้วว่า ตนเองกำลังตกอยู่ในวงล้อมศัตรูที่แน่นหนาจากทั้งสามทิศทาง และนี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่หลบหนี
แต่การปรากฏตัวของบรรดาคนชุดดำที่อยู่ตรงหน้าเขา ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่านี่เป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยม!
มือสังหารขอบเขตแกนทองคำหยินหยางของตำหนักตะวันดำเหล่านี้กำลังต่อสู้กับอาชญากรเหล่านั้น และนี่เป็นประโยชน์สำหรับเขาในการฝ่าวงล้อมที่แน่นหนานี้อย่างยิ่ง
และเขายังสังเกตเห็นได้อย่างเฉียบขาดว่า มือสังหารกลุ่มนี้มาจากทิศทางที่มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของป่าทมิฬ ตราบเท่าที่เขาหลุดออกจากวงล้อมและไปตามเส้นทางนี้ เขาอาจหลบหนีจากสถานการณ์ที่ถูกปิดล้อมอันเลวร้ายเช่นนี้ได้
แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้มากที่อาจจะมีอีกกลุ่มดักอยู่ แต่ตราบใดที่เขาสามารถฝ่าวงล้อมและหลบหนีจากสถานการณที่ถูกปิดล้อมในตอนนี้ไป โอกาสในการรอดชีวิตของเขาก็จะมากขึ้น
เมื่อตัดสินใจได้อย่างชัดเจนแล้ว เฉินซีก็เคลื่อนไหวในทันที เพราะหากเขายังคงชักช้าต่อไป ศัตรูที่มาจากอีกสองทิศทางก็จะมาถึง
การเข่นฆ่ายังคงดำเนินต่อไป ในขณะนี้ มีวายร้ายเพียงเจ็ดคนที่ยังคงยืนอยู่ได้ ร่างกายของพวกเขาเต็มไปด้วยเลือดและด้วยบาดแผลที่มากมายตามร่างกาย พวกเขาจะตายในอีกไม่ช้า
เฉินซีเคลื่อนไหวอย่างเงียบ ๆ ราวกับแมวเสือดาวที่เคลื่อนไหวในความมืด
เขาซุ่มอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่อย่างเงียบ ๆ และปลายนิ้วของเขาก็สั่นไหวด้วยแสงอันเฉียบคมของปราณแท้ การใช้พลังของยันต์ศัสตรานั้นมีความผันผวนมากเกินไป ซึ่งจะเปิดเผยร่องรอยของเขาได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่เขาสามารถควบคุมความผันผวนของปราณแท้ที่ปลายนิ้วของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกพบเข้า
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ในบรรดาวายร้ายทั้งเจ็ดคนที่ยังเหลืออยู่ หกคนได้ถูกสังหารในทันที และเหลือวายร้ายเพียงคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ แต่เขาก็ยังใช้โอกาสจากช่องว่างเล็กน้อยเช่นนี้เพื่อหลบหนีอย่างบ้าคลั่ง
“มู่เจี่ย ฆ่าเขาซะ ส่วนคนอื่น ๆ จงเก็บกวาดสนามรบและเตรียมตัวจากไป” ผู้นำของเหล่าคนชุดดำออกคำสั่งด้วยเสียงที่ไม่แยแส
“รับทราบ” คนชุดดำขานรับ ก่อนจะทะยานออกไปราวกับลูกธนูที่ยิงออกไปอย่างรุนแรง แล้วเขาก็เคลื่อนตัวเพื่อไล่ตามอาชญากรเหล่านั้น ในเวลาไม่นาน เขาก็ตามคนเหล่านั้นที่อยู่หลังต้นไม้ใหญ่ที่หนาทึบทัน
หลังจากได้เห็นฉากนี้และรู้ว่าอาชญากรเหล่านั้นจะต้องตายแน่นอน ผู้นำของคนชุดดำก็หันไปมองศพของฉีอิ๋นที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจหลังจากกวาดสายตามองอย่างละเอียด “ช่างน่าเสียดายธนูทลายดาราชิ้นนั้น มันเป็นสมบัติจ้าววิญญาณที่มีมูลค่ามหาศาลอย่างน่าตกตะลึง”
ทันใดนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน!
