บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 345 ความทะนงตนอย่างคนอาวุโส
บทที่ 345 ความทะนงตนอย่างคนอาวุโส
บทที่ 345 ความทะนงตนอย่างคนอาวุโส
การตายของกลุ่มโจรแร้งพเนจรไม่ได้เป็นที่สนใจของผู้คนในปราการเดียวดายอีกต่อไป หลังจากเคลื่อนย้ายซากศพของกลุ่มโจรออกไป ตามด้วยการชะคราบโลหิตที่พื้นจนสะอาดสะอ้าน มันก็นำมาซึ่งบรรยากาศคึกคัก อึกทึกครึกโครมและเสียงที่ดังจอแจกลับคืนมาอีกครั้ง
สถานที่อย่างปราการเดียวดายมักเต็มไปด้วยความวุ่นวายเพราะมีทั้งผู้บ่มเพาะที่ดีและร้ายกาจปะปนกันอยู่ที่นี่ จึงมักเกิดเหตุนองเลือดไม่เว้นแต่ละวัน วันนี้กลุ่มโจรแร้งพเนจรถูกกำจัดและพรุ่งนี้อาจมีโจรเร่ร่อนกลุ่มใหม่มาปรากฏตัวขึ้นก็เป็นได้
โดยสรุปแล้วมันเป็นสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยอันตราย เลือด การเข่นฆ่า และความวุ่นวาย รวมทั้งเหตุความขัดแย้งและการแก้แค้นมีให้เห็นบ่อยครั้ง ดังนั้นผู้คนที่มีชีวิตอยู่ด้วยการผจญภัยไปในป่าอาถรรพ์มานานจึงคุ้นชินกับสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น
แม้ว่าบรรยากาศรอบด้านจะคึกคักเพียงใด แต่พวกเขาก็ไม่กล้าส่งเสียงเอ็ดตะโรหรือไม่กระทั่งเหลียวไปดูที่มุมห้องโถงตรง ๆ ด้วยซ้ำ เนื่องจากก่อนหน้านี้เฉินซีเพิ่งจะสังหารโจรทั้งกลุ่มด้วยตัวเอง และขณะนี้เขากำลังนั่งอยู่เบื้องหน้าโต๊ะเก่าคร่ำคร่าตัวหนึ่งโดยมีอวิ๋นน่านั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามด้วยท่าทางเย้ายวน
ความเย็นยะเยือกและไร้ความรู้สึกอย่างร้ายกาจที่เกิดขึ้นเป็นข้องเท็จจริงที่พิสูจน์ให้เห็นถึงพลังที่แกร่งกล้าของชายคนนี้ ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าดูหมิ่นหรือเหยียดหยามเขาเลยแม้แต่น้อย
ถึงแม้ปราการเดียวดายจะไม่ได้มีใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง แต่ที่นี่ก็มีพวกพ่อค้าวาณิชแวะเวียนมาประจำการไม่ขาดสาย คนเหล่านี้ถูกเรียกขานว่านายหน้า พวกเขามิใช่แค่จำหน่ายสุรา โอสถวิญญาณ สมุนไพรจิตวิญญาณและสินค้าทั่วไปที่จำเป็นสำหรับผู้บ่มเพาะหรือใช้เพื่อการผ่อนคลายเท่านั้น พวกเขายังขายข้อมูลและรับจ้างทำธุระเบ็ดเตล็ดด้วย จึงทำให้พวกเขากลายเป็นที่นิยมอย่างมาก
ด้วยสาเหตุนี้เอง จึงทำให้นายหน้าเหล่านี้ที่แม้จะไม่ได้มีพลังแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคแก่พวกเขาแต่อย่างใด
ร่างไร้วิญญาณของเหล่าโจรจากกลุ่มโจรแร้งพเนจรและคราบเลือดบนพื้นได้ถูกเคลื่อนย้ายและชำระล้างเสร็จสิ้นโดยฝีมือของนายหน้าหนุ่มที่อวิ๋นน่าเรียกมาและรับโอสถกลั่นแรกเริ่มจำนวนร้อยเม็ดเป็นค่าจ้าง
คนหนุ่มผู้นี้มีชื่อว่าซานหย่ง เขามีรูปร่างผอมบางและมีพลังอ่อนแอ ทว่ามีแววตาฉลาดเฉลียว ผู้ใดมองแวบเดียวก็แยกแยะได้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้ฉลาดหลักแหลมและมีไหวพริบ อาจกล่าวได้ว่าการเลือกเป็นนายหน้าของเขานั้นเสมือนปลาได้น้ำไม่ผิดเพี้ยน
เวลานี้ซานหย่งกำลังนั่งหน้าขรึมเพื่อแสดงความเคารพต่ออีกฝ่าย ท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนและแสดงสีหน้าว่ากำลังฟังอย่างตั้งใจ
คนที่เหลือบไปเห็นเข้าเป็นต้องตาโตอ้าปากค้างกันเป็นแถว คนส่วนใหญ่ที่รู้จักคนหนุ่มซานหย่งจะรู้ว่าเขาเป็นคนที่ไม่เอาการเอางานและออกจะเกียจคร้าน แต่ตอนนี้เห็นเขานั่งหน้าขรึมสีหน้าจริงจัง ดังนั้นจะไม่ให้พวกเขาแปลกใจได้อย่างไร?
