บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 356 อานุภาพของการชี้นิ้ว
บทที่ 356 อานุภาพของการชี้นิ้ว
บทที่ 356 อานุภาพของการชี้นิ้ว
เฉินซีทอดถอนหายใจออกมาและมองอย่างจริงจังไปที่หวังเต้าซวี่ จากนั้นจึงถามว่า “จะดีกว่าหรือไม่ หากเราค่อยประลองกันในระหว่างการชุมนุมดาวรุ่งที่จะมาถึง?”
หวังเต้าซวี่ส่ายศีรษะ “เช่นนั้นคงมิได้ เนื่องจากข้าจะมาด้วยความหวัง แล้วจะกลับไปอย่างผิดหวังได้อย่างไร”
ผู้คนต่างพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกันเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งนี้ เนื่องจากพวกเขาล้วนอยากเห็นความแข็งแกร่งของเฉินซี
เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวออกไปทันทีว่า “หมัดของเจ้าก่อนหน้านี้แฝงไปด้วยกลิ่นอายของภูเขาและเต๋ารู้แจ้งที่ไหลเวียนอย่างราบรื่น ความเข้าใจเกี่ยวกับเต๋ารู้แจ้งพสุธาของเจ้าน่าจะบรรลุถึงขอบเขตเริ่มต้นระดับที่หก กระบวนท่าของเจ้ารุนแรง รวดเร็ว และน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเมื่อรวมทั้งสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน มันย่อมทรงอานุภาพและสามารถพิชิตได้ทั้งหมด แต่มันก็ยังไม่ถึงกับไร้ข้อบกพร่อง”
ทุกคนล้วนตกตะลึง
“คนผู้นี้ตั้งใจที่จะพูดคุยถึงเรื่องเต๋าด้วยวาจาหรอกหรือ?”
ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก!
ทุกคนล้วนไม่พอใจอย่างมาก
“การเห็นเจ้าลงมือต่อสู้อย่างแท้จริงนี่ยากมากนักหรือ?”
หวังเต้าซวี่รู้สึกสับสนงุนงงมากเช่นเดียวกัน แต่เขาก็ยังเอ่ยถามออกไปอย่างอดทน “กระบวนท่าของข้ามีข้อบกพร่องอย่างไรหรือ?”
เฉินซีกวาดสายตามองไปยังผู้คนรอบข้างและไม่ได้กล่าวอะไรออกมา ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนทันที จากนั้นนิ้วชี้ขวาของเขาก็เหยียดออกและชี้ไปที่ใบหน้าของหวังเต้าซวี่
ในที่สุดพวกเขาก็เริ่มต้นขึ้น!
จิตวิญญาณของทุกคนที่พร่ำบ่นอยู่ในใจก็พลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันที จากนั้นพวกเขาก็เบิกตากว้างและจ้องมองอย่างไม่กะพริบตา เพราะเกรงว่าจะพลาดรายละเอียดใด ๆ อย่างไรก็ตาม พวกเขาต้องประสบกับความผิดหวัง เนื่องจากเฉินซีเพียงแค่ยื่นนิ้วออกไป และไม่มีปราณแท้ที่ทรงพลังหรือน่าเกรงขามใด ๆ ออกมา อีกทั้งยังไม่มีร่องรอยของเต๋ารู้แจ้งที่แพรวพราวและเจิดจรัส มันเป็นเพียงนิ้วธรรมดา ๆ เท่านั้น
ทว่าหวังเต้าซวี่กลับไม่แม้แต่จะขยับเมื่อเขาเผชิญกับนิ้วนี้ ราวกับเขารังเกียจที่จะลงมือและดูเหมือนว่ากำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่า สถานะที่เผยออกมาของทั้งคู่ในขณะนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่การต่อสู้ที่รุนแรงเลยสักนิด
“คนผู้นี้กำลังทำอะไรอยู่?” หวังเจิ้นเฟิงก็รู้สึกสับสนอย่างมากเช่นกัน
“ข้าคิดว่าเขากับหวังเต้าซวี่ได้สมรู้ร่วมคิดกันมานานแล้ว และพวกเขาแค่ตั้งใจจะเล่นตลก!” เซียวเซวียนเทียนยิ้มบาง ในขณะที่ดวงตาของเขาเผยให้เห็นร่องรอยของการเหยียดหยาม
แต่หวังเจิ้นเฟิงกลับไม่คิดเช่นนี้ หากกล่าวตามเหตุผลแล้ว คงไม่มีใครที่จะใช้ลูกเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ภายใต้สายตาของทุกคนที่อยู่ตรงนั้น และเฉินซีกับหวังเต้าซวี่ก็ไม่ได้โง่ ดังนั้นพวกเขาจะใช้เล่ห์กลเยี่ยงนักต้มตุ๋นข้างถนนได้อย่างไร?