ที่ด้านข้างของต้นไม้ใหญ่ซึ่งอยู่ห่างออกไปหนึ่งร้อยยี่สิบจั้ง หลังจากที่คนชุดดำลงมือสังหารอาชญากรคนสุดท้าย ร่างของคนชุดดำที่ถูกเรียกว่ามู่เจี่ยก็แข็งค้าง และเขายืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด
“มู่เจี่ย เกิดอะไรขึ้น?” หนึ่งในคนชุดดำถามด้วยความสงสัย การเคลื่อนไหวของมู่เจี่ยนั้นว่องไวเสมอและเขาไม่เคยชักช้า หรือว่ามีศัตรูอยู่หลังต้นไม้นั้น?
สายตาของทุกคนอดไม่ได้ที่จะเหลียวมอง
“ระวัง!” ทันใดนั้นดวงตาของผู้นำก็เบิกกว้าง
จู่ ๆ ร่างหนึ่งก็ทะยานออกมาจากด้านหลังของมู่เจี่ยราวกับสายฟ้า เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันนี้ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำให้ปฏิกิริยาของทุกคนมีช่องโหว่สั้น ๆ ปรากฏขึ้น และช่องโหว่ที่ปรากฏขึ้นนี้ไม่ถึงเสี้ยวพริบตาเสียด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม ในเสี้ยวพริบตานี้ก็ทำให้เฉินซีได้รับโอกาสอันยอดเยี่ยม
ทั้งร่างของเขาเหมือนพยัคฆ์ที่สะสมพละกำลังขณะเฝ้ารอการโจมตี และทันใดนั้นเขาก็ระเบิดพละกำลังทั้งหมดออกมา ปีกคู่หนึ่งปรากฏขึ้นบนแผ่นหลังของเขา และในพริบตาต่อมา เขาก็ทะยานออกไปราวกับลำแสงที่พุ่งผ่านท้องฟ้า
นับตั้งแต่เขาบ่มเพาะปีกนภาดารกะมาจนถึงบัดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้พลังอย่างเต็มที่ ความเร็วของมันรวดเร็วปานสายฟ้า ทำให้ทิวทัศน์เบื้องหน้าของเขาบิดเบี้ยวราวกับภาพลวงตา
ขณะเดียวกันนั้น ดวงตาของเฉินซีได้เล็งเข้าที่จุดตายของศัตรูที่กำลังขวางทางเขาอยู่ซึ่งก็คือที่ลำคอ!
เฉินซีเหวี่ยงมือขวาส่งประกายแสงที่คมเหมือนใบมีดของปราณแท้ผ่านลำคอของศัตรูอย่างนุ่มนวลและรวดเร็ว หลังจากนั้น เขาก็ไม่ชักช้าเลยแม้แต่น้อย ร่างของเขากระโจนเข้าหาศัตรูอีกคนหนึ่ง
หากเขาต้องการฝ่าวงล้อม เขาต้องฆ่าศัตรูสามคนที่ขวางทางเขาก่อน ในตอนนี้เขาฆ่าพวกมันไปสองคนแล้ว และเขาแค่ต้องจัดการกับศัตรูคนสุดท้ายก่อนที่จะสามารถบรรลุเป้าหมายได้
ฟิ้ว!
