บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 358 ภูมิหลังอันน่าตกตะลึง
บทที่ 358 ภูมิหลังอันน่าตกตะลึง
บทที่ 358 ภูมิหลังอันน่าตกตะลึง
“ต้องกล่าวว่าชายหนุ่มผู้นี้คืออัจฉริยะเหนือชั้น เขาอาจขนานนามว่าเป็นสุดยอดอัจฉริยะในหมู่คนรุ่นเยาว์ที่ข้าเคยพานพบก็ย่อมได้ ความสามารถของเขาเกือบจะเทียบเท่ากับอัจฉริยะอันเลื่องลือเช่นชิงซิ่วอี้และจ้าวชิงเหอ” ภายในโถงอันเงียบงันและกว้างใหญ่ เสียงทุ้มต่ำและฉะฉานของนายท่านแห่งจ้าวอัสนีหวังหงซวีกระหึ่มไปทั่วสารทิศ คำกล่าวของเขาราวกับอัสนีที่บาดแก้วหูยิ่ง “ข้าสงสัยว่าพี่ชุยคิดอย่างไร?”
ชุยซานหัวเราะอย่างจริงใจพลางกล่าวอย่างทอดถอนใจ “จะต้องกล่าวอะไรอีกเล่า? มือสังหารระดับผู้บัญชาการจำนวนมหาศาลแห่งตำหนักตะวันดำของข้าตกอยู่ในเงื้อมมือของเขา หากไม่มีพละกำลังเพียงพอก็คงไม่อาจรอดได้จนถึงบัดนี้”
หวังหงซวีผงกศีรษะ “ย่อมใช่ เขาสามารถผนึกรวมเจตจำนง จิตสังหาร ปราณแท้ และเต๋ารู้แจ้งได้ด้วยเพียงปลายนิ้วโดยไม่ปล่อยให้พลังเล็ดลอดออกมาได้แม้แต่น้อย แม้กระทั่งผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติบางรายก็หาปฏิบัติเช่นนี้ไม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถสังเกตเห็นได้จากเบาะแสเพียงเล็กน้อย เพียงแค่ปลายนิ้ว พละกำลังของเจ้าเด็กนี่ก็เพียงพอที่จะทำให้เหล่าอัจฉริยะมากมายกลายเป็นที่น่าอับอายในการชุมนุมดาวรุ่งแล้ว”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ ร่อยรอยแห่งความอัปยศตนเองก็ไม่อาจถูกยับยั้งได้อีกต่อไป มันกลืนกินใบหน้าอันสง่างามและแข็งแกร่งของเขา “ลูกชายที่น่าเวทนาของข้า ตั้งแต่ต้นจนจบก็ยังไม่อาจตระหนักถึงพละกำลังของเจ้าเด็กคนนั้นได้จนกระทำในสิ่งที่ดูผิวเผินแล้วชาญฉลาด แต่กลับกลายเป็นโง่เขลาในท้ายที่สุด”
“นายน้อยผู้เยาว์วัยย่อมปรารถนาที่จะมีความสามารถเหนือใครอื่น บางทีการล้มลุกคลุกคลานในครั้งนี้ย่อมดีต่อการบ่มเพาะในอนาคตของเขา แน่นอนว่าในเยาว์วัยของทุกคนล้วนแต่อิจฉาริษยาและเคยแก่งแย่งชิงความโปรดปรานจากหญิงสาวมาก่อน” ชุยซานกล่าว
หวังหงซวีหัวเราะดังลั่นทว่าไม่ได้กล่าวอะไรต่อ ดวงตาของเขาจ้องเขม็งไปยังท่านหญิงสุ่ยฮวา เหตุผลเดียวที่พวกเขามารวมตัวกันในตอนนี้ก็มีสาเหตุมาจากหญิงสาวที่สวยและสง่างามจับใจคนทั้งโลกผู้นี้
แม้การที่ท่านหญิงสุ่ยฮวาจะปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนในโลกแห่งการบ่มเพาะจะเป็นเรื่องยาก แต่ไม่ว่าจะเป็นหวังหงซวีหรือชุยซานก็ล้วนไม่อาจหาญที่จะดูแคลนนาง
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมากเพราะว่าสตรีผู้นี้คือน้องสาวเพียงคนเดียวของจักรพรรดิฉู่องค์ปัจจุบัน! ทั้งสายเลือดและสถานะของนางคือที่สุดบนผืนแผ่นดินนี้ เนื่องด้วยเหตุดังกล่าว ผู้ใดจะกล้าดูหมิ่นสตรีผู้มีภูมิหลังอันน่าเคารพนับถือเยี่ยงนี้ได้?