“หรือว่าจะมีความลึกซึ้งบางอย่างอยู่ในนั้น?” หวังเจิ้นเฟิงขมวดคิ้ว
ย่าชิง อวิ๋นน่า และเหยียนเยียนที่อยู่ใกล้กับเฉินซีมากที่สุดและสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนที่สุด แต่พวกนางกลับมองไม่เห็นเช่นกันว่าเกิดเหตุใดขึ้น และดวงตาของพวกนางก็เต็มไปด้วยประกายแห่งความงุนงงสงสัย
ทว่ามีเพียงหวังเต้าซวี่เท่านั้นที่รู้สึกแตกต่างจากคนอื่น
ขณะที่เฉินซีเหยียดนิ้วออกไป จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าตนเองได้ตกลงไปในหลุมลึกโดยไม่มีสิ่งใดที่ให้ยึดเกาะ …ราวกับว่าเขากำลังเผชิญกับสายฟ้าที่ฟาดมาจากท้องฟ้าโดยที่ไม่มีที่ไหนให้หลบซ่อนหรือหลีกหนี
แรงกดดันที่ถาโถมมาจากทุกทิศทุกทางทำให้เขาได้กลิ่นอายของความตายที่ใกล้เข้ามา และภายใต้ความกดดันนี้ เขาครุ่นคิดถึงเคล็ดวิชาการต่อสู้ทั้งหมดที่ได้บ่มเพาะมาอย่างบ้าคลั่ง อย่างไรก็ตาม ในความสิ้นหวัง เขาไม่สามารถหาโอกาสที่จะจัดการกับวิกฤตที่กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ได้เลยสักครั้ง!
ราวกับว่านิ้วธรรมดา ๆ ที่ชี้มาที่เขานั้นได้ปกคลุมบริเวณโดยรอบทั้งหมดและโลกที่กว้างใหญ่ไว้อย่างสมบูรณ์แล้ว ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงที่ผุดขึ้นมาจากหัวใจทำให้ร่างกายของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อที่เย็นยะเยียบ จากนั้นรูม่านตาของเขาก็ขยายและแทบจะหายใจไม่ออก!
“นี่มันบ้าอันใดกัน!?”
ในใจของหวังเต้าซวี่รู้สึกประหลาดใจและส่งผลให้จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ ความมั่นใจ และความภาคภูมิใจของเขากำลังจะพังทลายและแตกเป็นเสี่ยง ๆ!
เนื่องจากเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า ในช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งปีตั้งแต่การชุมนุมธารทองจนถึงตอนนี้ ความแข็งแกร่งของเฉินซีได้เพิ่มขึ้นถึงระดับที่น่าสะพรึงกลัว และเพียงนิ้วเดียวที่ชี้มายังตน มันกลับทำให้เขารู้สึกสิ้นหวังราวกับว่ากำลังเผชิญกับความตายที่คืบคลานเข้ามา!
น่าสะพรึงกลัว!
‘ความเร็วในการเติบโตของคนผู้นี้น่ากลัวเกินไป! เขาเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้!’
