บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 350 ความรักก่อกวนหัวใจ
บทที่ 350 ความรักก่อกวนหัวใจ
บทที่ 350 ความรักก่อกวนหัวใจ
ยามดึกอันมืดมิด
กองไฟที่ถูกจุดขึ้นในป่าทมิฬได้มอดดับลงแล้ว และทุกคนได้เข้าสู่การทำสมาธิอย่างลึกซึ้ง
เฉินซีทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อยและไม่กล้าขยับไปไหน เพราะเขากังวลว่าจะทำให้อวิ๋นน่าตื่น
เมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อน อวิ๋นน่าเห็นว่าเขาค่อนข้างรู้สึกเบื่อในขณะที่ดื่มตามลำพัง นางจึงยกเหยือกสุราขึ้นและเริ่มดื่มกับเขา นางดื่มจนเมามายโดยไม่รู้ตัว ในขณะนี้นางจึงเป็นดั่งลูกแมวตัวน้อยที่หลับสนิทโดยวางศีรษะไว้บนตักของเขา
“โอ้ เจ้าช่างหล่อเหลายิ่งนัก ถ้าเจ้าปฏิบัติกับพี่สาวคนนี้ให้ดีกว่านี้ พี่สาวคนนี้จะให้เจ้าแต่งงานกับนางอย่างแน่นอน…” ทันใดนั้น ริมฝีปากสีแดงสดของอวิ๋นน่าก็เปล่งเสียงคลุมเครือซึ่งเหมือนกับกำลังละเมอออกมา
เฉินซีตกตะลึง จากนั้นเขาก็ลูบจมูก สีหน้าของเขาดูลำบากใจและคิดในใจว่า ‘หรือว่าข้าจะปฏิบัติต่อนางไม่ดีนัก?’
เฉินซีก้มศีรษะลงเพื่อจ้องมองอวิ๋นน่า ซึ่งเขาต้องยอมรับว่าหญิงสาวคนนี้มีเสน่ห์ที่เย้ายวนใจอย่างยิ่ง ผิวของนางขาวราวกับหิมะ รูปร่างของนางงดงามและยั่วยวน ผมยาวสีแดงของนางม้วนงอเล็กน้อยก่อนที่จะปล่อยลงมาบนไหล่ของนางอย่างหลวม ๆ เหมือนน้ำตก หน้าอกที่ขาวเนียนของนางถูกเผยออกมาบางส่วน อีกทั้งขาเรียวยาวของเจ้าตัวก็ขาวและสะอาดสะอ้านราวกับงาช้างทำให้นางดูร้อนแรงสุด ๆ
ในขณะนี้ เมื่อนางนอนหลับโดยวางศีรษะไว้บนตักของเขา ผมยาวของนางก็ยุ่งเหยิง มีท่าทางไม่สำรวม จมูกของนางขยับเล็กน้อย ซึ่งก็ได้ส่งกลิ่นหอมที่ผสมกับกลิ่นอบอุ่นและชื้นของอิสตรีออกมา ภาพดังกล่าวทำให้เกิดความเย้ายวนที่ยากห้ามใจ และทำให้ผู้คนไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้ใกล้ชิดกับนาง
หญิงสาวที่อ่อนโยนและสง่างามเป็นคู่ชีวิตที่ดีของสุภาพบุรุษ ความรู้สึกผิดปกติก็ผุดขึ้นมาในใจของเฉินซี ขณะที่เขาลูบผมยาวของอวิ๋นน่าเบา ๆ เขาก็ทอดถอนใจโดยไม่มีเหตุผลอยู่ในใจ
อ้อมกอดของอิสตรีคือหลุมฝังศพของวีรบุรุษทุกคน? เฉินซีไม่ได้คิดเช่นนั้น เนื่องจากมีความรับผิดชอบหลายสิ่งหลายอย่างอยู่บนบ่าของเขา ทำให้ชายหนุ่มมักจะหลีกเลี่ยงความรักกับเพศตรงข้ามทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ มันเป็นอย่างนั้น เช่นเดียวกับตู้ชิงซี มู่เหยา ย่าชิงและอวิ๋นน่าที่อยู่ตรงหน้าเขาก็เป็นเช่นนั้น
แท้จริงแล้วเหตุผลนั้นธรรมดามาก เนื่องจากเขารู้สึกว่าตราบใดที่มีอิสตรีคอยอยู่เคียงข้างเขา พวกนางก็ไม่อาจมีชีวิตที่มั่นคงและมีความสุขได้ และชีวิตของพวกนางจะต้องสั่นคลอน ไม่สบายใจ และเต็มไปด้วยความยากลำบากก็เพราะเขา
ซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ ดังนั้นเขาจึงไม่เคยเผชิญหน้ากับมันและไล่ตามมันอย่างกล้าหาญ