สายตาของชุยซานจ้องมองไปที่ท่านหญิงสุ่ยฮวาเช่นกัน นั่นก็เพราะเขารับฟังคำแนะนำของท่านหญิงสุ่ยฮวาว่าตนต้องแบกรับแรงกดดันอันหนักอึ้งไว้บนบ่าเพื่อหยุดยั้งปฏิบัติการลอบสังหารเฉินซี
จนถึงตอนนี้ ในใจของเขายังสับสนงงงวย ภูมิหลังเช่นใดที่เด็กคนนี้เป็นอยู่ถึงทำให้ท่านหญิงสุ่ยฮวาค้อมตัวลงและขอให้อีกฝ่ายปล่อยเฉินซีไป?
เพราะไม่เพียงแต่อีกฝ่ายต้องเผชิญกับความกดดันจากเหล่าหัวหน้าหน่วยคนอื่น ๆ จากตำหนักตะวันดำเท่านั้น เขายังทำให้ราชันผู้ปรีชาอย่างหวงฝู่จิ่งเทียนและผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีอีกหกชีวิตขุ่นเคืองในเวลาด้วยกัน หากเขาไม่ให้คำตอบที่น่าพอใจ ผลที่ตามมาก็คงไม่อาจจินตนาการได้
“ดูเหมือนพวกท่านทั้งสองคนจะกระสับกระส่ายน่าดู” ท่านหญิงสุ่ยฮวายิ้มบาง รอยยิ้มของนางเปรียบดั่งกุหลาบที่ผลิบานหลังฝนโปรยปราย มีเสน่ห์และละเอียดลออยิ่งนัก “การชุมนุมดาวรุ่งจะเริ่มขึ้นในเดือนถัดไป ฉะนั้นเวลาที่ความลับนี้จะถูกเปิดเผยสู่สาธารณชนได้มาถึงแล้ว”
การแสดงออกของหวังหงซวีและชุยซานกลับเคร่งขรึมยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ตระกูลเฉินจากเมืองหมอกสนในดินแดนทางใต้ที่เป็นสถานที่ซึ่งเฉินซีจากมาเป็นเพียงตระกูลขนาดเล็ก มันช่างสามัญยิ่งนักและไม่มีสิ่งใดที่ควรค่าแก่การเอาใจใส่ ทว่าเนื่องจากมารดาของเฉินซี ตระกูลนี้จึงเปลี่ยนไป แน่นอนว่าเฉินเทียนลี่ผู้นำตระกูลเฉินในยามนั้นคงไม่ทราบเช่นกันว่าตัวตนที่แท้จริงของลูกสะใภ้ตนจะทำให้ทั้งราชวงศ์ตะลึงงันจนถึงขั้นหัวใจสั่นไหว เขาเกรงกลัวที่จะขัดใจกับตระกูลเฉิน”
ดวงตาอันงดงามของท่านหญิงสุ่ยฮวาทอดมองโดยรอบ ในขณะที่เสียงของนางแฝงแรงดึงดูดอันเป็นที่สนใจของผู้คน เสียงนั้นดังก้องไปทั่วโถงอันเคร่งขรึมและกว้างใหญ่
แม้แต่จักรพรรดิฉู่ยังตกตะลึงถึงขั้นหัวใจเต้นระรัวเลยหรือ?
หวังหงซวีกับชุยซานเหลือบมองกันและกัน ต่างฝ่ายต่างรับรู้ถึงความตกตะลึงในใจของอีกฝ่าย ทำให้สีหน้าของพวกเขาเคร่งขรึมและหนักอึ้งยิ่งขึ้น หากเป็นดังที่ท่านหญิงสุ่ยฮวากล่าว มารดาของเฉินซีต้องมีสถานะที่น่าเกรงขาม หรืออาจจะเหนือกว่าจินตนาการของพวกเขาด้วยซ้ำ
ท่านหญิงสุ่ยฮวาราวกับไม่ทันได้สังเกตอาการสะดุ้งของพวกเขา นางจึงกล่าวต่อไปว่า “แต่เป็นเพราะแม่ของเฉินซีนั่นเองที่ทำให้ตระกูลเฉินประสบหายนะจากการทำลายล้าง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รอดชีวิต ยิ่งกว่านั้นผู้ที่ทำลายตระกูลของพวกเขาคือคนในตระกูลมารดาของตน” เมื่อฟังถึงจุดนี้ หวังหงซวีก็ไม่อาจยับยั้งความฉงนใจได้อีกก่อนจะกล่าวว่า “เหตุใดมันถึงเป็นอย่างนั้น? เป็นไปได้หรือไม่ว่าตระกูลที่แม่ของเขาเกิดไม่เห็นด้วยกับการสมรสครั้งนี้ จึงลงมืออย่างเกลียดชังและกวาดล้างตระกูลเฉิน?”