ความคิดของหวังเต้าซวี่อยู่ในสภาวะสับสนวุ่นวาย และมันใกล้จะพังสลาย แต่ในขณะที่เขากำลังจะอดทนต่อไปไม่ได้ แรงกดดันที่อยู่รอบข้างก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันที ซึ่งตรงกลับช่วงเวลาที่เฉินซีได้ถอนนิ้วออกไปพอดิบพอดี
เพราะหากดำเนินการต่อไป ชายหนุ่มกังวลอย่างยิ่งว่าเขาจะทำลายความภาคภูมิและจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ในใจของหวังเต้าซวี่ไปอย่างสิ้นเชิง หากเป็นเช่นนั้น พลังดัชนีนี้ของเขาจะกลายเป็นมารในใจของอีกฝ่าย และอาจทำให้หวังเต้าซวี่ไม่สามารถก้าวหน้าได้ในอนาคต หากเขาไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกเช่นนี้ได้
ผู้คนมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความประหลาดใจ เนื่องจากพวกเขาไม่รู้ว่าหวังเต้าซวี่รู้สึกอย่างไร ดังนั้นคนทั้งหมดจึงรู้สึกว่าการกระทำของเฉินซีค่อนข้างจะแปลกประหลาด เขาเพียงเหยียดนิ้วออกไปจากนั้นก็หดนิ้วกลับคืน นี่เขากำลังทำสิ่งใดอยู่?
แต่บางคนที่มีสายตาเฉียบแหลมกลับสังเกตเห็นได้อย่างทันทีว่ากลิ่นอายของหวังเต้าซวี่ผิดปกติเป็นอย่างมาก ใบหน้าของเขาแข็งทื่อ ดวงตาเหม่อลอย และเสื้อผ้าบนร่างกายก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ราวกับว่าในชั่วขณะก่อนหน้านี้มีบางอย่างที่ทำให้เขาต้องหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่งได้เกิดขึ้น
หวังเต้าซวี่สูดหายใจเข้าลึก ๆ และท่ามกลางความงุนงง เขาก็รู้สึกว่าตนเองเป็นผู้รอดชีวิตที่โชคดีหลังจากประสบภัยพิบัติ มันรู้สึกราวกับว่าทุกอย่างก่อนหน้านี้เป็นเพียงภาพหลอนในใจและมันไม่มีอยู่จริงเลยสักนิด ทว่าความรู้สึกเปียกชื้นทั่วร่างกายนั้นทำให้เขาได้สติในทันที และตอนนี้เองที่ชายหนุ่มสังเกตได้ว่าร่างกายของตนเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็นที่เยียบเย็น ราวกับว่าเพิ่งถูกลากขึ้นมาจากน้ำ
แต่เขาไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเฉินซีด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ขอบคุณที่เมตตา”
เฉินซีเพียงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “มันเป็นเพียงการประลองเท่านั้น พี่หวังอย่าได้ถือสาเลย มิฉะนั้น มันจะเป็นอันตรายต่อการบ่มเพาะของท่านเหมือนกับโซ่ตรวนที่เหนียวรั้งท่านเอาไว้”
หวังเต้าซวี่พยักหน้าและกล่าวอย่างทอดถอนใจ “พี่เฉินย่อมได้อันดับต้น ๆ ในการชุมนุมดาวรุ่งครั้งนี้อย่างแน่นอน ส่วนจะไปได้ไกลแค่ไหนนั้นเป็นเรื่องที่ข้าไม่อาจคาดเดาได้”
ทันทีที่กล่าวจบ เขาก็ไม่สนใจกับสายตาของทุกคนที่อยู่ในห้องโถงอีกต่อไป จากนั้นก็หันหลังกลับและจากไปอย่างที่เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ เขามาด้วยความหวังอันยิ่งใหญ่และจะจากไปหลังจากบรรลุผลสำเร็จ และคนผู้นี้ก็เป็นคนที่สามารถปล่อยวางได้อย่างแท้จริง
“เขายอมรับความพ่ายแพ้เช่นนี้หรือ?”
“เขาจะจากไปเช่นนี้จริง ๆ หรือ?”
“แปลก! มันช่างแปลกยิ่งนัก!”