แต่แล้วทุกคนก็เข้าใจ เมื่อเผชิญหน้ากับคนที่เพิ่งจะคร่าชีวิตคนไปสามสิบชีวิต เป็นผู้ใดก็ต้องระมัดระวังอย่างเต็มที่ จริงหรือไม่?
“แสดงว่าถ้าข้าต้องการขึ้นไปอยู่ที่ชั้นบน ความแข็งแกร่งของข้าก็ต้องสอดคล้องกันด้วยสินะ” เฉินซีถามคนที่อยู่ตรงข้าม ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มได้แสดงความจำนงที่จะขึ้นไปยังชั้นบน หากแต่ถูกอวิ๋นน่ายับยั้งเอาไว้ โดยนางได้บอกกับเขาว่าจะต้องมีพลังที่แข็งแกร่งในระดับหนึ่ง มิฉะนั้นจะถูกขับไล่ทันที และบางกรณีที่ร้ายแรงอาจถึงขั้นถูกฆ่าตายเสียด้วยซ้ำ!
การที่คนจะได้เข้าไปใช้ห้องต้องอาศัยพละกำลัง ประเด็นนี้ได้สร้างความประหลาดใจแก่เขาเป็นอย่างมาก และเพื่อให้คลายความสงสัย ชายหนุ่มจึงได้ตัดสินใจว่าจะหาทางแก้ไขสถานการณ์ก่อนที่จะทำอะไรต่อไป ทว่าสิ่งที่เขาได้รู้จากอวิ๋นน่าก็เป็นแค่เพียงแค่เรื่องผิวเผินเท่านั้น ในเมื่อเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร จึงทำได้เพียงตามตัวคนที่เป็นนายหน้ามาสอบถามให้รู้เรื่อง และเจ้าหนุ่มน้อยซานหย่งก็คือนายหน้าคนนั้น
ในขณะที่กำลังพูดคุยกัน เฉินซีได้กวาดสายตาไปรอบข้างและพบว่าปราการเดียวดายมีบริเวณกว้างขวางมาก แค่โถงแห่งนี้ห้องเดียวก็สามารถรองรับผู้คนได้นับพันชีวิต เมื่อลองเงยหน้าขึ้นมองจากจุดที่กำลังนั่งอยู่นั้น มันก็เผยให้เห็นว่าปราการเดียวดายมีการแบ่งเป็นชั้นที่สอง สาม และสี่ ซึ่งยิ่งชั้นสูงขึ้นจำนวนห้องในแต่ละชั้นจะยิ่งน้อยลงตามลำดับ ยกตัวอย่างเช่น ชั้นแรกมีเกือบพันห้อง แต่ชั้นสี่กลับมีจำนวนห้องไม่เกินสามสิบห้องเท่านั้น
“ถูกแล้วขอรับ ห้องของที่นี่จะกระจายกันไป ส่วนใครจะได้ครอบครองนั้นก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของเจ้าตัว” ซานหย่งรีบตอบรับเสียงเร็วด้วยความสุภาพเรียบร้อย “ผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งต่ำที่สุดจะได้อยู่ในชั้นที่หนึ่งเท่านั้น โดยส่วนมากมักเป็นผู้บ่มเพาะในขอบเขตแกนทองคำหยินหยางทั่วไปซึ่งขาดความแข็งแกร่งและอ่อนด้อยเกินไป ขณะที่ชั้นสองเป็นที่พำนักของผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบ ชั้นสามเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติ ส่วนชั้นที่สี่เป็นของยอดฝีมือในขอบเขตสถิตกายาขอรับ”