ชุยซานขมวดคิ้วพลางกล่าวขึ้นมาเช่นกัน “ข้าคิดว่าน่าจะเป็นเช่นนี้ อย่างไรแล้วตระกูลเฉินนั้นอ่อนแอเกินไป อาจไกลเกินกว่าที่จะเปรียบเทียบกับตระกูลซึ่งอยู่เบื้องหลังแม่ของเขาได้ สถานะที่แตกต่างราวฟ้ากับเหวมักลงเอยด้วยโศกนาฏกรรม ตามที่โบราณกล่าวไว้ว่าการแต่งงานต้องเกิดขึ้นระหว่างสองตระกูลที่เท่าเทียมกัน”
ท่านหญิงสุ่ยฮวาส่ายศีรษะของนาง “แม้ข้าจะทราบถึงเรื่องนี้ ทว่าท้ายสุดแล้ว ตระกูลฝั่งมารดาของเฉินซีเสมือนยักษ์ใหญ่ที่พวกเราคอยเงยหน้ามองขึ้นเท่านั้น สิ่งที่อุบัติขึ้นภายในตระกูลจึงไม่ใช่เรื่องที่พวกเราคาดการณ์ได้”
นอกจากความรู้สึกงงงัน ความนึกสงสัยของหวังหงซวียังคงเพิ่มทวีคูณ “ท่านช่วยบอกพวกข้าได้หรือไม่ว่าคือตระกูลใด? ไยจึงฟังดูน่าเกรงขามยิ่งนัก?”
ชุยซานผงกศีรษะเช่นกัน “ใช่ เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขาเป็นตัวตนอันน่าเกรงขามจากแดนภวังค์ทมิฬ?”
“แดนภวังค์ทมิฬ?” ท่านหญิงสุ่ยฮวาส่ายศีรษะพลางยิ้ม “พวกท่านรู้จักตระกูลไป๋หนามม่วงแห่งแดนภวังค์ทมิฬหรือไม่?”
ทั้งสองคนพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกเขารู้จักตระกูลไป๋หนามม่วงดี มันเป็นกองกำลังที่สูงตระหง่านท่ามกลางแดนภวังค์ทมิฬ จนแม้แต่จักรพรรดิฉู่องค์ปัจจุบันเองก็ไม่อาจผ่านเข้าประตูแห่งตระกูลไป๋ได้ ดังนั้นกองกำลังและอำนาจที่ตระกูลไป๋ถือครองอยู่มีมหาศาลเพียงใดสามารถสังเกตเห็นได้ชัดจากสิ่งนี้
ท่านหญิงสุ่ยฮวาถอนหายใจ “จริงอยู่ที่ตระกูลไป๋แห่งเทือกเขาหนามม่วงนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่ง ทว่าเมื่อเทียบกับตระกูลฝั่งแม่ของเฉินซีแล้วกลับกลายเป็นฟ้ากับดิน ซึ่งไม่อาจเทียบเคียงกันได้”
หวังหงซวีกับชุยซานถึงกับวิงเวียนศีรษะ พวกเขาตกอยู่ในความผวา ในสายตาของทั้งสองคน ตระกูลไป๋นั้นน่าหวั่นเกรงอยู่แล้ว แต่ยังไกลเกินเอื้อมเมื่อเทียบกับตระกูลของอีกฝ่ายหนึ่ง นี่เหมือนกับการฟังเทพนิยายที่ได้ยินแล้วแทบจะไม่เชื่อ!
“ต…ตระกูลนี้คือตระกูลใดกันแน่?” หวังหงซวีซักถามต่อไป ในจังหวะนี้เขาไม่ใช่ขุนนางผู้ครอบครองพลังอำนาจ และไม่ใช่ผู้มีโทสะสะท้านทั่วฟ้าดินอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นเด็กช่างสงสัย ทว่าก็ไม่อาจโทษเขาได้เพราะความเร้นลับที่ท่านหญิงสุ่ยฮวาเปิดเผยออกมาช่างน่าอัศจรรย์เสียเหลือเกิน
ท่านหญิงสุ่ยฮวานิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเปล่งเสียงแผ่วเบาเพียงสองคำ “จั่วชิว”
“จั่วชิว?”