นอกจากจะทำให้ทุกคนประหลาดใจแล้ว การที่หวังเต้าซวี่ยอมรับความพ่ายแพ้ยังทำให้พวกเขารู้สึกว่ามันเป็นที่ไร้สาระมาก แต่มันก็ช่วยไม่ได้ ในเมื่อความแข็งแกร่งและความสามารถในการแยกแยะของพวกเขานั้นไม่สามารถเข้าถึงเจตนาฆ่าอันน่าสะพรึงกลัวที่อัดแน่นอยู่ในนิ้วของเฉินซีก่อนหน้านี้ได้
“นี่! ก่อนหน้านี้เจ้าทำอะไรลงไป” เหยียนเยียนไม่อาจยับยั้งความอยากรู้อยากเห็นในใจของนางและถามด้วยเสียงที่แผ่วเบาออกไป
“เจ้าไม่เห็นทุกอย่างก่อนหน้านี้หรือ?” เฉินซียกเหยือกสุราขึ้นและรินสุราให้ตัวเองหนึ่งจอก เขาพบว่าสุราชั้นดีที่เก็บไว้ในจวนจ้าวอสนีนั้นมีรสฉุนเป็นอย่างมากและทำให้อวัยวะภายในรู้สึกอุ่นเมื่อกรอกมันเข้าไปในปากของเขา แต่ว่ารสชาติที่ติดค้างอยู่ในลำคอกลับหวานและรู้สึกสดชื่นแทน ทำให้มันมอบรสสัมผัสที่ไม่ธรรมดา เมื่อดื่มเข้าไปก็พลันบังเกิดความรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
เหยียนเยียนอดไม่ได้ที่จะกลอกตาขณะที่มองไปยังเฉินซีที่ปิดปากแน่นเหมือนขวดโหล จากนั้นนางก็หันกลับมาด้วยความโกรธและบ่มพึมพำในใจว่า ‘เจ้าหนุ่มขี้ขลาดคนนี้กลับกล้าแสดงท่าทางอิ่มเอมใจออกมา เขาช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก!’
อันที่จริง ไม่ใช่แค่เหยียนเยียนที่อยากรู้เท่านั้น คนอื่นที่อยู่ที่นี่ในตอนนี้จะไม่รู้สึกใคร่รู้ได้อย่างไร?
แต่พวกเขาทำได้เพียงแต่ฝังความอยากรู้อยากเห็นนี้ให้ลึกลงไปในท้องของพวกเขาเท่านั้น การที่จะรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้หรือไม่นั้น เป็นปัญหาของความแข็งแกร่งและความสามารถในการแยกแยะของแต่ละบุคคล หากพวกเขาเอ่ยถามเฉินซีออกไปโดยตรง มันก็จะเป็นการยอมรับเช่นกันว่าความแข็งแกร่งและความสามารถในการแยกแยะของพวกเขานั้นด้อยกว่า และคงจะไม่มีใครเต็มใจที่จะลดสถานะของตน ดังนั้นจึงไม่มีใครเอ่ยถามออกไป
“พี่เฉิน ในเมื่อความแข็งแกร่งของเจ้าไม่ธรรมดา เหตุใดเราถึงไม่ลองประลองกันดูเล่า? ข้าขอเรียนตามตรงว่าข้าอยากรู้จริง ๆ ว่านิ้วที่ท่านชี้ออกไปแฝงด้วยพลังอะไร มันเป็นเล่ห์กลโดยเจตนาหรือว่ามีพลังที่สั่นสะเทือนฟ้าดินอยู่กันแน่?” ในขณะนี้ เซียวเซวียนเทียนได้ยืนขึ้นและก้าวออกไปข้างหน้า ชุดสีขาวหลวม ๆ ของเขาสะบัดไปมา ดวงตาของเขาสุกสกาวเหมือนดวงดาว มุมปากยกจนเป็นรอยยิ้มทำให้เขาดูเหมือนไร้การผูกมัด
เฉินซีวางถ้วยสุราในมือแล้วยืนขึ้น จากนั้นเขาก็ถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าข้าจะอยู่ที่งานเลี้ยงนี้ไม่ได้อีกต่อไป การออกไปโดยเร็วที่สุดคงจะเป็นการดีกว่าสำหรับข้า”