เสียงที่แผ่วเบาแว่วออกมา เมื่อร่างของเฉินซีพุ่งเข้าหาศัตรูคนสุดท้าย อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้มีคลื่นพลังที่ผันผวนอย่างรุนแรงมาจากทางด้านหลังของเขา และความรู้สึกถึงอันตรายก็เกิดขึ้นในใจของเฉินซีทันที
ทว่าเฉินซีไม่ได้เปลี่ยนการเคลื่อนไหวของเขา ดวงตาของชายหนุ่มยังคงนิ่งสงบขณะที่เขากระโจนลงบนพื้นเพื่อตีลังกาไปทางด้านหลังของศัตรูชุดดำคนสุดท้าย จากนั้นเฉินซีก็ฟาดฝ่ามือลงบนคอของมัน ก่อนที่จะเหวี่ยงศพของเหยื่อผู้นี้ไปที่ด้านหลังของเขา
ปุ! ปุ! ปุ!
ลำแสงที่คมกริบได้ฉีกผ่านท้องฟ้าพุ่งเข้าหาเฉินซีอย่างดุเดือด และพวกมันก็ทะลวงศพที่ลอยคว้างอยู่จนพรุนและในชั่วพริบตา ชิ้นส่วนของศพก็สาดกระจายไปทั่วท้องฟ้าและมีกลิ่นเลือดโชยมาเตะจมูกของทุกคนที่อยู่รอบ ๆ
เฉินซีไม่มีเวลาดูว่าใครโจมตีเขาจากทางด้านหลัง เขาฉวยโอกาสนี้เพื่อใช้ปีกนภาดารกะอย่างเต็มกำลังและหายตัวเข้าไปในป่าลึกทันที จากนั้นก็ไม่มีผู้ใดเห็นร่องรอยของเขาอีกต่อไป
คนที่โจมตีเขาก่อนหน้านี้คือผู้นำของกลุ่มคนชุดดำ พลังของเขาแข็งแกร่งที่สุดและมีประสบการณ์อย่างโชกโชน เมื่อเขาเห็นมู่เจี่ยยืนตัวแข็งอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ เขาก็ตระหนักได้ว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น
แต่สิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนก็คือเป้าหมายนั้นแข็งแกร่งอย่างแท้จริง!
การลงมือที่ไหลลื่นอย่างรวดเร็วนี้อาจกล่าวได้ว่าเร็วจนสายตาของเขาแทบจะมองไม่ทัน และมันทำให้เขาตกตะลึงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ร่างของเป้าหมายนั้นเหมือนกับภูตผี และวิธีการสังหารของมันก็ว่องไวและไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวด้วยความเยียบเย็น เพราะนับตั้งแต่ที่เขาได้ปฏิบัติภารกิจมา นี่เป็นครั้งแรกที่เป้าหมายของเขาสามารถหลุดรอดจากวงล้อมไปได้!
ในขณะเดียวกัน คนชุดดำคนอื่น ๆ ก็มีปฏิกิริยาเช่นเดียวกัน สีหน้าของพวกเขาต่างก็เปลี่ยนไปอย่างน่ากลัว และร่างกายของพวกเขาก็แข็งทื่อ เนื่องจากทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้เกิดขึ้นภายในชั่วอึดใจเดียว และในช่วงลมหายใจนี้ เป้าหมายของเขาไม่เพียงแต่ฝ่าออกจากวงล้อม แต่กลับหายไปอย่างไร้รอย
คนทั้งหมดต่างมองไปยังทิศทางที่เฉินซีได้หายตัวไปด้วยสีหน้าซีดเซียวและพวกเขาก็นิ่งเงียบโดยพร้อมเพรียงกัน
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ผู้นำก็กลับมามีสติอีกครั้งและน้ำเสียงของเขาก็เย็นยะเยือกราวกับลอดออกมาจากรอยแยกระหว่างฟันที่กระทบกัน “จงกระจายข่าวเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ในทันที หากพวกเราจับเจ้าหมอนี่ไม่ได้ พวกเราทุกคนจะประสบกับหายนะ! เพราะท้ายที่สุด ตำหนักตะวันดำของเราอนุญาตให้ทำภารกิจสำเร็จและห้ามล้มเหลวเท่านั้น!”