ในขณะที่เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เฉินซีก็นึกถึงชิงซิ่วอี้และฟ่านอวิ๋นหลานโดยไม่รู้ตัว หนึ่งในนั้นคือเซียนสวรรค์ที่กลับชาติมาเกิดซึ่งเป็นอัจฉริยะที่ได้รับความชื่นชอบและได้รับความสนใจอย่างมากในราชวงศ์ซ่งและอีกคนหนึ่งก็คือหัวหน้าหมู่ตึกของนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตซึ่งเป็นยอดฝีมือขอบเขตจุติ
อย่างไรก็ตาม หญิงสาวสองคนนี้ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าฆ่าเขาในตอนแรก แต่มันกลับบังเอิญราวกับโชคชะตาและฟ้าลิขิตจึงทำให้เขาได้มีเพศสัมพันธ์กับพวกนาง ความสัมพันธ์เช่นนี้คาดเดาได้ยากจนทำให้เขาไม่ได้เตรียมพร้อมใด ๆ และไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันอย่างไรดี
เมื่อเขานึกถึงฉากวาบหวามในวันนั้นในขณะนี้ หัวใจของเฉินซีก็สับสนวุ่นวาย และเขาไม่อาจเข้าใจความคิดของตัวเองได้
“ถ้าเจอกันในอนาคตจะเป็นศัตรูหรือมิตรกันแน่?”
“ถ้าไม่ได้เจอกันคราวหน้าจะลืมสัมพันธ์ที่มีกันในตอนนั้นได้หรือไม่?”
จากนั้นเฉินซีก็ถอนหายใจโดยไม่มีเหตุผลอีกครั้ง และเขาก็รู้สึกว่า สิ่งที่เรียกว่าความรักนั้นได้ทำร้ายคนคนหนึ่งทั้งร่างกายและจิตใจ ทำให้ไม่อาจปฏิเสธมันได้ แต่ก็ไม่สามารถคาดเดาและควบคุมมันได้
ในขณะนี้ ความรู้สึกถึงอันตรายได้เกาะกุมหัวใจของเขา ทำให้เฉินซีตื่นขึ้นจากความคิดที่วุ่นวายของเขาทันที จากนั้นเขาก็เหลือบมองไปยังคนรอบข้างและอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว ‘ไม่เป็นไร ข้าจะช่วยพวกเขาจัดการกับปัญหานี้เอง’
เมื่อเขาคิดมาถึงจุดนี้ เฉินซีก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาอุ้มอวิ๋นน่าขึ้นรถม้าสมบัติและวางนางลงอย่างเบามือ จากนั้นสายตาของเขาก็กวาดไปยังป่าอันมืดมิดที่ห่างออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา ก่อนที่ร่างของเขาจะสั่นไหวและหายไปจากตรงนั้นอย่างไร้เสียง
ในป่าอันมืดมิดมีหมีดำที่สูงกว่าสิบสองจั้ง มันมีร่างกายที่กำยำและปกคลุมด้วยเกล็ด มันซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้โบราณในขณะที่ดวงตาสีแดงเลือดของมันจ้องมองไปยังกองคาราวานพ่อค้าที่อยู่ไกลออกไปด้วยสายตาที่เป็นประกายที่โหดเหี้ยมและอำมหิต
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นหมีเกราะพิฆาตที่ชาญฉลาดเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าขนาดของมันจะใหญ่โต แต่ก็มิได้ปล่อยกลิ่นอายออกมาขณะที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดอย่างไร้เสียง หากไม่ใช่เพราะจิตสัมผัสเทพของเฉินซีนั้นแข็งแกร่งจนถึงระดับที่น่าตกใจ ก็คงเป็นการยากที่จะสังเกตเห็นการมีอยู่ของมัน
ดูเหมือนว่ามันจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง จู่ ๆ หมีตัวนี้ก็เงยหัวขึ้นขณะที่ดวงแสงสายฟ้าพุ่งออกมาจากดวงตาสีแดงเลือดของมันจนฉีกความมืดออกจากกัน และทันใดนั้น มันก็เห็นร่างสูงโปร่งยืนห่างจากมันราวสิบสองจั้งโดยไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร
“ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า ถ้าเจ้าจากไปตอนนี้” คนผู้นี้คือเฉินซีนั่นเอง เขามองหมีเกราะพิฆาตตัวนี้อย่างเฉยเมยและเขาก็รู้สึกตกใจอย่างมาก ‘ความแข็งแกร่งของมันอยู่ห่างจากการบรรลุ ขอบเขตจุติเพียงไม่กี่ก้าว แต่เนื่องจากร่างกายของมันมีเศษเสี้ยวสายเลือดของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์และเป็นผู้บ่มเพาะอสูร ความแข็งแกร่งของมันจึงสามารถเทียบเคียงกับผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติได้’
“เจ้ามนุษย์ตัวจ้อย เจ้ากล้ากล่าวเช่นนี้กับข้าจริงหรือ? เจ้ากำลังรนหาที่ตาย!” อสูรหมีกล่าวออกมาขณะที่ประกายความรังเกียจได้ฉายชัดผ่านดวงตาสีแดงเลือดของมัน มันรับรู้ได้ว่าเจ้ามนุษย์ตัวจ้อยที่อยู่ตรงหน้ามันเป็นเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสูง และมันสามารถบดขยี้มดปลวกเช่นนี้ให้ตายได้ด้วยการตบเพียงครั้งเดียว
ขณะที่มันกล่าว มันก็จู่โจมโดยไม่ลังเลใด ๆ ร่างกายมหึมาของมันวูบไหวไปมา อุ้งเท้ามหึมาซึ่งเปล่งประกายด้วยแสงสีทองได้ตวัดขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นมันก็ทุบไปที่ศีรษะของเฉินซีอย่างดุดันด้วยว่องไวมหาศาล!
ทันทีที่มันกระโจนเข้ามา ต้นไม้โบราณที่อยู่ใกล้เคียงก็แตกหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กรงเล็บมหึมาสีทองนั้นหนักหน่วงและมีกลิ่นอายกดดัน ทุกที่ที่มันผ่านไป แม้แต่มิติก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ ทำให้มวลอากาศพุ่งออกไปทุกทิศทุกทางอย่างรุนแรง
เมื่อเผชิญหน้ากับอสูรหมีที่มีความสูงกว่าสิบสองจั้ง เฉินซีก็ไม่กล้าประมาทเลยแม้แต่น้อย จากนั้นปราณจ้าววิญญาณในร่างกายของเขาก็พุ่งออกมา ทำให้เกิดแสงสว่างไสวระเบิดออกมา จากนั้นร่างของเขาก็ขยายจนมีความสูงมากกว่าสิบสองจั้งในทันที กลิ่นอายในร่างของเขาก็ระเบิดออกและพวยพุ่งขึ้นไปบนฟ้าพร้อมกับสร้างแรงสั่นสะเทือนไปโดยรอบ มันคือพลังอิทธิฤทธิ์ ‘ร่างแปลงสวรรค์’!
ตู้ม!
เฉินซีก้าวไปข้างหน้าจนทำให้พื้นแตกออกจากกัน และเขาก็ชกกำปั้นของตนออกไปโดยไม่ลังเล
กำปั้นและอุ้งเท้าปะทะกันทำให้เกิดเสียงดังโครมครามอย่างน่าสะพรึงกลัวไปทั่วท้องฟ้าและผืนดิน จนเกิดเป็นคลื่นลมโหมกระหน่ำและทำให้เหล่าต้นไม้โบราณที่อยู่ในระยะร้อยห้าสิบลี้กลายเป็นผุยผง ทรายและเศษหินก็ปลิวขึ้นมาจากพื้นดินที่มีรอยแตกนับไม่ถ้วน
หมีหุ้มเกราะพิฆาตคำรามเสียงดังในขณะที่ร่างของมันเซไปทางด้านหลัง และความกลัวก็เกิดขึ้นในใจทันทีที่มันหยุดนิ่ง
ส่วนเฉินซีก็กระโดดขึ้นอีกครั้งก่อนจะเตะออกไป
หมีหุ้มเกราะพิฆาตไม่กล้าประเมินคู่ต่อสู้ของมันต่ำเกินไป จากนั้นอุ้งเท้าของมันก็ฉีกขึ้นไปบนท้องฟ้าและฟาดลงมาราวกับภูเขาลูกมหึมาที่กดทับลงมาจากท้องฟ้าและบดขยี้อากาศจนเกิดเสียงดังกึกก้องราวกับฟ้าร้อง
ตู้ม!