หวังหงซวีและชุยซานมองหน้ากันด้วยความงุนงง แซ่นี้พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ข้อมูลที่เกี่ยวกับตระกูลจั่วชิวในความทรงจำของทั้งสองเองก็ไม่มีเลยแม้แต่น้อย
“ตามที่พี่ของข้าบอกมา ตระกูลนี้เก่าแก่ยิ่งนักและไม่ได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ในแดนภวังค์ทมิฬ ฉะนั้นจึงมีน้อยคนมากบนโลกที่ทราบเกี่ยวกับตระกูลนี้” ท่านหญิงสุ่ยฮวากล่าว
“ไม่ได้อยู่ในแดนภวังค์ทมิฬ? หรือจะอยู่ในโลกใบอื่น?” หวังหงซวีและชุยซานรู้สึกสมองตื้อ พวกเขาทราบดีว่าจักรวาลช่างกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตและมีโลกใหญ่เล็กมากมาย สถานที่ซึ่งตระกูลนั้นอาศัยอยู่เป็นเพียงหนึ่งในโลกอันมหาศาลของเอกภพเท่านั้น
ท่านหญิงสุ่ยฮวาผงกศีรษะทว่าไม่ได้เสริมอะไร เพียงแค่ชี้ขึ้นไปบนท้องนภา
เฮือก!
หวังหงซวีและชุยซานอ้าปากค้าง แม้จะคาดการณ์ไว้บ้างแล้ว แต่พวกเขาก็ยังไม่อาจเชื่ออย่างเต็มที่ ทว่าในยามที่ได้รับการยืนยันจากท่านหญิงสุ่ยฮวา คนทั้งสองจึงรู้สึกเหมือนถูกอัสนีฝ่าลงกลางตัว จิตใจของพวกเขาขุ่นมัว
มิติเซียน!
ตระกูลจั่วชิวตั้งรกรากอยู่ที่มิติเซียน!
ทั้งสองสูดหายใจเข้าลึก แต่ยังไม่สามารถขจัดอาการสะเทือนใจได้
ผู้บ่มเพาะทำการฝึกฝนอย่างขะมักเขม้น พวกเขาทำความเข้าใจเกี่ยวกับเต๋าสวรรค์เพื่อบรรลุสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ เพื่อท่องไปในจักรวาลอย่างอิสระ อยู่ยงคงกระพันบนสรวงสวรรค์และผืนดิน หลุดพ้นจากความเกิดแก่เจ็บตาย
นี่คือจุดมุ่งหมายสูงสุดของผู้บ่มเพาะทุกคน จุดมุ่งหมายซึ่งคู่ควรแก่การถวายทั้งชีวิตเพื่อให้ได้มันมา ทว่าเส้นทางสายนี้ช่างยากเย็นแสนเข็ญ มีเพียงหนึ่งในล้านคนที่สามารถก้าวสู่ความเป็นอมตะ เกือบทุกชีวิตยังคงมีความเกลียดชังขณะที่ล้มหายตายจากบนผืนดิน พวกเขาไม่อาจเห็นความหวังในการบรรลุเป้าหมายนี้ได้แม้แต่นิดเดียว
ทั้งหวังหงซวีและชุยซานล้วนเดินอยู่บนหนทางแห่งเต๋า ความรู้สึกของคนทั้งสองที่มีต่อมันนั้นลึกซึ้ง เมื่อพวกเขาได้ค้นพบว่ามารดาของเฉินซีมาจากตระกูลในมิติเซียนในขณะนี้ อาการขนลุกที่ฝังลึกอยู่ในหัวใจนั้นยากเกินกว่าที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
“แน่นอนว่านี่เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น มันยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริง” ท่านหญิงสุ่ยฮวาชำเลืองมองทั้งสองคนและค่อย ๆ พูดว่า “ไม่ว่าจะเป็นข้าหรือท่านพี่ของข้า พวกเรายังคงเลือกที่จะเชื่อ เพราะท้ายสุดแล้ว บนเส้นทางการบ่มเพาะอันไร้ขอบเขตนี้ หากผู้ใดผูกมิตรกับตระกูลที่ยิ่งใหญ่แห่งมิติเซียนก่อนจะบรรลุขอบเขตเซียนสวรรค์ได้ละก็ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม มันย่อมคุ้มค่า”