“ไม่จำเป็น พวกเรามาถึงแล้ว” ในขณะนี้ เสียงที่แหบแห้งและไม่พอใจก็ดังก้องออกมา จากนั้นคนชุดดำกว่าสิบคนก็ปรากฏขึ้นจากทางทิศใต้
และในเวลาเดียวกันนี้ คนชุดดำอีกสิบคนก็ปรากฏขึ้นจากทางเหนือเช่นเดียวกัน พวกมันทะยานเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว แต่ว่าพวกมันแตกต่างกับคนชุดดำอีกสองกลุ่ม ตรงกลางของคนชุดดำกลุ่มนี้คือ หญิงสาวผู้งดงามจนไม่มีใครเทียบได้ นางมีผมสีดำพลิ้วไสวซึ่งอยู่ในชุดสีแดงเลือด และท่าทางของนางก็เย็นชาสุดขั้ว
ท่ามกลางกลุ่มคนชุดดำที่สวมผ้าสีดำปิดหน้า ผู้หญิงคนนี้ดูโดดเด่นเป็นอย่างมากโดยไม่ต้องสงสัย นางเป็นมือสังหารระดับผู้บัญชาการขอบเขตแกนทองคำหยินหยางของตำหนักตะวันดำ มือสังหารที่อยู่ในอันดับที่เจ็ดสิบหกในเทียบอันดับมือสังหารขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแห่งตำหนักตะวันดำ ผู้บัญชาการกุหลาบ!
ทันทีที่นางปรากฏตัว สีหน้าของเหล่าคนชุดดำล้วนเปลี่ยนเป็นหวาดกลัว พร้อมกับก้มศีรษะลงและโค้งคำนับเพื่อแสดงความเคารพ
เคร้ง! เคร้ง!
กุหลาบก้าวเดินไปที่ศพทั้งสองและกวาดสายตามองพวกเขาครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้น จากนั้นนางก็ยื่นมืออันขาวผ่องของนางออกไป เพื่อปล่อยเปลวเพลิงที่ลุกโชนใส่ศพทั้งสอง จนศพเหล่านั้นมอดไหม้กลายเป็นความว่างเปล่าในทันที แต่สิ่งที่น่าตกใจก็คือบนข้อมือขวาที่ขาวราวกับหิมะของนางถูกสวมด้วยโซ่สีแดงเลือดที่มีความหนาเท่านิ้วหัวแม่มือ ซึ่งเปล่งเสียงกระทบที่กระจ่างอย่างไพเราะและน่าฟังเมื่อนางเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้
“ไม่เพียงแค่มันสามารถพบร่องรอยของเราได้เท่านั้น แต่มันกลับสามารถคว้าโอกาสจากช่วงลมหายใจสั้น ๆ เพื่อฝ่าวงล้อมที่แน่นหนา ก่อนจะถูกปิดล้อมอย่างสมบูรณ์ คนผู้นี้เป็นศัตรูที่ทรงพลังอย่างแน่นอน” กุหลาบกล่าวอย่างเฉยเมยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกที่ไม่มีเศษเสี้ยวของอารมณ์ จากนั้นนางก็โบกมือพร้อมกับกล่าวว่า “ไปกันเถอะ! ใช้ยันต์เคลื่อนเอกภพซะ เพื่อไปรวมตัวกับผู้บัญชาการจิ้งจอกแดง”
พร้อมกับการโบกมือของนาง โซ่สีแดงเลือดบนข้อมือของนางก็เปล่งเสียงที่กระจ่างอย่างไพเราะและน่าฟังออกมาอีกครั้ง ขณะที่ดังก้องอยู่ในป่ามืดครึ้มแห่งนี้ มันยังแฝงไปด้วยร่องรอยของกลิ่นอายเย็นยะเยือกที่ทำให้ใจต้องสั่นไหว