ขาขวาของเฉินซีสว่างไสวในขณะที่ปราณจ้าววิญญาณที่กว้างใหญ่และเก่าแก่ได้ปะทุขึ้น จากนั้นขาของเขาก็เตะกวาดไปทางอุ้งเท้าที่เหมือนภูเขาทั้งสองข้างของหมีหุ้มเกราะพิฆาต และท้ายที่สุดพวกมันก็ปะทะกันจนดังโครมคราม
เฉินซีล้มลงกับพื้น ในขณะที่หมีหุ้มเกราะพิฆาตถูกแรงมหาศาลพัดปลิวไปแทน และมันก็เซถอยหลังไปอีกครั้ง
“โฮกกก!” การถูกโจมตีกลับซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการแข่งขันด้านพละกำลัง ทำให้สัตว์อสูรหมีตัวนี้โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก และมันก็คำรามเสียงดังที่สามารถสั่นสะเทือนสวรรค์และโลกได้ ดวงตาของมันเป็นกลายสีแดงเลือดขณะที่กลิ่นอายของมันก็รุนแรงขึ้น ทำให้แสงสีทองเจิดจ้าปกคลุมขนและเกล็ดทั่วร่างของมัน พร้อมกับกลิ่นอายการเข่นฆ่าซึ่งแผ่ออกมา
มันกระโจนเข้าใส่อย่างรุนแรงอีกครั้ง และในทันทีที่มันเคลื่อนไหว ทั้งตัวของมันก็เปล่งแสงและปกคลุมไปด้วยอักขระยันต์ อุ้งเท้าของมันเหมือนขวานขนาดมหึมาที่สามารถผ่าภูเขาออกจากกัน ขณะที่มันปะทุด้วยแสงเจิดจ้าและกวาดไปทางเฉินซี
เลือดอันร้อนระอุในอกของเฉินซีก็เดือดพล่านเช่นกัน และในที่สุดเขาก็รู้สึกว่าตนเองได้พบคู่ต่อสู้ที่คู่ควร ทำให้เขาสามารถใช้พลังได้อย่างเต็มที่และต่อสู้จนกว่าจะพอใจ
ตู้ม!
ด้วยการใช้ร่างแปลงสวรรค์ ปีกนภาดารกะ และฝ่ามือมหาดาราร่วมกัน ร่างของเฉินซีบินออกไปโดยไม่หลบแม้แต่น้อย เขาเป็นดั่งสายฟ้าฟาดที่อาละวาดอยู่ทั่วท้องฟ้าในขณะที่เขาพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
หนึ่งคนหนึ่งหมีต่างก็ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ทำให้การต่อสู้ทวีความรุนแรงขึ้นในทันที พวกเขาพุ่งเข้าชนกันตลอดทางและเคลื่อนที่เป็นระยะทางหลายร้อยลี้ ทำให้สนามรบของพวกเขาขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เสียงที่ระเบิดออกมาจากการปะทะกันของฝ่ามือและอุ้งเท้านั้นเสมือนกับเสียงของฟ้าร้องที่ฟาดลงมาจากสวรรค์ทั้งเก้า และมันทำให้สัตว์อสูรทั้งหมดในป่าทมิฬสั่นสะท้านจนต้องวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัวและไม่สบายใจ
ความโกลาหลที่เกิดขึ้นนี้ได้ปลุกทุกคนจากกองคาราวานพ่อค้าขึ้นมา พวกเขาต่างคลานขึ้นมาก่อนจะมองไปยังระยะไกลด้วยความประหลาดใจ
บนท้องฟ้าและผืนดินอันไกลโพ้น มีร่างสูงสิบสองจั้งสองร่างกำลังต่อสู้กัน ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาทำให้อากาศระเบิดจนเกิดแสงสีทองพุ่งออกมา และแสงสีดอกกุหลาบก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ทำให้มันเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
“ดูเหมือนว่าจะเป็นหมีหุ้มเกราะพิฆาต! ผู้ใดกำลังสู้มันอยู่? ช่างเป็นพละกำลังที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!”