ทุกคนล้วนตกตะลึงเพราะพวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า เมื่อเผชิญกับความท้าทายของเซียวเซวียนเทียน เฉินซีกลับตัดสินใจจะออกจากงานเลี้ยงกลางคันและยังต้องการจากไปโดยไม่ไว้หน้าเซียวเซวียนเทียนเลยแม้แต่น้อย
“พี่เฉิน เหตุใดท่านถึงใจร้อนเช่นนี้ คงไม่สายที่ท่านจะจากไปหลังจากที่เราประลองฝีมือกันแล้ว!” ขณะที่กล่าว เซียวซวนเทียนก็เปิดฉากโจมตี เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างกะทันหัน ก่อนที่จะคว้าไหล่ของเฉินซีจากทางด้านหลัง
ลมแรงพัดหวีดหวิวขณะที่ท้องฟ้าสั่นสะเทือน และอากาศในห้องโถงทั้งหมดก็พังทลายลงพร้อม ๆ กัน จนเปล่งเสียงหวีดหวิวของการระเบิดที่เป็นคลื่นมหึมาออกมา
นี่อาจถือเป็นการลอบจู่โจมหรือไม่?
เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ เพราะเซียวเซวียนเทียนได้ประกาศก่อนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น แรงกระตุ้นของการโจมตีครั้งนี้ยังยิ่งใหญ่และเหนือชั้น ซึ่งไม่มีจุดให้สงสัยว่าจะเป็นการลอบจู่โจมแม้แต่น้อย หรืออย่างมากที่สุดเขาก็เป็นเพียงแค่คนแรกที่เปิดฉากโจมตีก่อนก็เท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังทำให้ย่าชิง อวิ๋นน่า และเหยียนเยียน อุทานออกมาด้วยความตกใจ เพราะอย่างไรเสีย เซียวเซวียนเทียนก็ลงมืออย่างฉับพลันและกะทันหันเกินไป ทำให้พวกนางไม่ทันได้ตั้งตัว
“ฮึ่ม ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา!” การโจมตีอย่างฉับพลันของเซียวเซวียนเทียนทำให้เฉินซีไม่อาจระงับความรู้สึกหงุดหงิดได้ จากนั้นเขาก็ไม่ได้รั้งรออีกต่อไปและสะบัดแขนเสื้อออกไปด้วยการโบกมือ
ปัง!
แขนเสื้อที่พลิ้วบางดูเหมือนจะกลายเป็นค้อนขนาดใหญ่ขณะที่มันทุบไปยังฝ่ามือซึ่งฟาดตรงมา และแปรเปลี่ยนเป็นดั่งภูเขาลูกมหึมาที่กดทับลงมาจากด้านบน กระแทกเซียวเซวียนเทียนจนเขาถอยหลังกลับอย่างหนักหน่วง
“ยอดเยี่ยมยิ่งนัก! เจ้าทำให้ข้าสาแก่ใจยิ่ง! ก่อนหน้านี้ข้าเพียงหยั่งฝีมือของเจ้าเท่านั้น และต่อจากนี้คือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของข้า!” เซียวเซวียนเทียนหัวเราะลั่น ในขณะที่จิตวิญญาณต่อสู้ของเขาพวยพุ่งอย่างรุนแรงอยู่ในร่างกาย ทำให้ผมเผ้าที่ยาวและเสื้อผ้ากระพือไปมา ท่าทางของเขาเองก็ไร้การควบคุมและไม่ธรรมดา ทำให้เกิดคลื่นเสียงโห่ร้องดังขึ้นจากบริเวณโดยรอบในทันที
แม้แต่เหยียนเยียนก็พยักหน้า ‘บุรุษที่แท้จริงควรเป็นเช่นนี้! ต่างจากเจ้าหนุ่มขี้ขลาดคนนั้นที่ถูกบีบบังคับจนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องต่อสู้กับเซียวเซวียนเทียน เขาช่างเพ้อเจ้อและเจ้ากี้เจ้าการยิ่งกว่าอิสตรีเสียอีก!’