เสียงคนพูดหยุดคิดนิดหนึ่งก่อนที่จะเอ่ยต่อมา “ที่ปราการเดียวดายส่วนใหญ่มีแต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ข้าไม่ค่อยเห็นผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติมากนัก ส่วนยอดฝีมือในขอบเขตสถิตกายานั้นกลับพบเห็นได้ยากกว่า และเกือบสามปีมาแล้วที่ข้าไม่ได้เห็นยอดฝีมือในขอบเขตสถิตกายามาปรากฏที่นี่เลยแม้แต่คนเดียว ถ้ารวมกับผู้บ่มเพาะที่มุ่งหน้าไปผจญภัยในป่าเพื่อค้นหาสมบัติล้ำค่าในแต่ละวันแล้ว ทำให้ยังมีห้องว่างอีกเยอะเลยขอรับ”
เมื่อได้ฟังคำพูดยืดยาวของอีกฝ่าย เฉินซีก็เผลอส่ายหน้าไปมา มีอะไรน่าสนใจกว่าการจมอยู่กับที่ใดที่หนึ่ง ผู้คนที่นี่คงไม่รู้จะทำอะไรกันแล้วจริง ๆ
ดูเหมือนซานหย่งจะเดาความคิดของเฉินซีได้ จึงรีบพูดต่ออย่างรวดเร็ว “ลูกค้าขอรับ ท่านอาจจะยังไม่รู้ข้อมูลเชิงลึกบางอย่างเกี่ยวกับห้องต่าง ๆ ในปราการเดียวดาย ตอนที่มีการก่อสร้างที่นี่ช่วงแรก ภายในห้องของแต่ละชั้นจะมีรูปแบบที่ไม่เหมือนกันนะขอรับ”
“อย่างห้องบนชั้นสองจะมีเตียงที่ทำจากหยกซึ่งให้ผลลัพธ์อย่างน่าอัศจรรย์ เนื่องจากมันได้เชื่อมต่อกับแกนกลางของโลกจึงสามารถดึงพลังปราณจากแกนโลกออกมานิดหน่อย ทว่ามันก็เป็นพลังที่ให้ประโยชน์แก่การฝึกบ่มเพาะของคนเราอย่างมหาศาล”
“ส่วนห้องบนชั้นที่สามไม่เพียงสามารถดึงพลังปราณจากแกนโลกได้เท่านั้น แต่ยังมีห้องแยกส่วนตัวใช้ในการกลั่นยาเม็ด ห้องขัดเกลาอาวุธ และห้องที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นอีกมากมายขอรับ”
“ส่วนห้องบนชั้นสี่ก็ไม่ใช่ธรรมดา สันนิษฐานว่าหากผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาบ่มเพาะในห้องนี้ ก็จะได้รับประโยชน์อย่างมากมายซึ่งเทียบได้กับการบ่มเพาะในพื้นที่ซึ่งค่อนข้างอุดมสมบูรณ์เลยทีเดียว”
เมื่อได้ยินมาถึงตรงนี้ เฉินซีก็รู้สึกว่ามันน่าสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว จึงเอ่ยถามด้วยความสนใจ “แล้วคนที่สนใจจะเข้าพักในห้องนี้ต้องทำอย่างไร”
เจ้าหนุ่มซานหย่งยิ้มประจบประแจงก่อนตอบ “ความแข็งแกร่งอย่างท่านสามารถขึ้นไปใช้ห้องบนชั้นสองได้ทุกห้องได้เลยขอรับ และเชื่อเถิดว่าถ้ามีพวกที่พลังยังไม่แข็งพอบุกขึ้นไปบนชั้นสอง ส่วนมากจะถูกไล่ออกมาหรือไม่บางครั้งก็ถูกฆ่าตาย ฉะนั้นสถานการณ์เช่นนี้รับรองไม่มีใครกล้าแอบเข้าไปแน่”
ตุ้บ!