“เห็นได้ชัดว่าคนผู้นั้นเป็นผู้ขัดเกลากายาที่ใช้วิชาร่างแปลงสวรรค์ ทำให้ปราณจ้าววิญญาณของเขาพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและสามารถต่อสู้กับหมีหุ้มเกราะพิฆาตได้อย่างเท่าเทียม! เป็นไปได้หรือไม่ว่าการขัดเกลากายาของเขาได้บรรลุถึงขอบเขตจุติแล้ว?”
“แข็งแกร่ง! ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก!”
ทุกคนต่างก็ตกตะลึงจนตัวสั่น คลื่นอากาศที่พัดมาจากการต่อสู้ระหว่างร่างทั้งสองนั้นน่าสะพรึงกลัวเกินไป และมันทำให้พวกเขารู้สึกถึงความกดดันที่ทำให้หายใจไม่ออก แต่เนื่องจากแสงที่ระเบิดออกมาจากการต่อสู้นั้นสว่างจ้าเกินไป จึงไม่มีใครมองเห็นว่าร่างที่สูงสิบสองจั้งนั้นคือเฉินซี
มีเพียงอวิ๋นน่าเท่านั้นที่กวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างเร่งรีบ เมื่อนางไม่เห็นร่างของเฉินซี นางจึงคาดเดาได้ราง ๆ แต่นางก็ไม่กล้ายืนยันความคิดนี้ก็เพราะว่าพลังที่เฉินซีแสดงออกมาในปราการเดียวดายนั้นเป็นพลังที่ผู้บ่มเพาะปราณเท่านั้นที่สามารถมีได้ และเขาก็ไม่ได้เผยปราณจ้าววิญญาณที่มีเพียงผู้ขัดเกลากายาเท่านั้นที่มีออกมา
“ร่างนั้น… ดูเหมือนจะเป็นน้องชายคนนั้น?” ดวงตาของเหยียนเฉิงหรี่ลงเล็กน้อย จากนั้นเขาจึงแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา ทว่าก็ไม่กล้ายืนยันว่าใครคือเจ้าของร่างนั้น
“เขาหรือ?” ความรู้สึกเย้ยหยันปรากฏมุมปากของเหยียนเยียน ขณะที่นางส่ายหัว “ถ้าเจ้าขี้ขลาดคนนั่นมีพละกำลังขนาดนี้ ข้าคงต้องเตรียมน้ำล้างเท้าให้มันด้วยซ้ำ”
เหยียนเฉิงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าบุตรสาวของเขามีอคติต่อเฉินซีอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นการที่เขาจะกล่าวอะไรต่อไปคงไม่ดีต่อตัวเองเท่าไรนัก และเจ้าตัวก็ทำได้เพียงถอนหายใจเบา ๆ “ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เขาคือผู้มีพระคุณของเรา ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ข้าเกรงว่าเราจะต้องทนรับการโจมตีจากหมีหุ้มเกราะพิฆาตในคืนนี้” เสียงของเขาเผยให้เห็นความกลัวอยู่ชั่วขณะ
“ใช่แล้ว หากเรามีโอกาสในภายหลัง เราจะตอบแทนผู้มีพระคุณผู้นี้อย่างเหมาะสม” เหยียนเยียนเห็นด้วยกับมุมมองของบิดาของตนอย่างมาก และนางก็พยักหน้าอย่างจริงจัง
“โฮกกก!” หมีหุ้มเกราะพิฆาตเปล่งเสียงคำรามที่เหมือนกับฟ้าร้อง ขณะที่มันกวาดอุ้งมือออกไปเหมือนคลื่นยักษ์ที่ถาโถมเข้าหาฝั่ง และการโจมตีของมันก็มีพละกำลังมหาศาลจนสามารถถล่มภูเขาได้ และทุกครั้งที่อุ้งเท้าสีทองฟาดลงมา มันจะแฝงพลังทำลายมิติและทำให้ทุกสิ่งโดยรอบอยู่ในความโกลาหล ทันทีที่อุ้งเท้าของมันปะทะกับกำปั้นของเฉินซี แสงศักดิ์สิทธิ์ก็ปกคลุมท้องฟ้าพร้อมกับเสียงระเบิดที่ดังกึกก้อง และทำให้ทุกคนที่อยู่ห่างไกลออกไปต้องตกตะลึง
ทุกคนไม่ได้ประหลาดใจเพราะหมีหุ้มเกราะพิฆาต แต่พวกเขาประหลาดใจกับร่างของมนุษย์คนนั้นแทน ความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวของร่างนั้นสามารถเทียบได้กับหมีหุ้มเกราะพิฆาตเสียด้วยซ้ำ