หวังหงซวีและชุยซานเข้าใจในที่สุด ดูเหมือนจักรพรรดิฉู่และท่านหญิงสุ่ยฮวาเริ่มทำข้อตกลงเมื่อนานมาแล้ว ทั้งหมดนี้ก็เพื่อไม่ให้ตกเป็นบุคคลไร้ผู้หนุนหลังเมื่อได้รับเกียรติให้ขึ้นไปสู่มิติเซียน …เจ้าเด็กน้อยเฉินซีผู้นี้จึงเป็นหมากตัวสำคัญที่สุด
“อย่างไรแล้วเฉินซีก็คือคนแห่งตระกูลเฉิน ตระกูลซึ่งประสบความวินาศภายใต้เงื้อมมือของตระกูลจั่วชิว การฝากความหวังทั้งหมดให้กับเจ้าเด็กนี่ไม่บ้าระห่ำไปหน่อยหรือ?” หวังหงซวีขมวดคิ้ว
ท่านหญิงสุ่ยฮวายิ้มตอบ “โชคลาภมักแสวงหาได้ในภยันตราย หากไม่แลกด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย จะรับผลประโยชน์ในวันข้างหน้าได้เยี่ยงไร? ขอบอกอย่างจริงใจว่ามีผู้คนในโลกแห่งนี้ที่อยากสังหารเฉินซีและขจัดปัญหาทั้งหมดในอนาคตเหนือสิ่งอื่นใด อาทิตระกูลหลี่แห่งเมืองหมอกสน ตระกูลซูแห่งเมืองทะเลสาบมังกร และตำหนักจ้าวขุนศึก”
“ทว่าพวกเขาไม่กล้าเสี่ยงเพราะเฉินซียังมีสายเลือดแห่งตระกูลจั่วชิวอยู่ แม้ว่าการปลิดชีพเขาทิ้งจะทำได้ง่าย แต่สิ่งที่อาจตามมาคงไม่ใช่อะไรที่พวกเขาจะรับได้ไหว”
นี่ยังเป็นเหตุผลที่เฉินซีทนต่อความยากลำบากมาตั้งแต่ยังเล็ก
และแม้จะไม่กล้าสังหารเฉินซี พวกเขาก็ยอมรับคำสั่งของใครบางคนเพื่อใช้กลอุบายเล็ก ๆ ในการทารุณเฉินซีและทำให้ชายหนุ่มตรอมใจตายภายใต้ความกดขี่ที่เขาเผชิญตลอดมา เพราะด้วยวิธีนี้จึงไม่มีผู้ใดถูกกล่าวว่าได้
“ใครบางคน?” หวังหงซวีรู้สึกเหลือเชื่อ “เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีผู้ต้องการยั่วยุตระกูลจั่วชิว?”
มุมปากของท่านหญิงสุ่ยฮวาปรากฏแววเย้ยหยันในขณะที่นางถอนหายใจ “คนเหล่านี้มาจากตระกูลจั่วชิวเช่นเดียวกัน และพวกเขาต้องเป็นกลุ่มคนที่ทำลายล้างตระกูลเฉินเมื่อหลายปีก่อนอย่างแน่นอน”
ชุยซานเงียบมาตั้งแต่ต้น ในขณะที่กำลังประมวลข้อมูลที่อยู่ตรงหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “มันซับซ้อนเกินกว่าที่ข้าจะรับได้ นี่อาจเป็นความขัดแย้งภายในตระกูลใช่หรือไม่? แม่ของเฉินซีคืออีกฝั่งหนึ่ง ส่วนผู้ที่ทำลายล้างตระกูลเฉินก็คืออีกฝั่งหนึ่ง ในขณะที่เฉินซีคั่นอยู่ตรงกลาง บางคนต้องการให้เขาตาย และบางคนก็ต้องการให้เขามีชีวิตต่อไป ช่างเป็นเรื่องที่สุดแห่งความซับซ้อน”
ท่านหญิงสุ่ยฮวาหัวเราะเบา ๆ ขณะลุกขึ้นยืนพลางกล่าวขึ้นว่า “เอาล่ะ ข้าได้พูดสิ่งที่จำเป็นทั้งหมดแล้ว ถึงเวลาที่ต้องไปหาหนุ่มน้อยผู้นี้แล้ว ลาก่อน”
ทันทีที่สิ้นคำกล่าว นางก็หายลับไป