เสียงคนพูดยังไม่ทันจบ จู่ ๆ ก็มีร่างของใครคนหนึ่งถูกโยนลงมาจากชั้นสอง เจ้าคนนั้นตกลงมาอย่างแรงจนฟุบอยู่บนพื้น โลหิตเต็มจมูกและใบหน้าช้ำบวมเป่ง ซ้ำยังกระอักเลือดพรวดใหญ่
“ไอ้สวะ! กระจอกงอกง่อยอย่างเจ้ากล้าเสนอหน้าขึ้นมาบนชั้นสองกับพวกเราอยย่างนั้นหรือ คนอย่างเจ้ามันช่างน่าเบื่อจริง ๆ” ด้านหนึ่งของราวบันไดชั้นสอง ชายหนุ่มสวมผ้าคลุมสีดำยืนกอดอกมองอย่างเย็นชา พลางคำรามด้วยน้ำเสียงกร้าวเจือดูถูกเหยียดหยาม
“อ้าว เศษสวะที่ชอบทำอะไรเกินตัวมาโผล่ที่นี่อีกคนแล้ว” ท่ามกลางสายตาเหยียดหยามที่จ้องมองเป็นตาเดียวของผู้คนในห้องโถง เจ้าคนที่นอนซบอยู่บนพื้นพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นพลางกุมศีรษะมุดหน้ารีบเร่งหนีไปอย่างสิ้นท่า
“ขอใจมาก” เฉินซีละสายตาจากเหตุการณ์ และหยิบโอสถกลั่นแรกเริ่มจำนวนพันเม็ดส่งให้ซานหย่งกับมือ
“ท่านลูกค้าช่างเป็นคนใจกว้างเหลือเกิน หากอยากรู้อะไรอีก เรียกข้ามาถามได้ทันที อย่าได้ลังเลเลยขอรับ” ซานหย่งฉีกยิ้มกว้างจนถึงใบหู การได้รับค่าตอบแทนจากคนโหดเหี้ยมผู้นี้นับว่าเกินความคาดหมายของเขาไม่น้อย ดังนั้นเจ้าตัวจึงรีบกล่าวขอบคุณก่อนจะหายวับไป
ชายหนุ่มคิดว่าได้รู้ทุกเรื่องที่ควรรู้แล้ว ดังนั้นเฉินซีจึงจัดการหาซื้อเสื้อผ้าใหม่สองสามชุดที่มีคนนำมาขาย และตั้งใจพักผ่อนหลังจากอาบน้ำอาบท่าก่อนจะออกเดินทางไปต่อ
“ผู้อาวุโส ท่านตั้งใจจะอยู่ชั้นใดเจ้าคะ” เสียงอวิ๋นน่าเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“ข้าขอขึ้นไปดูก่อน” เฉินซีตอบหลังจากครุ่นคิดชั่วครู่ ในความคิดของเขา เขาเชื่อว่าห้องบนชั้นสามน่าจะสะดวกสบายที่สุด เพราะชั้นสามเป็นชั้นที่มีห้องขัดเกลาอาวุธและเขาอยากใช้โอกาสนี้ขัดเกลายันต์ศัสตราของตนเองอีกสักครั้ง คงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการที่ได้เพิ่มพลังยันต์แผ่นนั้นขึ้นมาได้อีกระดับหนึ่ง
อวิ๋นน่าพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมกับพูดว่า “จากศักยภาพด้านพลังของท่านสามารถอยู่ที่ชั้นสองได้แน่นอน”
คนฟังได้แต่ยิ้มน้อย ๆ โดยไม่ได้กล่าวอะไรอีก ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อไปพูดถึงเรื่องอื่นแทน “เออนี่ ข้าได้ยินว่าอีกไม่กี่วันเจ้ากำลังจะไปที่นครอสนีบาตใช่หรือไม่? พอดีข้าไม่รู้จักเส้นทาง ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ พวกเราไปพร้อมกันเถอะ เดี๋ยวข้าจะจ่ายค่าจ้างให้เอง”
หญิงสาวรีบตอบรับทันที ด้วยก่อนหน้านี้เฉินซีได้ช่วยกำจัดโจรสามสิบคนเพื่อนาง ฉะนั้นนางจะกล้าปฏิเสธคำขอเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร?
ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์บางคนสังเกตเห็นเฉินซี ขณะที่เขาเดินไปตามทางเดินบนชั้นสอง หากแต่มันก็เป็นการมองดูเฉย ๆ ไม่ได้ส่อเจตนาที่ไม่ดีแต่อย่างใด เพราะคนส่วนใหญ่ได้เห็นภาพที่เฉินซีจัดการกลุ่มโจรแร้งพเนจรทั้งกลุ่ม พวกเขาจึงยอมรับโดยดุษฎีว่าชายหนุ่มมีพลังมากพอที่จะมาอยู่ร่วมชั้นเดียวกัน
แต่แล้วหลายคนต้องประหลาดใจเมื่อชายหนุ่มไม่ได้หยุดที่ชั้นสอง แต่กลับเดินตรงไปบนชั้นสาม
“เฮ้ย! ข้าไม่ได้ตาฝาดใช่หรือไม่ เจ้านั่นมันเดินขึ้นชั้นสามไปแล้วจริง ๆ หรือ?”
“เขากล้ามาก! ชั้นสามมีแต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติกับผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางที่เก่งกาจยิ่งพำนักอยู่ทั้งนั้น อย่างมันแค่โผล่หัวเข้าไปมีหวังถูกฆ่าตายทันทีเป็นแน่!”
“หรือเจ้าหนุ่มนั่นจะคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติมากพอที่จะท้าทายผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติเพียงเพราะสามารถกำจัดพวกฝูงแร้งพเนจรกลุ่มนั้นได้?”
“เห็นได้ชัดเลยว่าเขาคงจะเพิ่งมาที่ปราการเดียวดายเป็นครั้งแรก คิดว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติพวกนั้นไร้ฝีมือสินะ ฮึ่ม! ทำให้มันได้รู้รสเสียบ้างก็ดี ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้จักประมาณตัวเอง”
อย่าว่าแต่ผู้บ่มเพาะบนชั้นสองบางคน แม้แต่คนบนชั้นที่หนึ่งเองก็ยังตกตะลึงเช่นกันที่เห็นเฉินซีทำเช่นนั้น พวกเขาไม่อาจเข้าใจได้ว่าเหตุใดชายที่เยือกเย็นผู้นี้จึงคิดทำเรื่องที่ดูจะเสียสติถึงเพียงนี้…
ดวงตากลมดำขลับของอวิ๋นน่าเบิกโตพร้อมกับริมฝีปากอวบอิ่มสีออกชมพูระเรื่อปานกลีบกุหลาบของนางเผยอน้อย ๆ นางยกมือเรียวขาวเนียนขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ ‘เขา… เหตุใดเขาจึงวู่วามเช่นนี้? เขาไม่กลัวว่าจะทำให้ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติไม่พอใจและตัวเองจะต้องถูกฆ่าตายเลยเชียวหรือ?!’
อวิ๋นน่าออกจะงงงันเล็กน้อย จากนั้นกลับมาคิดอย่างปลอบใจตัวเองและหายใจเข้าลึก ๆ
ชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่คนประเภทใจร้อนทำอะไรหุนหันพลันแล่น บางทีเขาอาจมีความมั่นใจอะไรบางอย่าง ใช่แล้ว! ต้องเป็นอย่างนั้นแน่…!!!