สีหน้าของเฉินซีนั้นนิ่งสงบในขณะที่กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “เจ้าพอใจแล้วหรือยัง? ข้าหวังว่าเจ้าจะทำให้ข้าพอใจเช่นกัน”
วูบ!
ทันทีที่กล่าวจบ ร่างของเฉินซีก็หายไป
ช่างเร็วยิ่งนัก!
ดวงตาของเซียวเซวียนเทียนหรี่ลง แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นร่างของเฉินซี แต่เขาก็ไม่กล้ากล่าวอะไรออกมา ปราณแท้ในร่างกายพลันพวยพุ่งขึ้นมาขณะที่กดนิ้วเข้าหากัน จากนั้นมันก็กลายเป็นปราณฝ่ามือดุร้ายที่ปกคลุมท้องฟ้าขณะที่พวกมันฟาดออกไปยังทุกทิศทางอย่างดุเดือด
ปัง! ปัง! ปัง!
ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงว่าความแข็งแกร่งของเซียวเซวียนเทียนนั้นน่าเกรงขามอย่างแท้จริง เขาเคลื่อนไหวไปทุกทิศทางในขณะที่โจมตีแบบสุ่ม ฝ่ามือทุกฝ่ามือที่เขาฟาดออกไปนั้นหนักหน่วงเป็นอย่างมาก และมันก็กระแทกเข้ากับพื้นที่โดยรอบจนปราณฝ่ามือโปร่งแสงจำนวนมากได้ฝังลงไปบนนั้น
ยิ่งกว่านั้น ปราณฝ่ามือโปร่งแสงเหล่านี้ยังแฝงไปด้วยพลังที่แตกต่าง มันแฝงไว้ซึ่งการแตกสลาย เหี่ยวเฉา และไหม้เกรียม เห็นได้ชัดว่ามันมีเต๋ารู้แจ้งแห่งไฟที่รุนแรงยิ่งนัก!
“ฝ่ามือสุญตาเมฆาชาดของตระกูลเซียวนั้นไม่ธรรมดาจริง ๆ ปราณฝ่ามือถูกรวมเข้าด้วยกันโดยไม่กระจายออกไป และพลังที่แฝงอยู่ภายในนั้นก็ไม่รั่วไหลออกมาเลยแม้แต่น้อย สหายเซวียนเทียนคนนี้ซ่อนความแข็งแกร่งของเขาอย่างลึกซึ้ง ข้าเกรงว่าเขาจะเข้าใจแก่นแท้ของกระบวนยุทธ์ระดับเต๋านี้แล้ว และการโจมตีทั่วไปของเขาก็จะแฝงไปด้วยพลังดังกล่าว ถ้าหากข้าต้องเผชิญกับกระบวนท่านี้ ข้าคงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องหลีกเลี่ยงและหาโอกาสที่จะลงมือโต้กลับ” หวังเจิ้นเฟิงที่อยู่บนที่นั่งตรงกลางพยักหน้าและรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับเคล็ดวิชาที่เซียวเซวียนเทียนใช้ออกไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปนี้ได้ทำให้เขาต้องเบิกตากว้างในทันที และแทบกระโดดขึ้นจากที่นั่ง
เนื่องจากจู่ ๆ เขาก็เห็นร่างของเฉินซีที่อยู่ในระยะสายตาของเขาได้กลายเป็นดั่งภูตผีที่เคลื่อนผ่านปราณฝ่ามือที่ปกคลุมท้องฟ้าได้อย่างง่ายดาย และชายหนุ่มก็ไปปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของเซียวเซวียนเทียนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยื่นมือออกไปจับไหล่จากทางด้านหลัง
การโจมตีครั้งนี้เป็นการเคลื่อนไหวแบบเดียวกับที่เซียวเซวียนเทียนใช้หยุดเฉินซีไม่ให้จากไปก่อนหน้านี้ ในขณะนี้เฉินซีกำลังตอบโต้เขาด้วยวิธีของเขาเอง!