ทั้งสองร่างพุ่งเข้าใส่กันและกันอย่างดุเดือด ในขณะที่พลังซึ่งปล่อยออกมานั้นพัดผ่านท้องฟ้าและผืนดิน ทำให้ต้นไม้ที่อยู่ในบริเวณกว้างพังทลายลงจนกลายเป็นเนินเขาเตี้ย ๆ และโขดหินในป่าทมิฬก็แยกออกจากกัน แม้กระทั่งยอดเขาบางส่วนซึ่งมีความสูงถึงร้อยยี่สิบจั้งก็ยังต้องแตกสลายและกลายเป็นผุยผงในทันที
หลังจากนั้น การต่อสู้ระหว่างทั้งสองยังคงดำเนินต่อไปเป็นระยะทางหลายพันลี้ ทำให้ทุกคนมองไม่เห็นการต่อสู้ของพวกเขาได้อีกต่อไป และพวกเขาก็ได้ยินเพียงคลื่นเสียงฟ้าร้องและเสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่มาจากที่ไกลออกไป
ถึงกระนั้น หัวใจของทุกคนก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นจนไม่อาจควบคุมได้ การต่อสู้ที่สั่นสะเทือนสวรรค์และโลกครั้งนี้จะต้องเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถลืมไปได้อีกนาน
ไม่นานเสียงทั้งหมดก็จางหายไป ท้องฟ้าและผืนดินก็กลับสู่ความเงียบอีกครั้ง
ทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยความสงสัยในใจว่า ‘ใครคือผู้ชนะกันแน่?’
“ผู้อาวุโส ท่านไปไหนมาก่อนหน้านี้?” อวิ๋นน่าเงยหน้าขึ้นและเห็นเฉินซีปรากฏตัวอยู่ที่ด้านข้างของนาง นางจึงอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเพราะนางยังคงกังวลเกี่ยวกับเฉินซีอยู่เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา
เสียงของอวิ๋นน่าทำให้ทุกคนตกใจ จากนั้นพวกเขาก็ส่ายหัวเมื่อเห็นหนุ่มเจ้าสำอางผู้ขี้ขลาดเช่นเฉินซี
มีใครบางคนพึมพำด้วยเสียงที่แผ่วเบาว่า “เห็นได้ชัดว่าเจ้าขี้ขลาดคนนี้หวาดกลัวจนต้องหนีไปซ่อนตัว เจ้าจำเป็นต้องถามด้วยหรือ? บางทีเขาอาจจะฉี่ราดกางเกงของตัวเองด้วยความกลัวแล้วกระมัง!”
คำพูดเหล่านี้ทำให้ทุกคนหัวเราะลั่น
เฉินซีเพียงยิ้มและไม่สนใจคำเยาะเย้ยของคนรอบข้าง ก่อนที่จะก้าวขึ้นรถม้าสมบัติ แม้ว่าเขาจะเอาชนะหมีหุ้มเกราะพิฆาตในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ได้สำเร็จ แต่การต่อสู้ที่รุนแรงและการใช้พละกำลังออกไปอย่างเต็มที่ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก และเขาตั้งใจที่จะพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูพลังอย่างเหมาะสม
“เจ้าคิดว่าคนผู้นั้นจะเป็นเขาหรือไม่?” เหยียนเฉิงดูเหมือนจะหลงในห้วงความคิด
“ข้าบอกท่านแล้วว่าหากเป็นเขาจริง ๆ ข้าจะเตรียมน้ำล้างเท้าให้เขาด้วยซ้ำ” เหยียนเยียนกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว “มันจะเป็นไปได้อย่างไร เขาเป็นเพียงหนุ่มเจ้าสำอางที่ต้องคอยพึ่งพาหญิงสาว เขาไม่มีภาพลักษณ์ของยอดฝีมือเลยแม้แต่น้อย!”
“เอาล่ะ เอาล่ะ เอาล่ะ รีบออกเดินทางกันเถอะ ไม่ว่าใครจะชนะใครแพ้ เราต้องคว้าช่วงเวลานี้เพื่อจากไป หากหมีหุ้มเกราะพิฆาตตัวนั้นยังมีชีวิตอยู่ มันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ ดังนั้นเรารีบไปกันดีกว่า” เหยียนเฉิงโบกมือของเขา และเขารู้สึกปวดหัวที่จะพูดคุยเรื่องของเฉินซีกับบุตรสาวของเขา