เฉินซีพลันก้าวขึ้นไปที่ชั้นสามอย่างรวดเร็ว
และอย่างที่ซานหย่งได้บอกไว้ ปากประตูห้องพำนักมียันต์อักขระกระจายอยู่เพื่อกำหนดขอบเขต ด้วยแสงที่เรืองรองส่องประกายจึงทำให้สังเกตเห็นและจดจำได้โดยง่าย ส่วนประตูที่ไม่มียันต์ปรากฏขึ้นก็แสดงว่าห้องพำนักนั้นยังว่างอยู่และยังไม่มีใครเข้ามาจับจอง
เฉินซีกวาดสายตามองรอบ ๆ เมื่อพบห้องพำนักที่ว่าง ชายหนุ่มจึงเดินตรงไปอย่างรวดเร็ว
ระหว่างนั้นเขาก็พบว่าไม่มียอดฝีมือในขอบเขตจุติปรากฏตัวสักคนเดียวทำให้เฉินซีออกจะโล่งใจ ลองคิดดูสิว่าถ้าจะมียอดฝีมือในขอบเขตจุติสักคนอยู่ว่าง ๆ ไม่รู้จะทำอะไร จึงมักออกมาหาเรื่องหรือไม่ก็กลั่นแกล้งคนที่อ่อนแอกว่าอยู่เป็นนิจจะเป็นอย่างไร?
ถึงกระนั้น อะไรก็เกิดขึ้นได้!
เมื่อเฉินซีเดินมาหยุดที่หน้าประตูบานหนึ่ง และกำลังตั้งท่าจะเดินเข้าไปนั่นเอง ฉับพลันนั้นก็มีชายชรารูปร่างผอมกะหร่องก้าวพรวดสวนออกมาจากด้านในทันที แววตาเย็นชาพาดผ่านดวงตายาวรีที่จ้องเขม็งมายังชายหนุ่มเผยให้เห็นความไม่เป็นมิตร
เฉินซีชะงักไป เหตุใดจึงมีคนอยู่ในห้องพำนักที่ยังว่าง? หรือว่าตาแก่คนนี้ฝึกฝนโดยที่ไม่ปิดประตูลงกลอนหรือ แต่ถึงอย่างไรแสดงว่าห้องพำนักนี้ถูกจับจองเสียแล้ว เขาคงทำได้อย่างเดียวคือหันหลังกลับไปหาที่อื่นต่อไป
“หยุดนะ! ใครอนุญาตให้เจ้าขึ้นมาบนนี้” ทว่าถึงเฉินซีต้องการจะจากไป แต่ดูเหมือนชายชราผู้มีรูปร่างผอมกะหร่องจะไม่ยอมปล่อยเขาไปง่าย ๆ พลางจ้องมองด้วยสายตาตำหนิมายังชายหนุ่มแปลกหน้าขณะส่งเสียงตะคอกตามหลัง
เฉินซีหันขวับ หัวคิ้วขมวดมุ่น “ข้าต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าก่อนที่จะขึ้นมาบนนี้อย่างนั้นหรือ?”
ชายชราคนนั้นระเบิดเสียงดังลั่นอย่างโกรธจัด “ไอ้เด็กน้อย น้ำหน้าอย่างเจ้ากับขอบเขตพลังที่มี คิดว่ามีคุณสมบัติพอที่จะเข้ามาครอบครองห้องบนชั้นสามแล้วใช่หรือไม่? ทั้งยังมีหน้ามาพูดจาอวดดีต่อหน้าข้าอีก! เจ้ามันรนหาที่ตายแท้ ๆ ช่างเถอะ ในเมื่อเจ้ายังอ่อนหัดจึงไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ข้าจะให้โอกาสเจ้า… จงไสหัวไปจากที่นี่เสีย ไม่อย่างนั้นข้าจะหักขาเจ้าแล้วจับโยนลงไปเอง!”
“ตาเฒ่า ข้าจะให้โอกาสเจ้าบ้าง จงตบหน้าตัวเองสิบครั้งแล้วรีบขอขมาข้า จากนั้นก็รีบไสหัวของเจ้าออกไปจากปราการเดียวดายซะ!” สีหน้าของเฉินซีเย็นชานักขณะที่เจตนาสังหารแผ่ซ่านออกมาจากร่างกาย ทำให้ยามนี้ชายหนุ่มเปรียบได้ดังกระบี่คมกริบที่ยังไม่ได้ดึงออกจากฝัก และพานทำให้เกิดการสั่นสะท้านทั่วบริเวณจนเกิดเป็นเสียงโหยหวนครวญคราง